ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทีมงาน ppantip.com ที่ได้จัดกิจกรรมให้กับสมาชิกได้ไปลองทานอาหารร้านใหม่ๆ และทางแอดมินที่มาก็เป็นกันเองมากๆ คุยเล่นกันไปถ่ายรูปกันไปกินกันไป ใครที่สนใจร่วมลองติดตามในห้องก้นครัว ถ้ามีผมแนะนำให้ลงชื่อกันไปเลย
รีวิวนี้ถึงจะเป็น SR ก็จริงแต่ผมจะเขียนให้ตรงๆเหมือนกับ CR เพื่อที่สมาชิกที่อ่านจะได้รับรู้ถึงสิ่งที่ผมคิดในความรู้สึกของผมไปกันเลย
Pesca Mar and Terra Bistro เป็นร้านอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่ที่เอกมัย ซอย12 ตรงเข้ามาเรื่อย ๆก็จะเจอร้านอยู่ด้านขวา หรือจะเข้ามาทางทองหล่อซอย 10 ก็ได้เหมือนกัน มีที่จอดรถประมาณ 5-6คัน แต่ทางร้านก็มี Valet Parking คอยบริการให้กับลูกค้าด้วยครับ
ชื่อของร้านทางคุณรัน ซึ่งเป็น PR สาวสวยของร้านได้อธิบายเกี่ยวกับชื่อร้านว่า Pesca แปลว่า ตกปลา Mar แปลว่า ทะเล Terra แปลว่า แผ่นดิน ซึ่ง concept อาหารของร้านคือ Land meet Sea ทำให้อาหารในร้านจะเน้นซีฟู้ดจากในทะเลแล้วเสริฟ์บนจานไม้ ซึ่งเป็นแนวร้านที่ผมคิดว่า concept ดีอีกร้านนึงที่ไม่ใช่เปิดร้านโดยไม่คำนึงถึงแนวทาง ทำให้ตลอดเวลาที่ทานอยู่มีลูกค้าเข้าออกตลอด และส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่มาทานแล้วติดใจเข้ามาทานอีก
โซนอาหารของทางร้านก็จะมีแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกัน
เรื่มจากโซน Delicatessen ซึ่งเป็นโซนของ ขนมปัง ชีส และ cold cut ต่างๆมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย มาครั้งเดียวกินยังไงก็ไม่ครบแน่นอน
ส่วนของชีส และ cold cut ต่างๆซึ่งนำเข้าซึ่งมีหลายแบบมากๆ
ขนมปังของทางร้านจะเป็นขนมปังที่ทำเอง มีหลายแบบให้เลือกรวมถึงเนยซึ่งทางร้านก็ทำเอง ตั้งแต่กินเนยที่ทาขนมปังมา บอกได้เลยนี่เป็นเนยที่หอมอันดับต้นๆ ส่วนเนยสีส้มทางร้านก็มีใส่พวก herbs ต่างๆผสมเข้าไป ทากับขนมปังแล้วอร่อยมากกกกกกกก
โซนต่อมาเป็นโซนของอาหารทะเล ซึ่งวันนี้ทางร้านมี oyster และ Canadian lobster ให้เลือกทานกัน ใครที่ชอบทาน Oyster แนะนำต้องมาลอง มีให้เลือกเยอะหลายอย่างมาก
ส่วนในตู้นี้ ผมชอบอย่างนึงของร้านมากๆคือหลังจากลูกค้าทานหอยนางรมแล้ว ทางร้านจะเอาเปลือกเปล่าๆมาแช่ไว้ในน้ำเกลือแบบนี้ไว้สักพัก เพื่อที่ว่าเวลาทิ้งลงในขยะจะได้ไม่มีกลิ่นคาวไปรบชวนชาวบ้านชาวช่องด้วย จุดนี้ร้านอาหารทะเลอื่นๆก็ควรนำไปทำ ถือว่าใส่ใจดีมากๆ
