กระทู้นี้เป็นภาค 2 ต่อจาก
คณิกา และ อุจจาระ สมาธิ
ตั้งใจอธิบายเอาไว้ให้ สำหรับ คนที่สงสัย ว่าเหตุใดไม่ควรมีคำบริกรรม
ดีกว่าไปตอบว่า "เพราะพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ" คนฟังก็เลยยิ่ง งง
ก็ยังพากันเมาธรรมต่อไป
นิทานสมมุติ....
พระพุทธเจ้า : เรากล่าวว่า อานาปานสติ เป็นวิหารของตถาคต ทำให้มากเจริญให้มากเป็นเหตุให้ สติปัฐฐาน ๔ บริบูรณ์ - วิมุติ
ภิกษุ : หม่อมฉันสรรเสริญ พุทโธ ว่าเป็นอุบายให้จิตสงบ อานาปานสติ ยากไปสำหรับผู้เริ่มใหม่พระเจ้าข้า !!!
พ : แล้วจะสอนท่องพุทโธ อีกกี่วันถึงจะเรียกว่าเก่า เมื่อไรจะไปสอนให้เริ่ม อานาปานสติ กันซักที ?
ภ : ก็สอนจนกว่าหม่อมฉัน มรณะภาพ นั่นแหละพระเจ้าข้าาาา อนึ่งครูบาอาจารย์สอนมา เป็นอริยะเจ้ากันทั้งนั้น พระเจ้าข้าาาา
พ : ตะโพนอานกะ มันตีปะผุ คำสอนเข้าไปใหม่ทุกยุคทุกสมัยจริง ๆ อนึ่ง ธรรมมีเกิดขึ้น ก็ต้องมีดับไป เสื่อมไป เป็นธรรมดา...
ภ : ..........
เข้าเรื่อง.....
พระพุทธเจ้ากล่าวย้ำเสมอว่า "อย่าประมาท" ให้ทำ "ความเพียรเผากิเลส" , "มีใจเด็ดเดี่ยว"
อะไรคือเรียกกว่า "ทำความเพียรเผากิเลส" ? ............ อะไรคือกิเลส ?
ต้องทำความเข้าใจตรงนี้กันก่อนนะ !!!
กิเลสมันเป็นธาตุตามธรรมชาติ ที่มีอยู่แล้ว จริงมั๊ย ?
สิ่ง ๆ หนึ่ง ด้วยความไม่รู้ก็ "เข้าไปยึด" เข้าไปครองขันธ์ ตานี้เป็นของเรา... หูนี้เป็นของเรา แล้วก็ "ปรุงแต่ง"
เมื่อมีผัสสะ เข้ามากระทบเกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ เฉย ๆ เป็นกิเลส สร้างภพเพราะการปรุงแต่ง
เพราะไปดึงเอา ธาตุตามธรรมชาติ ที่มีอยู่แล้วเข้ามา
ดังนั้น การทำความเพียรเผากิเลส คือการลด ละ เลิก การปรุงแต่งต่าง ๆ (ที่เกิดจากอายตนะไปกระทบ)
"ขันธ์" ทั้ง ๕ ที่มีอยู่ ก็สร้างนิวรณ์ไปตามการปรุงแต่ง
การฝึกทำความเพียรเผากิเลส
จึงต้องลดการใช้ขันธ์ ให้น้อยที่สุด (นิวรณ์)
ขั้นหยาบ คือ ให้วิญญาณ ไปเกาะกับ "รูป" 1+1 = เหลืออยู่แค่ 2 ขันธ์
ขั้นกลาง คือ ให้วิญญาณ "เพิก รูป" เป็นอรูป = เหลืออยู่ขันธ์เดียว คือวิญญาณ ยังมีอยู่
ขั้นสูงสุด คือ แม้นแต่วิญญาณ "ก็ไม่ยึด" ( ผู้รู้ ผู้ดู ผู้ถูกรู้ ผู้ถูกดู)
เมื่อเข้าใจอย่างนี้เรา ก็จะเห็นว่า
- ก็ต้องขอถามกลับว่า การท่อง พุทโธ
ใช้กี่ขันธ์ ??????
