สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวกระทู้พันทิปทุกท่าน วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การเป็นแพนิคให้ทุกๆ ท่านฟังและเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังประสบกับโรคนี้อยู่ หากท่านมีอาการ
1.จู่ๆ ใจเต้นแรงไม่มีสาเหตุ
2.รู้สึกใจหวิวๆ หรือใจสั่น
3.รู้สึกคอแห้งขึ้นมาแบบเฉียบพลัน
4.แขนขาชาอ่อนแรงแบบไม่ทราบสาเหตุ
5.มีอาการคล้ายเหมือนจะเป็นลม
6.รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้น
7.รู้สึกกลัวตาย กระวนกระวายควบคุมตัวเองไม่ได้
ให้ทุกท่านตั้งสติแล้วทำตามผมนะครับ
1.นับ 1 ถึง 4 แล้วหายใจเข้า
2.นับในใจถึง 8 แล้วหายใจออก
3.ทำซ้ำอีกรอบจนกว่าจะรู้สึกทุเลา หรือ โอเครลง
เอาละครับ ข้างต้นเป็นเพียงวิธีฝึกหายใจเท่านั้น
ต่อไปให้ทุกท่านตั้งสติให้ดี แล้วสังเกตุอาการหากยังไม่ทุเลาลง
อาจต้องพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการทางกายว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ทุกท่านไม่ต้องกังวลน่ะครับอาการของแพนิคคล้ายโรคหัวใจก็จริง แต่เราจะรู้สึกโล่งใจก็ตอนที่หมอตรวจ
1.ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
2.X-RAY (เอ็กซ์เรย์)
3.เจราะเลือด
เมื่อผลทุกอย่างปกติดี จึงจะฟันธงได้ว่าเป็นแพนิคแล้ว พอทราบเช่นนั้นทุกท่านอย่ากลัวหรือวิตกกังวลไปครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะตาย
แพนิค ไม่สามารถฆ่าคุณได้ มีเพียงแค่ความคิดของคุณที่ฆ่าคุณได้เพราะงั้น ทุกท่านทำตัวสบายๆ แล้วมาเริ่มเดินทางฟังเรื่องราวของชายหนุ่มที่เป็นคนสดใจร่าเริงปกติใช้ชีวิตประจำวันโดยการอยู่หน้าจอคอมเป็นส่วนใหญ่ ทุกท่านนั่งประจำที่เลยครับ พร้อมแล้วใช่ไหมครับ ไปกันเลยครับ
เหตุการณ์เริ่มขึ้นจากวันนึงเป็นวันธรรมดาที่แสนปกติ อาการร้อนหน่อยๆ มีชายหนุ่มคนนึงที่กำลังจดจ่ออยู่ หน้าคอมเล่นเกมออนไลน์ ตามประสาวัยรุ่นยุคใหม่ แต่ชายคนนี้เค้าจะมีมุมที่ซ่อนเอาไว้ ใช่ครับเบื่องหน้าเค้าเป็นคนตลกเฟรนลี่เฮฮา แต่ใครจะไปรู้ละครับว่าลึกๆ ข้างในเค้าเป็นคนที่คิดเยอะ คิดมากวิตกกังวลกับเรื่องเล็กๆ ไม่ว่าจะเรื่องทางครอบครัว เรื่องเรียน เรียกได้ว่าคิดไปไกลก่อนการอีกครับ และแล้ววันนึงเรื่องก็เกิดขึ้นครับ เวลาโดยประมาณ ตี 2 กว่าๆ ชายคนนี้สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หัวใจเค้าเต้นแรงมากๆ เหมือนคนตีกลองหรือ หัวใจจะออกมาเต้นออกนอกยังไงอย่างงั้นเลย เค้าเช็คตัวเองแล้วรู้สึกว่า มีอาการใจเต้นแรง ใจหวิวๆ เหมือนใจสั่น แขนขาชา หายใจไม่อิ่ม รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะหัวใจวาย เค้ากังวลกับอาการตัวเองมากอย่างแรกที่เค้าทำเลยคือ เปิดอากู๋หาข้อมูล (เหมือนที่ท่านกำลังเป็นแล้วเปิดมาเจอกระทู้ผมนี่ละครับ) หลังจากหาข้อมูลเสร็จเค้าคิดในใจกับตัวเองว่า "เห้ย.....