วันนี้ทางเชฟได้เลือกหอยนางรมมา 3 สามพันธ์ให้เราได้ลองชิมกัน ทางร้านจะทำการเท Sambuca ตรงน้ำแข็งแห้งตรงกลาง ไม่ได้ใช้น้ำเหมือนหลายๆที่ เพราะว่า Sambuca จะได้ฟองที่ละเอียดกว่า ใส่ใจรายละเอียดมากๆ
มาเริ่มกับหอยนางรมกันเลยว่าทางร้านให้เราชิมอะไรกันไปบ้าง
Special Isigny (ตัวละ 79 บาท)
หอยนางรมตัวนี้จะออกรสชาติที่ค่อนข้างจะเค็ม ผมบีบมอนและใส่น้ำส้มสายชูที่มีหอมสับ ทานคู่กันแล้วก็เข้ากันดี แต่ก็ยังไม่สุดสำหรับผม อาจจะเป็นเพราะว่ามันติดเค็มและผมไม่ค่อยชอบก็เป็นไปได้ ความสดผมให้ 10/10 ส่วนของความอร่อย 8/10
Gillardeau (ตัวละ179 บาท)
ตัวนี้ถือว่าเป็นหอยนางรมเกรดpremium ผมแค่บีบเลมอนลงไป แล้วดูดเข้าปากเลย เป็นหอยนางรมที่อร่อยตัวนึง รสชาติจะออกหวาน ไม่เค็มกินกับเลมอนแล้วฟินมากๆ มีเท่าไรก็กินได้
Gillardeau ของแท้ต้องมี Laser ตัว G สลักไว้ตรงเปลือกทุกตัวแบบนี้ด้วย ความสดไม่ต้องพูดถึง 10/10 ความอร่อย 8.5/10
Ostra Regal (ตัวละ 129 บาท)
ตัวนี้ ผมใส่น้ำจิ้มซีฟู้ดกับบีบเลมอน เป็นหอยนางรมที่ผมชอบมากที่สุดของวันนี้เลย มันหวานและอร่อยมากๆ อธิบายไม่ถูกจริงๆ แบบนี้ต้องลองเอง! ความสดก็เช่นเคย 10/10 ความอร่อยตัวนี้เอาไป 10/10 เลย!
เมนูต่อมาที่ทางร้านนำมาให้พวกเราได้ชิมกันก็คือ
Oyster Blade Wagyu (990บาท)
ทางร้านจะใช้เนื้อวากิวจาก Australia ทางร้านจะย่างมาแบบ Medium Rare เสริฟพร้อมกับ ซอสพริกไทสไตล์เสฉวน, หน่อไม้ฝรั่ง และ กระเทียมที่อร่อยที่สุด ซึ่งเข้ากับเนื้อย่างเป็นอย่างดี ผมลองกินแบบไม่จิ้มอะไรเลย จิ้มซอส รวมถึงขอเกลือมาโรย ผมว่าแบบโรยเกลืออร่อยสุด แต่เนื้อตัวนี้มีกลิ่นเนื้อค่อนข้างแรงนิดนึง ใครที่ชอบกลิ่นเนื้อก็กินได้ ส่วนผมว่าตัวเนื้ออร่อยมาก แต่กลิ่นเนื้อแรงไปเลยยังไม่โดนเท่าไร แต่ว่ากระเทียมอร่อยมากๆ นุ่มสุดๆไม่รู้ทำยังไง อยากได้สูตรมาทำกินเองชะมัดเลย !!
ต่อมาเป็น Signature dish ของทางร้านเลย นั่นก็คือ!!
Lobster Roll (990 บาท)
เมนูนี้เป็น Signature dish ของทางร้าน เมนูนี้ใช้ England Lobster กับซอส Mayo และขนมปังนุ่มๆซึ่งเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ลองดูเนื้อ Lobster ที่อัดมาเต็มๆแบบที่กัดเท่าไรก็เจอแต่เนื้อ Lobter ยิ่งทานคู่กับซอสที่เสริฟมา ถือว่าอร่อยเหาะกันไปเลย!!