ต่อ....
คนเราเวลาทำสมาธิ โดยธรรมชาติเลย อย่างเช่นการทำอานาปานสติ จิตฟุ้ง เรารู้ว่าฟุ้ง
จะเห็นได้ว่า เป็นการฝึกจับสัตว์ทั้ง ๕ ชนิด มาใส่กระด้ง ต้องอาศัยความชำนาญ...ทำให้บ่อย
นายพลานมือใหม่ย่อมจับสัตว์ไม่เก่ง หรือ ห่างหายจากการจับสัตว์ไปนาน ก็ต้องมาซ้อมคล้องบ่วงบาศก์กันใหม่
- ทำ พุทโธ ที่ว่ากันว่าเป็นอุบายให้จิตสงบแล้ว แปลว่าพอท่องแล้ว จิตแทบไม่ฟุ้งเลย นิ่งเร็วมาก
จริงหรือ ? คำถามที่ ๒
เมื่อทำ อานาปานสติ สติปัฐฐานทั้ง ๔ จะบริบูรณ์ เป็นทางสายเอก ทำความเพียรเผากิเลส อย่างไร ?
๑. เดี่ยวจิตกลับมา ที่รูป สักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
(เมื่อได้ ๑ ที่เหลือจะค่อย ๆ ตามมาสัมปชัญญะบ้าง (ไม่ห่างจากฌาน) มองโดยความเป็นธาตุบ้าง มองร่างกายไม่สะอาดบ้าง
๒. เมื่อจิตสบาย ๆ รู้ลมตามความเป็นจริง เพียงอาศัยระลึก เมื่อเวทนาเกิด ก็เพียงอาศัยระลึก ว่าขันธ์เราเต็มไปด้วยกองทุกข์
๓. ตรงนี้สำคัญ จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าไม่เป็น จิตฟุ้ง ก็รู้ว่าจิตฟุ้ ไม่ใช่อาการไปพยายามเพ่ง (โดยมีความคิดที่ว่า ตรูจะเพ่งซ้อนเข้าไปอีก)
๔. ทำ ๆ ไปแล้วขี้เกียจอยากเลิก เกิดนิวรณ์ ทนไม่ไหว ให้รู้ว่ามีนิวรณ์ มี ถีนมิทธะ เข้าแทรก พอรู้อยู่อย่างนี้ มันก็ดับ (แล้วก็เกิดมาอีก)
เอาแต่เพ่งคำบริกรรม จะไปรู้ ปัฐฐานทั้ง ๔ ได้อย่างไร ?
ก็ถ้าในเมื่อทำ อานาปนสติ แล้วมันก็ฟุ้ง ท่องคำบริกรรม ก็มีหลุดไปคิดเหมือนกัน
แล้วจะท่องทำเพื่อ ? คำถามที่ ๓
หากเหตุการเกิดแห่งการแตกนิกายเซ็น เพราะพระกัสสะปะมองดอกบัว แล้วบรรลุเฉียบพลัน แล้วไซร์
( จริตความสามารถส่วนตัวพระองค์เดียว )
เหตุแห่งสาย พุทโธ นิมิตรแสงสีเสียง มโนแล้วยุกยิก ๆลๆ ก็เพราะเหตุแห่งเรื่องของ "นายช่างทอง"
และ "นั่งถูผ้าขาว" ไม่ต่างกัน ที่เอาจริตความสามารถส่วนตัวของคนบางคน
มาขยายประเด็น เผยแพร่ เห็นดีเห็นงาม จะ"เลียนแบบ"จริตส่วนตัวนั้น ทั้งประเทศ........