อาการทำไมมันเหมือนกับโรคหัวใจเลย เท่านั้นละครับเค้าวิตกกังวลหนักกว่าเก่า หัวใจก็เต้นแรงขึ้นๆ เค้าเปิดหาข้อมูลและอาการให้แน่ใจ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ กับการเปิดหาข้อมูล สิ่งที่เค้าเจอคือ ไม่ว่าจะโรคหัวใจ เส้นเลือดหัวใจตีบ บลาๆ
หลายโรคไม่ไหวจะเป็นกันเลยทีเดียวครับ แต่ว่าในระหว่างที่เค้ากำลังวหาสาเหตุอาการอยู่ มันกับรู้สึกค่อยๆ ทุเลาลงจนรู้สึกปกติ
พอแล้วเค้ารู้สึกได้อย่างนั้นแล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เอ้าเมื่อกี้ยังเป็นอยู่เลยแล้วทำไมจู่ๆ มันค่อยๆ หายไปดื้อๆ พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกวิตกกังวลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กังวลว่ามันจะกลับมาเป็นอีกรึป่าว
เค้าจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้หลับได้ปกติตื่นมาช่วงเวลา
เกือบจะเที่ยงเห็นจะได้ เค้ามีอาการ รู้สึกโครงเครงคล้ายเหมือนจะเสียการทรงตัวไปด้านใดด้านนึงคือ ไม่ด้านหน้าก็ด้านหลัง รู้สึกอ่อนแรง วินเวียนศรีษะ คลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน เจ็บหน้าอกซ้ายขวาแป๊ปๆ เค้าจึงเลือกที่จะอาบน้ำกินข้าวแล้วไปคลินิกใกล้บ้าน
หลังจากที่พบหมอ แล้วเล่าอาการให้หมอฟังหมอให้ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ผลสรุปคือ มีแค่หัวใจเต้นผิดจังหวะนิดหน่อย หมอจึงให้ตรวจเลือดเผื่อดูหลายๆ อย่างเช่นไทรอยด์ หรือ อะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแล้วมีอาการเช่นนั้น ผลสรุปก็ยังปกติทุกอย่าง หมอที่คลินิกจึงทำใบส่งตัวเพื่อส่งให้โรงบาลใหญ่ตรวจหาสาเหตุโดยที่หมอ สงสัยว่าอาการที่เป็นอาจเป็นแพนิค หรือ โรควิตกกังวล
(PANIC DISORDER) เป็นอาการที่สารในสมองทำงานผิดพลาดจึงทำให้เกิดอาการวิตกกังวลจนเกินเหตุ หรือ มากไปพอถึงโรงบาลใหญ่ หมอตรวจเหมือนที่หมอคลีนิคตรวจเลย แล้วผลก็ปกติทุกอย่างแล้วคุณก็วินิจฉัยได้ว่า เป็นแพนิคจริงแท้แน่นอน แล้วหมอก็พูดกับคนไข้ว่าไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวหมอจะส่งต่อให้หมออีกคนรักษาซึ่งเป็นแพทย์เฉพราะทาง (หมอจิตเวช) แต่หมอเค้าไม่พูดตรงๆ ว่าเป็นหมอจิตเวช อาจเป็นเพราะเซฟความรู้สึกคนไข้ จึงใช้ชื่ออื่นเรียกแทนคือ หมอแพนิค แล้วหลังจากนั้นหมอก็แจ้งให้ทราบว่า "เดี๋ยวหมอจะนัดให้มาพบอีกทีระหว่างนี้หมอจะจ่ายยาเป็น ยาช่วยให้นอนหลับและยาคลายเคลียดให้ หลังจากที่ไปโรงบาลเสร็จกลับบ้านมา กินข้าวอาบน้ำเสร็จเวลาโดยประมาณ สามทุ่มเห็นจะได้ เค้าก็กินยาตามหมอสั่งคือ อย่างละเม็ดก่อนนอน หลังจากกินยาไปมีอาการง่วงสมองโล่ง รู้สึกผ่อนคลายแล้วหลับได้ปกติเหมือนชีวิตปกติที่เค้าเคยเป็น ครั้งนี้เค้าตื่นเช้าพร้อมความแจ่มใสสดใสเหมือนอาการที่เคยเป็นมันเป็นแค่ฝัน แต่ทว่าความสุขมักอยู่ได้ไม่นาน ผ่านมา 2 วันก่อนเพียงแค่อีก 1 วันเค้าก็จะไปตามนัดหมอที่หมอสั่งเค้ากับมีอาการเช่นเคย แต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นตอนเค้ากำลังนอนแต่เป็นตอนเค้ากำลังขับรถกลับบ้าน จู่ๆ เค้าก็รู้สึก คอแห้ง ตาพร่ามัว ใจเต้นแรงสั่นหวิวๆ จังหวะนั้นเค้าไม่ได้คิดถึงโรคแพนิค แต่เค้ากับคิดถึงโรคอื่น จึงทำให้วิตกกังวลจนลืมไปว่าเค้ากำลังเป็นแพนิคอยู่ เช่นเคยอาการนี้ของเค้าอยู่ได้เพียงไม่นานเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เค้าจึงได้กินยาคลายเครียดยาช่วยให้นอนหลับเหมือนปกติ พอสมองโล่งเริ่มง่วงเค้าก็ไม่รู้ตัวว่าผอยหลับไปตอนไหนพอตื่นขึ้นมาก็มีอาการหลังจากที่เป็นเหมือนเดิม คือเพลีย แขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้ วินเวียนศรีษะ เค้าเปิดโทรศัพท์ดู วันที่ 21 พ.ย. 2566 เวลา 06:43 นาที วันที่หมอนัด (ใช่ครับมันคือวันที่ผมกำลังเขียนกระทู้นี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์มา) ถึงโรงบาลประมาณ 9 โมงกว่าๆ เป็นวันที่รถติดมากๆ หลังจากที่ยื่นใบนัดให้ห้องรับเรื่อง เค้าเดินออกจากห้องมาด้วยอาการนิ่งสงบแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า ขึ้นไปชั้นสองครับ ตอนแรกในความคิดของเค้าคือ "ทำไมต้องพูดเบาๆ ด้วยหว่า" แต่ก็ได้แค่สงสัยจนกระทั่งเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง แล้วก็ได้เห็นป้าย คลินิก**** (ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับเพราะไม่ทราบว่าสารมารถลงในสื่อสาธารณะได้รึป่าว) พอเห็นดังนั้นเค้าก็ได้เปิดประตูเข้าไป มองไปทางซ้ายเห็นคนคาดว่าอายุ 30-40 กำลังคุยกับหมอ แต่ว่าอาการที่สื่อออกมาเหมือนว่า เค้าอายุ 5-6 ขวบอย่างงั้นเลย นั่งเฉยๆ ไม่ค่อยได้ ยุกยิกๆ ไปมาแต่ว่าหมอก็มีวิธีควบคุมของเค้า เอาละพอถึงตาชายหนุ่มคนนี้ได้คุยกับหมอ เค้าก็ซักประวัติด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไพเราะน่าฟังมากๆ ถามถึงอาการและสิ่งเร้าต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการดังนี้ขึ้น หลังจากทราบแล้วหมอที่ซักประวัติถามอาการได้ให้นำใบบันทึกหรือซักประวัติไปยื่นที่หน้าห้อง ห้องนึงแล้วก็ได้มานั่งลงที่เก้าอี้ตรงเก้าอี้ก็มีคนแต่แปลกแตกต่างกันไป บางคนตาลอยๆ แปลกๆ บางคนก็จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาโดยไม่ทราบว่าพูดกับใคร แต่ที่แปลกสุดที่เจอเลยคือ จู่ๆ มีผู้หญิงอายุ ประมาณ 40 กว่าๆ เอาหัวมาแนบหน้าผมแล้วพูดว่า เข้ามาในนี้ต้องถอดรองเท้าตอนนั้นคือเหมือนวิญญาณออกจากร่าง ลืมอาการแพนิคไปเลย แต่ที่พีคว่านั้นคือ ถ้าพูดเสร็จแล้วเอาหน้ากลับไปนี่ก็โอเครแต่นี่เล่นเอาหน้าหน้าแนบแก้มผมเลย อาการตอนนั้นคือรู้สึกร่างกายไม่ขยับ (อารมณ์เหมือนอยู่ในหนังผีเลย55555555) แล้วก็มีพยาบาลคนนึงพูดขึ้นว่า "น้อง** อย่าทำแบบนั้นสิไหนว่าสัญญากันแล้วไงว่าจะทำตามที่พี่พูด" แล้วคนๆ นั้นก็ตอบกลับไปว่า "ก็เค้าไม่ยอมถอดรองเท้าเลยบอกให้ไปถอดไง" แล้วก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่มีสาเหตุ จังหวะนั้นผมจึงรีบลุกขึ้นไปถอดรองเท้าแล้วกลับมานั่ง
พยาบาลก็ปรอบคนๆ นั้นจนเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในปกติถึงคิวที่หมอเรียกแล้วก็ไปนั่ง หมอก็ซักถามอาการอีกรอบ แต่จะถามถึงอาการเหล่านี้ด้วยเช่น
1.มีอาการเบื่อหรือไม่อยากทำอะไรที่เคยชอบทำรึป่าว
2.ไม่อยากออกไปพบผู้คนหรือกลัวการเข้าสังคมหรือป่าว
3.มีอาการอยากทำร้ายตัวเองก็อยากฆ่าตัวตายรึป่าว
4.มีอาการที่รู้สึกท้อแท้ เศร้าๆ รึป่าว
แล้วหมอกูพูดถึงวิธีการฝึกหายใจ เวลารู้สึกมีอาการ "นั้นคือข้อความข้างต้นที่ผมได้พิมพ์ลงไปเพราะทำแล้วได้ผล"
แล้วหมอก็ได้มีการสั่งยาคือ
1.Sertraline 50 mg. (หรือที่รู้จักกันใจชื่อยาต้านซึมเศร้า ซึ่งยาตัวนี้จะช่วยปรับสารในสมองให้ทำงานได้ปกติ)
2.LoraZEPAM 1 mg. (หรือยาที่ช่วยให้นอนหลับ)
3.Diazepam 2 mg. (หรือยาแก้ใจสั่นให้กินเฉพราะตอนมีอาการใจสั่นเท่านั้น)
**ยาที่กล่าวมาทั้งหมดไม่สามารถซื้อทานเองได้เพราะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้นไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายต่อตัวท่านเองได้**
เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ เดี๋ยวจะอัพเดตหลังจากเข้ารับรักษาอีกทีวันที่ 19 ธ.ค 66 ครับ
ท้ายที่สุดนี้อยากบอกให้ทุกคนที่ประสบพบเจอกับโรคแพนิคนี้อยู่ ให้สู้ๆ แล้วสู้กับมันให้สุดแพนิคสู้มายังไงสู้กลับให้หมด จนจากที่เรากลัวมัน ต้องทำให้มันกลัวเรา ไม่ต้องกลัวตาย เพราะไม่มีทางที่แพนิคจะฆ่าเราได้ เพราะสิ่งที่จะฆ่าเราได้มีเพียงแค่ความคิดของเราเท่านั้น ขอบคุณครับ