เมนูสุดท้ายก่อนที่จะเข้าของหวานก็คือ
Paella Mix (1490 บาท)
จานนี้หรือเรียกในภาษาไทยว่า ข้าวผัดสเปน ก็ได้ ข้าวที่ใช้ผัดจะคล้ายๆกับข้าว Risotto แต่เมล็ดจะอวบและนุ่มกว่า จานนี้จะมีผสมผสานกันระหว่างดินกับน้ำ ก็คือ กุ้ง หอย ไก่ ไส้หรอก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันได้อย่างลงตัวมากๆ จานนี้หอมเนยและจะได้กลิ่นของ Saffron กุ้งทำมาได้สุกกำลังดี ไส้กรอกจะออกเค็มๆตามสไตล์ยุโรป หอยก็สดใช้ได้ รวมๆแล้วผมว่าอร่อยแต่ราคาแอบแรงไปนิด
ตบท้ายด้วยของหวาน
Floating Island Rasberry (300 thb)
ของหวานจานนี้จะเอา ราสเบอรรี่ไปปั่นให้ละเอียด เมอแรงหอมๆเบาๆ ข้างในผ่าออกมาจะเป็นลาวาวานิลา รสชาติจะไม่ได้หวานแบบบาดลิ้น แต่สำหรับผมก็ยังหวานไปนิดนึง สาวๆอาจจะชอบเมนูนี้
คือแบบว่ามันเป็นของหวานที่เบาๆ กินแล้วรุ้สึกสดชื่น
ส่วนของโซนสุดท้าย อาจจะเป็นโซนที่เล็กสุดในร้าน แต่นี่และที่สามารถดึงรสชาติอาหารออกมา รวมถึงทำให้รสชาติอาหารมีความสมดุลดีขึ้นไปอีกก็คือ
Wine Room
Wine room ของทางร้านอาจจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ตัวที่ทางร้านเลือกมานั้นได้คัดสรรมาอย่างดี เข้ากับอาหารได้ทุกจานในร้าน ผมเองได้คุยกับ Adrian ซึ่งเป็น Wine Specialist ของทางร้าน ก็ได้คำแนะนำมาว่าที่ร้านจะมีไวน์ Argentina, Chille, France และ อื่นๆที่จะมีเข้ามามากขึ้น ส่วนวันนี้ยังไม่ได้ชิม เพราะว่า Adrian บอกว่า wine o’clock ที่ผมกับ Adrian จะดื่มด้วยกันได้เรื่ม 6โมงเย็น ไว้มาใหม่อีกรอบจะ taste wine แล้วมารีวิวให้ฟังกันอีกที
ใครที่สนใจอยากทานแบบ Buffet Sunday Brunch ทางร้านก็มีในราคาเรื่มต้นที่ 1,490 กินกันยาวๆเลยตั้งแต่ 11am-4pm ส่วนอื่นๆเพื่มเติมก็ลองโทรคุยกับทางร้านดูครับ
เบอร์ติดต่อและวันเวลาเปิดร้านตามนี้ครับ
ใครมาถึงร้านก็มาหาคุณนุ้ย สาวสวยอีกคนซึ่งเป็น Assistant to Manager ของร้านได้เลย แนะนำดูแลได้ดีมากๆเหมือนกับเพื่อนเลย
สรุปภาพรวมให้ว่า อาหารอร่อย วัทถุดิบดีมาก แต่ราคาก็ยังแอบแรงไปนิส ถ้าไปกินกันสองคน ผัวเมียที่อยู่กินกันมานานต้องดูราคาก่อนสั่งก็อาจจะตกหัวละประมาณพันนิดๆ ส่วนหนุ่มใดป๋าหน่อยพาสาวไปเดทแล้วสั่งเต็มที่ก็มีเฉี่ยวสองพันต่อหัว แต่อย่างว่า เชฟหรือหัวต่างๆของร้านนี้เป็นคนฝรั่งเศส สถานที่ตั้งอยู่เอกมัย ก็เป็นราคาปรกติของร้านระดับนี้
ส่วนผมข้าวแกงหน้าซอยต่อไป…… สวัสดีครับ
[SR] [SR] Pesca Mar & Terra Bistro ร้านสไตล์กันเองกับอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน
รีวิวนี้ถึงจะเป็น SR ก็จริงแต่ผมจะเขียนให้ตรงๆเหมือนกับ CR เพื่อที่สมาชิกที่อ่านจะได้รับรู้ถึงสิ่งที่ผมคิดในความรู้สึกของผมไปกันเลย
Pesca Mar and Terra Bistro เป็นร้านอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่ที่เอกมัย ซอย12 ตรงเข้ามาเรื่อย ๆก็จะเจอร้านอยู่ด้านขวา หรือจะเข้ามาทางทองหล่อซอย 10 ก็ได้เหมือนกัน มีที่จอดรถประมาณ 5-6คัน แต่ทางร้านก็มี Valet Parking คอยบริการให้กับลูกค้าด้วยครับ
ชื่อของร้านทางคุณรัน ซึ่งเป็น PR สาวสวยของร้านได้อธิบายเกี่ยวกับชื่อร้านว่า Pesca แปลว่า ตกปลา Mar แปลว่า ทะเล Terra แปลว่า แผ่นดิน ซึ่ง concept อาหารของร้านคือ Land meet Sea ทำให้อาหารในร้านจะเน้นซีฟู้ดจากในทะเลแล้วเสริฟ์บนจานไม้ ซึ่งเป็นแนวร้านที่ผมคิดว่า concept ดีอีกร้านนึงที่ไม่ใช่เปิดร้านโดยไม่คำนึงถึงแนวทาง ทำให้ตลอดเวลาที่ทานอยู่มีลูกค้าเข้าออกตลอด และส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่มาทานแล้วติดใจเข้ามาทานอีก
โซนอาหารของทางร้านก็จะมีแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกัน
เรื่มจากโซน Delicatessen ซึ่งเป็นโซนของ ขนมปัง ชีส และ cold cut ต่างๆมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย มาครั้งเดียวกินยังไงก็ไม่ครบแน่นอน
ส่วนของชีส และ cold cut ต่างๆซึ่งนำเข้าซึ่งมีหลายแบบมากๆ
ขนมปังของทางร้านจะเป็นขนมปังที่ทำเอง มีหลายแบบให้เลือกรวมถึงเนยซึ่งทางร้านก็ทำเอง ตั้งแต่กินเนยที่ทาขนมปังมา บอกได้เลยนี่เป็นเนยที่หอมอันดับต้นๆ ส่วนเนยสีส้มทางร้านก็มีใส่พวก herbs ต่างๆผสมเข้าไป ทากับขนมปังแล้วอร่อยมากกกกกกกก
โซนต่อมาเป็นโซนของอาหารทะเล ซึ่งวันนี้ทางร้านมี oyster และ Canadian lobster ให้เลือกทานกัน ใครที่ชอบทาน Oyster แนะนำต้องมาลอง มีให้เลือกเยอะหลายอย่างมาก
ส่วนในตู้นี้ ผมชอบอย่างนึงของร้านมากๆคือหลังจากลูกค้าทานหอยนางรมแล้ว ทางร้านจะเอาเปลือกเปล่าๆมาแช่ไว้ในน้ำเกลือแบบนี้ไว้สักพัก เพื่อที่ว่าเวลาทิ้งลงในขยะจะได้ไม่มีกลิ่นคาวไปรบชวนชาวบ้านชาวช่องด้วย จุดนี้ร้านอาหารทะเลอื่นๆก็ควรนำไปทำ ถือว่าใส่ใจดีมากๆ