นี่ยังไม่นับเรื่อง
อนิมิตร ที่
ไม่ค่อยชอบพูดถึงกันอีกนะ ใส่คียเวริดเข้าไป ผลการค้นหาออกมาเพียบบบบ
ที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้....
ส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าเป็น
ผู้เดินตาม คงไม่ทำตำราขาย สร้างคำสอน ขึ้นมาเองในแบบฉบับของตน แข่งกับศาสดา
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่า ศาสดาสอนทำสมาธิแบบไหน
ส่วนตัวเชื่อว่า โมฆบุรุษ ทั้งนั้น!!! (ความเห็นส่วนตัวน๊ะจ๊ะ)
ทิ้งท้ายไว้ว่าเหตุแห่งจิตไม่สงบ พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้แล้ว ๘ ประการ (ตรงนี้ไม่แน่ใจนะ ผมขี้เกียจไปค้น ลองหาดูเอาแล้วกัน)
เป็นเหตุที่ท่านสอนเอาไว้ตรง ๆ เลย ว่าทำไมถึงไม่สงบ เช่น ตื่นเต้น เพ่งมากไป ตั้งใจน้อยไป ๆลๆ.......
ไม่เกี่ยวเลยกับท่องบริกรรมแล้วจะสงบเร็ว คำสอนไปคนละทาง.....
ท่อง ๆ ไประวัง พระพุทธเจ้ามาอนุโมทนา ยิ้มหวานนน ให้เบย......
ตั้งใจทิ้งกระทู้นี้เอาไว้ให้ อยากสงบ แต่ผิดศีลซะแระ กลับมาตั้งกระทู้เฉยเบย ...
กระทู้นี้ ก็แสลงหู สำหรับคนที่ยึดในเรื่องพวกนี้ไปแล้วนะแหละ
แต่ลองดูนะ ถ้า
ลมหายใจแผ่ว ๆ ก็น่าจะอ่านแล้วเข้าใจ ... (<<<จิ้ม)
บาย.....
พุทโธ จุ๊กรู๊ อรหันต์เต็มเบย!! เหตุไม่ควรมีคำบริกรรม
ตั้งใจอธิบายเอาไว้ให้ สำหรับ คนที่สงสัย ว่าเหตุใดไม่ควรมีคำบริกรรม
ดีกว่าไปตอบว่า "เพราะพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ" คนฟังก็เลยยิ่ง งง
ก็ยังพากันเมาธรรมต่อไป
นิทานสมมุติ....
พระพุทธเจ้า : เรากล่าวว่า อานาปานสติ เป็นวิหารของตถาคต ทำให้มากเจริญให้มากเป็นเหตุให้ สติปัฐฐาน ๔ บริบูรณ์ - วิมุติ
ภิกษุ : หม่อมฉันสรรเสริญ พุทโธ ว่าเป็นอุบายให้จิตสงบ อานาปานสติ ยากไปสำหรับผู้เริ่มใหม่พระเจ้าข้า !!!
พ : แล้วจะสอนท่องพุทโธ อีกกี่วันถึงจะเรียกว่าเก่า เมื่อไรจะไปสอนให้เริ่ม อานาปานสติ กันซักที ?
ภ : ก็สอนจนกว่าหม่อมฉัน มรณะภาพ นั่นแหละพระเจ้าข้าาาา อนึ่งครูบาอาจารย์สอนมา เป็นอริยะเจ้ากันทั้งนั้น พระเจ้าข้าาาา
พ : ตะโพนอานกะ มันตีปะผุ คำสอนเข้าไปใหม่ทุกยุคทุกสมัยจริง ๆ อนึ่ง ธรรมมีเกิดขึ้น ก็ต้องมีดับไป เสื่อมไป เป็นธรรมดา...
ภ : ..........
เข้าเรื่อง.....