ผมจะมาเล่าประสบการณ์เป็นโรค แพนิค หรือ โรคตื่นตะหนก (panic disorder)
1.จู่ๆ ใจเต้นแรงไม่มีสาเหตุ
2.รู้สึกใจหวิวๆ หรือใจสั่น
3.รู้สึกคอแห้งขึ้นมาแบบเฉียบพลัน
4.แขนขาชาอ่อนแรงแบบไม่ทราบสาเหตุ
5.มีอาการคล้ายเหมือนจะเป็นลม
6.รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้น
7.รู้สึกกลัวตาย กระวนกระวายควบคุมตัวเองไม่ได้
ให้ทุกท่านตั้งสติแล้วทำตามผมนะครับ
1.นับ 1 ถึง 4 แล้วหายใจเข้า
2.นับในใจถึง 8 แล้วหายใจออก
3.ทำซ้ำอีกรอบจนกว่าจะรู้สึกทุเลา หรือ โอเครลง
เอาละครับ ข้างต้นเป็นเพียงวิธีฝึกหายใจเท่านั้น
ต่อไปให้ทุกท่านตั้งสติให้ดี แล้วสังเกตุอาการหากยังไม่ทุเลาลง
อาจต้องพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการทางกายว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ทุกท่านไม่ต้องกังวลน่ะครับอาการของแพนิคคล้ายโรคหัวใจก็จริง แต่เราจะรู้สึกโล่งใจก็ตอนที่หมอตรวจ
1.ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
2.X-RAY (เอ็กซ์เรย์)
3.เจราะเลือด
เมื่อผลทุกอย่างปกติดี จึงจะฟันธงได้ว่าเป็นแพนิคแล้ว พอทราบเช่นนั้นทุกท่านอย่ากลัวหรือวิตกกังวลไปครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะตาย
แพนิค ไม่สามารถฆ่าคุณได้ มีเพียงแค่ความคิดของคุณที่ฆ่าคุณได้เพราะงั้น ทุกท่านทำตัวสบายๆ แล้วมาเริ่มเดินทางฟังเรื่องราวของชายหนุ่มที่เป็นคนสดใจร่าเริงปกติใช้ชีวิตประจำวันโดยการอยู่หน้าจอคอมเป็นส่วนใหญ่ ทุกท่านนั่งประจำที่เลยครับ พร้อมแล้วใช่ไหมครับ ไปกันเลยครับ
เหตุการณ์เริ่มขึ้นจากวันนึงเป็นวันธรรมดาที่แสนปกติ อาการร้อนหน่อยๆ มีชายหนุ่มคนนึงที่กำลังจดจ่ออยู่ หน้าคอมเล่นเกมออนไลน์ ตามประสาวัยรุ่นยุคใหม่ แต่ชายคนนี้เค้าจะมีมุมที่ซ่อนเอาไว้ ใช่ครับเบื่องหน้าเค้าเป็นคนตลกเฟรนลี่เฮฮา แต่ใครจะไปรู้ละครับว่าลึกๆ ข้างในเค้าเป็นคนที่คิดเยอะ คิดมากวิตกกังวลกับเรื่องเล็กๆ ไม่ว่าจะเรื่องทางครอบครัว เรื่องเรียน เรียกได้ว่าคิดไปไกลก่อนการอีกครับ และแล้ววันนึงเรื่องก็เกิดขึ้นครับ เวลาโดยประมาณ ตี 2 กว่าๆ ชายคนนี้สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หัวใจเค้าเต้นแรงมากๆ เหมือนคนตีกลองหรือ หัวใจจะออกมาเต้นออกนอกยังไงอย่างงั้นเลย เค้าเช็คตัวเองแล้วรู้สึกว่า มีอาการใจเต้นแรง ใจหวิวๆ เหมือนใจสั่น แขนขาชา หายใจไม่อิ่ม รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะหัวใจวาย เค้ากังวลกับอาการตัวเองมากอย่างแรกที่เค้าทำเลยคือ เปิดอากู๋หาข้อมูล (เหมือนที่ท่านกำลังเป็นแล้วเปิดมาเจอกระทู้ผมนี่ละครับ) หลังจากหาข้อมูลเสร็จเค้าคิดในใจกับตัวเองว่า "เห้ย.....