วันนี้ทางเชฟได้เลือกหอยนางรมมา 3 สามพันธ์ให้เราได้ลองชิมกัน ทางร้านจะทำการเท Sambuca ตรงน้ำแข็งแห้งตรงกลาง ไม่ได้ใช้น้ำเหมือนหลายๆที่ เพราะว่า Sambuca จะได้ฟองที่ละเอียดกว่า ใส่ใจรายละเอียดมากๆ
มาเริ่มกับหอยนางรมกันเลยว่าทางร้านให้เราชิมอะไรกันไปบ้าง
Special Isigny (ตัวละ 79 บาท)
หอยนางรมตัวนี้จะออกรสชาติที่ค่อนข้างจะเค็ม ผมบีบมอนและใส่น้ำส้มสายชูที่มีหอมสับ ทานคู่กันแล้วก็เข้ากันดี แต่ก็ยังไม่สุดสำหรับผม อาจจะเป็นเพราะว่ามันติดเค็มและผมไม่ค่อยชอบก็เป็นไปได้ ความสดผมให้ 10/10 ส่วนของความอร่อย 8/10
Gillardeau (ตัวละ179 บาท)
ตัวนี้ถือว่าเป็นหอยนางรมเกรดpremium ผมแค่บีบเลมอนลงไป แล้วดูดเข้าปากเลย เป็นหอยนางรมที่อร่อยตัวนึง รสชาติจะออกหวาน ไม่เค็มกินกับเลมอนแล้วฟินมากๆ มีเท่าไรก็กินได้
Gillardeau ของแท้ต้องมี Laser ตัว G สลักไว้ตรงเปลือกทุกตัวแบบนี้ด้วย ความสดไม่ต้องพูดถึง 10/10 ความอร่อย 8.5/10
Ostra Regal (ตัวละ 129 บาท)
ตัวนี้ ผมใส่น้ำจิ้มซีฟู้ดกับบีบเลมอน เป็นหอยนางรมที่ผมชอบมากที่สุดของวันนี้เลย มันหวานและอร่อยมากๆ อธิบายไม่ถูกจริงๆ แบบนี้ต้องลองเอง! ความสดก็เช่นเคย 10/10 ความอร่อยตัวนี้เอาไป 10/10 เลย!
เมนูต่อมาที่ทางร้านนำมาให้พวกเราได้ชิมกันก็คือ
Oyster Blade Wagyu (990บาท)
ทางร้านจะใช้เนื้อวากิวจาก Australia ทางร้านจะย่างมาแบบ Medium Rare เสริฟพร้อมกับ ซอสพริกไทสไตล์เสฉวน, หน่อไม้ฝรั่ง และ กระเทียมที่อร่อยที่สุด ซึ่งเข้ากับเนื้อย่างเป็นอย่างดี ผมลองกินแบบไม่จิ้มอะไรเลย จิ้มซอส รวมถึงขอเกลือมาโรย ผมว่าแบบโรยเกลืออร่อยสุด แต่เนื้อตัวนี้มีกลิ่นเนื้อค่อนข้างแรงนิดนึง ใครที่ชอบกลิ่นเนื้อก็กินได้ ส่วนผมว่าตัวเนื้ออร่อยมาก แต่กลิ่นเนื้อแรงไปเลยยังไม่โดนเท่าไร แต่ว่ากระเทียมอร่อยมากๆ นุ่มสุดๆไม่รู้ทำยังไง อยากได้สูตรมาทำกินเองชะมัดเลย !!
ต่อมาเป็น Signature dish ของทางร้านเลย นั่นก็คือ!!
Lobster Roll (990 บาท)
เมนูนี้เป็น Signature dish ของทางร้าน เมนูนี้ใช้ England Lobster กับซอส Mayo และขนมปังนุ่มๆซึ่งเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ลองดูเนื้อ Lobster ที่อัดมาเต็มๆแบบที่กัดเท่าไรก็เจอแต่เนื้อ Lobter ยิ่งทานคู่กับซอสที่เสริฟมา ถือว่าอร่อยเหาะกันไปเลย!!