พระพุทธเจ้ากล่าวย้ำเสมอว่า "อย่าประมาท" ให้ทำ "ความเพียรเผากิเลส" , "มีใจเด็ดเดี่ยว"
อะไรคือเรียกกว่า "ทำความเพียรเผากิเลส" ? ............ อะไรคือกิเลส ?
ต้องทำความเข้าใจตรงนี้กันก่อนนะ !!!
กิเลสมันเป็นธาตุตามธรรมชาติ ที่มีอยู่แล้ว จริงมั๊ย ?
สิ่ง ๆ หนึ่ง ด้วยความไม่รู้ก็ "เข้าไปยึด" เข้าไปครองขันธ์ ตานี้เป็นของเรา... หูนี้เป็นของเรา แล้วก็ "ปรุงแต่ง"
เมื่อมีผัสสะ เข้ามากระทบเกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ เฉย ๆ เป็นกิเลส สร้างภพเพราะการปรุงแต่ง
เพราะไปดึงเอา ธาตุตามธรรมชาติ ที่มีอยู่แล้วเข้ามา
ดังนั้น การทำความเพียรเผากิเลส คือการลด ละ เลิก การปรุงแต่งต่าง ๆ (ที่เกิดจากอายตนะไปกระทบ)
"ขันธ์" ทั้ง ๕ ที่มีอยู่ ก็สร้างนิวรณ์ไปตามการปรุงแต่ง
การฝึกทำความเพียรเผากิเลส จึงต้องลดการใช้ขันธ์ ให้น้อยที่สุด (นิวรณ์)
ขั้นหยาบ คือ ให้วิญญาณ ไปเกาะกับ "รูป" 1+1 = เหลืออยู่แค่ 2 ขันธ์
ขั้นกลาง คือ ให้วิญญาณ "เพิก รูป" เป็นอรูป = เหลืออยู่ขันธ์เดียว คือวิญญาณ ยังมีอยู่
ขั้นสูงสุด คือ แม้นแต่วิญญาณ "ก็ไม่ยึด" ( ผู้รู้ ผู้ดู ผู้ถูกรู้ ผู้ถูกดู)
เมื่อเข้าใจอย่างนี้เรา ก็จะเห็นว่า
- ก็ต้องขอถามกลับว่า การท่อง พุทโธ ใช้กี่ขันธ์ ??????
ต่อ....
คนเราเวลาทำสมาธิ โดยธรรมชาติเลย อย่างเช่นการทำอานาปานสติ จิตฟุ้ง เรารู้ว่าฟุ้ง
จะเห็นได้ว่า เป็นการฝึกจับสัตว์ทั้ง ๕ ชนิด มาใส่กระด้ง ต้องอาศัยความชำนาญ...ทำให้บ่อย
นายพลานมือใหม่ย่อมจับสัตว์ไม่เก่ง หรือ ห่างหายจากการจับสัตว์ไปนาน ก็ต้องมาซ้อมคล้องบ่วงบาศก์กันใหม่
- ทำ พุทโธ ที่ว่ากันว่าเป็นอุบายให้จิตสงบแล้ว แปลว่าพอท่องแล้ว จิตแทบไม่ฟุ้งเลย นิ่งเร็วมาก จริงหรือ ? คำถามที่ ๒
เมื่อทำ อานาปานสติ สติปัฐฐานทั้ง ๔ จะบริบูรณ์ เป็นทางสายเอก ทำความเพียรเผากิเลส อย่างไร ?