อาการทำไมมันเหมือนกับโรคหัวใจเลย เท่านั้นละครับเค้าวิตกกังวลหนักกว่าเก่า หัวใจก็เต้นแรงขึ้นๆ เค้าเปิดหาข้อมูลและอาการให้แน่ใจ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ กับการเปิดหาข้อมูล สิ่งที่เค้าเจอคือ ไม่ว่าจะโรคหัวใจ เส้นเลือดหัวใจตีบ บลาๆ
หลายโรคไม่ไหวจะเป็นกันเลยทีเดียวครับ แต่ว่าในระหว่างที่เค้ากำลังวหาสาเหตุอาการอยู่ มันกับรู้สึกค่อยๆ ทุเลาลงจนรู้สึกปกติ
พอแล้วเค้ารู้สึกได้อย่างนั้นแล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เอ้าเมื่อกี้ยังเป็นอยู่เลยแล้วทำไมจู่ๆ มันค่อยๆ หายไปดื้อๆ พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกวิตกกังวลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กังวลว่ามันจะกลับมาเป็นอีกรึป่าว
เค้าจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้หลับได้ปกติตื่นมาช่วงเวลา
เกือบจะเที่ยงเห็นจะได้ เค้ามีอาการ รู้สึกโครงเครงคล้ายเหมือนจะเสียการทรงตัวไปด้านใดด้านนึงคือ ไม่ด้านหน้าก็ด้านหลัง รู้สึกอ่อนแรง วินเวียนศรีษะ คลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน เจ็บหน้าอกซ้ายขวาแป๊ปๆ เค้าจึงเลือกที่จะอาบน้ำกินข้าวแล้วไปคลินิกใกล้บ้าน
หลังจากที่พบหมอ แล้วเล่าอาการให้หมอฟังหมอให้ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ผลสรุปคือ มีแค่หัวใจเต้นผิดจังหวะนิดหน่อย หมอจึงให้ตรวจเลือดเผื่อดูหลายๆ อย่างเช่นไทรอยด์ หรือ อะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแล้วมีอาการเช่นนั้น ผลสรุปก็ยังปกติทุกอย่าง หมอที่คลินิกจึงทำใบส่งตัวเพื่อส่งให้โรงบาลใหญ่ตรวจหาสาเหตุโดยที่หมอ สงสัยว่าอาการที่เป็นอาจเป็นแพนิค หรือ โรควิตกกังวล
(PANIC DISORDER) เป็นอาการที่สารในสมองทำงานผิดพลาดจึงทำให้เกิดอาการวิตกกังวลจนเกินเหตุ หรือ มากไปพอถึงโรงบาลใหญ่ หมอตรวจเหมือนที่หมอคลีนิคตรวจเลย แล้วผลก็ปกติทุกอย่างแล้วคุณก็วินิจฉัยได้ว่า เป็นแพนิคจริงแท้แน่นอน แล้วหมอก็พูดกับคนไข้ว่าไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวหมอจะส่งต่อให้หมออีกคนรักษาซึ่งเป็นแพทย์เฉพราะทาง (หมอจิตเวช) แต่หมอเค้าไม่พูดตรงๆ ว่าเป็นหมอจิตเวช อาจเป็นเพราะเซฟความรู้สึกคนไข้ จึงใช้ชื่ออื่นเรียกแทนคือ หมอแพนิค แล้วหลังจากนั้นหมอก็แจ้งให้ทราบว่า "เดี๋ยวหมอจะนัดให้มาพบอีกทีระหว่างนี้หมอจะจ่ายยาเป็น