เมนูสุดท้ายก่อนที่จะเข้าของหวานก็คือ
Paella Mix (1490 บาท)
จานนี้หรือเรียกในภาษาไทยว่า ข้าวผัดสเปน ก็ได้ ข้าวที่ใช้ผัดจะคล้ายๆกับข้าว Risotto แต่เมล็ดจะอวบและนุ่มกว่า จานนี้จะมีผสมผสานกันระหว่างดินกับน้ำ ก็คือ กุ้ง หอย ไก่ ไส้หรอก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันได้อย่างลงตัวมากๆ จานนี้หอมเนยและจะได้กลิ่นของ Saffron กุ้งทำมาได้สุกกำลังดี ไส้กรอกจะออกเค็มๆตามสไตล์ยุโรป หอยก็สดใช้ได้ รวมๆแล้วผมว่าอร่อยแต่ราคาแอบแรงไปนิด
ตบท้ายด้วยของหวาน
Floating Island Rasberry (300 thb)
ของหวานจานนี้จะเอา ราสเบอรรี่ไปปั่นให้ละเอียด เมอแรงหอมๆเบาๆ ข้างในผ่าออกมาจะเป็นลาวาวานิลา รสชาติจะไม่ได้หวานแบบบาดลิ้น แต่สำหรับผมก็ยังหวานไปนิดนึง สาวๆอาจจะชอบเมนูนี้
คือแบบว่ามันเป็นของหวานที่เบาๆ กินแล้วรุ้สึกสดชื่น
ส่วนของโซนสุดท้าย อาจจะเป็นโซนที่เล็กสุดในร้าน แต่นี่และที่สามารถดึงรสชาติอาหารออกมา รวมถึงทำให้รสชาติอาหารมีความสมดุลดีขึ้นไปอีกก็คือ
Wine Room
Wine room ของทางร้านอาจจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ตัวที่ทางร้านเลือกมานั้นได้คัดสรรมาอย่างดี เข้ากับอาหารได้ทุกจานในร้าน ผมเองได้คุยกับ Adrian ซึ่งเป็น Wine Specialist ของทางร้าน ก็ได้คำแนะนำมาว่าที่ร้านจะมีไวน์ Argentina, Chille, France และ อื่นๆที่จะมีเข้ามามากขึ้น ส่วนวันนี้ยังไม่ได้ชิม เพราะว่า Adrian บอกว่า wine o’clock ที่ผมกับ Adrian จะดื่มด้วยกันได้เรื่ม 6โมงเย็น ไว้มาใหม่อีกรอบจะ taste wine แล้วมารีวิวให้ฟังกันอีกที
ใครที่สนใจอยากทานแบบ Buffet Sunday Brunch ทางร้านก็มีในราคาเรื่มต้นที่ 1,490 กินกันยาวๆเลยตั้งแต่ 11am-4pm ส่วนอื่นๆเพื่มเติมก็ลองโทรคุยกับทางร้านดูครับ
เบอร์ติดต่อและวันเวลาเปิดร้านตามนี้ครับ
ใครมาถึงร้านก็มาหาคุณนุ้ย สาวสวยอีกคนซึ่งเป็น Assistant to Manager ของร้านได้เลย แนะนำดูแลได้ดีมากๆเหมือนกับเพื่อนเลย
สรุปภาพรวมให้ว่า อาหารอร่อย วัทถุดิบดีมาก แต่ราคาก็ยังแอบแรงไปนิส ถ้าไปกินกันสองคน ผัวเมียที่อยู่กินกันมานานต้องดูราคาก่อนสั่งก็อาจจะตกหัวละประมาณพันนิดๆ ส่วนหนุ่มใดป๋าหน่อยพาสาวไปเดทแล้วสั่งเต็มที่ก็มีเฉี่ยวสองพันต่อหัว แต่อย่างว่า เชฟหรือหัวต่างๆของร้านนี้เป็นคนฝรั่งเศส สถานที่ตั้งอยู่เอกมัย ก็เป็นราคาปรกติของร้านระดับนี้
ส่วนผมข้าวแกงหน้าซอยต่อไป…… สวัสดีครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น