๑. เดี่ยวจิตกลับมา ที่รูป สักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
(เมื่อได้ ๑ ที่เหลือจะค่อย ๆ ตามมาสัมปชัญญะบ้าง (ไม่ห่างจากฌาน) มองโดยความเป็นธาตุบ้าง มองร่างกายไม่สะอาดบ้าง
๒. เมื่อจิตสบาย ๆ รู้ลมตามความเป็นจริง เพียงอาศัยระลึก เมื่อเวทนาเกิด ก็เพียงอาศัยระลึก ว่าขันธ์เราเต็มไปด้วยกองทุกข์
๓. ตรงนี้สำคัญ จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าไม่เป็น จิตฟุ้ง ก็รู้ว่าจิตฟุ้ ไม่ใช่อาการไปพยายามเพ่ง (โดยมีความคิดที่ว่า ตรูจะเพ่งซ้อนเข้าไปอีก)
๔. ทำ ๆ ไปแล้วขี้เกียจอยากเลิก เกิดนิวรณ์ ทนไม่ไหว ให้รู้ว่ามีนิวรณ์ มี ถีนมิทธะ เข้าแทรก พอรู้อยู่อย่างนี้ มันก็ดับ (แล้วก็เกิดมาอีก)
เอาแต่เพ่งคำบริกรรม จะไปรู้ ปัฐฐานทั้ง ๔ ได้อย่างไร ?
ก็ถ้าในเมื่อทำ อานาปนสติ แล้วมันก็ฟุ้ง ท่องคำบริกรรม ก็มีหลุดไปคิดเหมือนกัน แล้วจะท่องทำเพื่อ ? คำถามที่ ๓
หากเหตุการเกิดแห่งการแตกนิกายเซ็น เพราะพระกัสสะปะมองดอกบัว แล้วบรรลุเฉียบพลัน แล้วไซร์
( จริตความสามารถส่วนตัวพระองค์เดียว )
เหตุแห่งสาย พุทโธ นิมิตรแสงสีเสียง มโนแล้วยุกยิก ๆลๆ ก็เพราะเหตุแห่งเรื่องของ "นายช่างทอง"
และ "นั่งถูผ้าขาว" ไม่ต่างกัน ที่เอาจริตความสามารถส่วนตัวของคนบางคน
มาขยายประเด็น เผยแพร่ เห็นดีเห็นงาม จะ"เลียนแบบ"จริตส่วนตัวนั้น ทั้งประเทศ........
นี่ยังไม่นับเรื่อง อนิมิตร ที่ไม่ค่อยชอบพูดถึงกันอีกนะ ใส่คียเวริดเข้าไป ผลการค้นหาออกมาเพียบบบบ
ที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้....
ส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าเป็นผู้เดินตาม คงไม่ทำตำราขาย สร้างคำสอน ขึ้นมาเองในแบบฉบับของตน แข่งกับศาสดา
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่า ศาสดาสอนทำสมาธิแบบไหน
ส่วนตัวเชื่อว่า โมฆบุรุษ ทั้งนั้น!!! (ความเห็นส่วนตัวน๊ะจ๊ะ)
ทิ้งท้ายไว้ว่าเหตุแห่งจิตไม่สงบ พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้แล้ว ๘ ประการ (ตรงนี้ไม่แน่ใจนะ ผมขี้เกียจไปค้น ลองหาดูเอาแล้วกัน)
เป็นเหตุที่ท่านสอนเอาไว้ตรง ๆ เลย ว่าทำไมถึงไม่สงบ เช่น ตื่นเต้น เพ่งมากไป ตั้งใจน้อยไป ๆลๆ.......
ไม่เกี่ยวเลยกับท่องบริกรรมแล้วจะสงบเร็ว คำสอนไปคนละทาง.....
ท่อง ๆ ไประวัง พระพุทธเจ้ามาอนุโมทนา ยิ้มหวานนน ให้เบย......
ตั้งใจทิ้งกระทู้นี้เอาไว้ให้ อยากสงบ แต่ผิดศีลซะแระ กลับมาตั้งกระทู้เฉยเบย ...
กระทู้นี้ ก็แสลงหู สำหรับคนที่ยึดในเรื่องพวกนี้ไปแล้วนะแหละ
แต่ลองดูนะ ถ้า ลมหายใจแผ่ว ๆ ก็น่าจะอ่านแล้วเข้าใจ ... (<<<จิ้ม)
บาย.....