ยาช่วยให้นอนหลับและยาคลายเคลียดให้ หลังจากที่ไปโรงบาลเสร็จกลับบ้านมา กินข้าวอาบน้ำเสร็จเวลาโดยประมาณ สามทุ่มเห็นจะได้ เค้าก็กินยาตามหมอสั่งคือ อย่างละเม็ดก่อนนอน หลังจากกินยาไปมีอาการง่วงสมองโล่ง รู้สึกผ่อนคลายแล้วหลับได้ปกติเหมือนชีวิตปกติที่เค้าเคยเป็น ครั้งนี้เค้าตื่นเช้าพร้อมความแจ่มใสสดใสเหมือนอาการที่เคยเป็นมันเป็นแค่ฝัน แต่ทว่าความสุขมักอยู่ได้ไม่นาน ผ่านมา 2 วันก่อนเพียงแค่อีก 1 วันเค้าก็จะไปตามนัดหมอที่หมอสั่งเค้ากับมีอาการเช่นเคย แต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นตอนเค้ากำลังนอนแต่เป็นตอนเค้ากำลังขับรถกลับบ้าน จู่ๆ เค้าก็รู้สึก คอแห้ง ตาพร่ามัว ใจเต้นแรงสั่นหวิวๆ จังหวะนั้นเค้าไม่ได้คิดถึงโรคแพนิค แต่เค้ากับคิดถึงโรคอื่น จึงทำให้วิตกกังวลจนลืมไปว่าเค้ากำลังเป็นแพนิคอยู่ เช่นเคยอาการนี้ของเค้าอยู่ได้เพียงไม่นานเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เค้าจึงได้กินยาคลายเครียดยาช่วยให้นอนหลับเหมือนปกติ พอสมองโล่งเริ่มง่วงเค้าก็ไม่รู้ตัวว่าผอยหลับไปตอนไหนพอตื่นขึ้นมาก็มีอาการหลังจากที่เป็นเหมือนเดิม คือเพลีย แขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้ วินเวียนศรีษะ เค้าเปิดโทรศัพท์ดู วันที่ 21 พ.ย. 2566 เวลา 06:43 นาที วันที่หมอนัด (ใช่ครับมันคือวันที่ผมกำลังเขียนกระทู้นี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์มา) ถึงโรงบาลประมาณ 9 โมงกว่าๆ เป็นวันที่รถติดมากๆ หลังจากที่ยื่นใบนัดให้ห้องรับเรื่อง เค้าเดินออกจากห้องมาด้วยอาการนิ่งสงบแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า ขึ้นไปชั้นสองครับ ตอนแรกในความคิดของเค้าคือ "ทำไมต้องพูดเบาๆ ด้วยหว่า" แต่ก็ได้แค่สงสัยจนกระทั่งเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง แล้วก็ได้เห็นป้าย คลินิก**** (ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับเพราะไม่ทราบว่าสารมารถลงในสื่อสาธารณะได้รึป่าว) พอเห็นดังนั้นเค้าก็ได้เปิดประตูเข้าไป มองไปทางซ้ายเห็นคนคาดว่าอายุ 30-40 กำลังคุยกับหมอ แต่ว่าอาการที่สื่อออกมาเหมือนว่า เค้าอายุ 5-6 ขวบอย่างงั้นเลย นั่งเฉยๆ ไม่ค่อยได้ ยุกยิกๆ ไปมาแต่ว่าหมอก็มีวิธีควบคุมของเค้า เอาละพอถึงตาชายหนุ่มคนนี้ได้คุยกับหมอ เค้าก็ซักประวัติด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไพเราะน่าฟังมากๆ ถามถึงอาการและสิ่งเร้าต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการดังนี้ขึ้น หลังจากทราบแล้วหมอที่ซักประวัติถามอาการได้ให้นำใบบันทึกหรือซักประวัติไปยื่นที่หน้าห้อง ห้องนึงแล้วก็ได้มานั่งลงที่เก้าอี้ตรงเก้าอี้ก็มีคนแต่แปลกแตกต่างกันไป บางคนตาลอยๆ แปลกๆ บางคนก็จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาโดยไม่ทราบว่าพูดกับใคร แต่ที่แปลกสุดที่เจอเลยคือ จู่ๆ มีผู้หญิงอายุ ประมาณ 40 กว่าๆ เอาหัวมาแนบหน้าผมแล้วพูดว่า เข้ามาในนี้ต้องถอดรองเท้าตอนนั้นคือเหมือนวิญญาณออกจากร่าง ลืมอาการแพนิคไปเลย แต่ที่พีคว่านั้นคือ ถ้าพูดเสร็จแล้วเอาหน้ากลับไปนี่ก็โอเครแต่นี่เล่นเอาหน้าหน้าแนบแก้มผมเลย อาการตอนนั้นคือรู้สึกร่างกายไม่ขยับ (อารมณ์เหมือนอยู่ในหนังผีเลย55555555) แล้วก็มีพยาบาลคนนึงพูดขึ้นว่า "น้อง** อย่าทำแบบนั้นสิไหนว่าสัญญากันแล้วไงว่าจะทำตามที่พี่พูด" แล้วคนๆ นั้นก็ตอบกลับไปว่า "ก็เค้าไม่ยอมถอดรองเท้าเลยบอกให้ไปถอดไง" แล้วก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่มีสาเหตุ จังหวะนั้นผมจึงรีบลุกขึ้นไปถอดรองเท้าแล้วกลับมานั่ง
พยาบาลก็ปรอบคนๆ นั้นจนเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในปกติถึงคิวที่หมอเรียกแล้วก็ไปนั่ง หมอก็ซักถามอาการอีกรอบ แต่จะถามถึงอาการเหล่านี้ด้วยเช่น
1.มีอาการเบื่อหรือไม่อยากทำอะไรที่เคยชอบทำรึป่าว
2.ไม่อยากออกไปพบผู้คนหรือกลัวการเข้าสังคมหรือป่าว
3.มีอาการอยากทำร้ายตัวเองก็อยากฆ่าตัวตายรึป่าว
4.มีอาการที่รู้สึกท้อแท้ เศร้าๆ รึป่าว
แล้วหมอกูพูดถึงวิธีการฝึกหายใจ เวลารู้สึกมีอาการ "นั้นคือข้อความข้างต้นที่ผมได้พิมพ์ลงไปเพราะทำแล้วได้ผล"
แล้วหมอก็ได้มีการสั่งยาคือ
1.Sertraline 50 mg. (หรือที่รู้จักกันใจชื่อยาต้านซึมเศร้า ซึ่งยาตัวนี้จะช่วยปรับสารในสมองให้ทำงานได้ปกติ)
2.LoraZEPAM 1 mg. (หรือยาที่ช่วยให้นอนหลับ)
3.Diazepam 2 mg. (หรือยาแก้ใจสั่นให้กินเฉพราะตอนมีอาการใจสั่นเท่านั้น)
**ยาที่กล่าวมาทั้งหมดไม่สามารถซื้อทานเองได้เพราะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้นไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายต่อตัวท่านเองได้**
เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ เดี๋ยวจะอัพเดตหลังจากเข้ารับรักษาอีกทีวันที่ 19 ธ.ค 66 ครับ
ท้ายที่สุดนี้อยากบอกให้ทุกคนที่ประสบพบเจอกับโรคแพนิคนี้อยู่ ให้สู้ๆ แล้วสู้กับมันให้สุดแพนิคสู้มายังไงสู้กลับให้หมด จนจากที่เรากลัวมัน ต้องทำให้มันกลัวเรา ไม่ต้องกลัวตาย เพราะไม่มีทางที่แพนิคจะฆ่าเราได้ เพราะสิ่งที่จะฆ่าเราได้มีเพียงแค่ความคิดของเราเท่านั้น ขอบคุณครับ