บทที่ 4 – บุตรแห่งครีโทเนียส
ผมเหนื่อยและอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวอีกทีก็ที่ท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตัน ดัลเลส แมทยื่นกระเป๋าสะพายหลังให้ เมื่อเปิดออกก็พบเสื้อผ้าของผมหลายตัวที่เคยทิ้งไว้บ้านเขาและในนั้นยังมีล็อกเก็ตสีเงินรูปพ่อกับแม่ ล็อกเก็ตที่คิดว่าหายไปหลายเดือนก่อน
“เราจะไปเที่ยวบินวันพรุ่งนี้ตอนตีสาม” เทรซี่บอกหลังจากที่เธอเข้าไปติดต่อเที่ยวบินไปฝรั่งเศสให้พวกเรานานนับชั่วโมง
“ทำไมเราไม่รออยู่นี่ รอให้พี่เทเลอร์กลับมาล่ะ” กลอเรียแนะนำ
“ไม่ทันหรอก พี่ของเทย์อาจจะมีอันตรายได้” แมทพูด
“แต่พวกเขาอาจจะไม่มีอันตรายก็ได้นะ...ปัญหามันจะยิ่งมากถ้าเทเลอร์ไม่อยู่เฉย ๆ”
กลอเรียพูดมีเหตุผล ถ้าเราไปตามหาไมลีย์กับเชนนิ่งตอนนี้ พวกเขาก็จะมีอันตรายไปด้วย อย่างไรก็ตามผมจะรู้ได้ไงว่าตอนนี้พวกเขาปลอดภัย เพราะตามหลักการเมื่อมีคนหาตัวผมเจอ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาเขาสองคนด้วยเหมือนกัน
“ตกลงจะเอายังไง”
เทรซี่พูดขึ้น ทุกคนมองมาที่ผมเหมือนบอกว่าเรื่องที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของนายนะ เพราะฉะนั้น
‘เลือกเองเถอะ เทเลอร์’
“ไม่รู้สิ ฉันคิดไม่ออก” ผมพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อย หูยังคงอื้ออึ้งกับเสียงระเบิดที่ได้ยิน “ฉันแค่อยากเจอพี่”
เทรซี่ไล่กำหนดการเหมือนพวกเรากำลังอยู่ในทริปทัวร์ยุโรป ผมไม่ได้ใส่ใจว่าเธอกำลังพูดอะไร ในใจคิดถึงแต่แม่และบ้านที่เพิ่งเสียไป แม้ว่ามีคำถามมากมายที่อยากหาคำตอบ แต่ตอนนี้มันแสนจะล้ากว่าที่สมองจะสั่งให้ทำอะไรทั้งสิ้น
“โอเคไหม” เทรซี่เปรยตามาอย่างอ่อนโยน
“ฉันโอเค”
เราอยู่ในโรงแรมที่เทรซี่จัดการในแอร์พอร์ต แมททิ้งกระเป๋าลงบนพื้น เขายืนมองผมที่กำลังนั่งลงบนเตียงอย่างเหม่อลอย ทุกอย่างมันเร็วเกินไปและมากเกินไปกับเด็กอายุสิบเจ็ดแบบผม
“ฉันขอโทษนะ ฉันควรจะปกป้องครอบครัวนาย” แมทพูด พยายามกลบเกลื่อนความรู้เสียใจที่เขามี “ฉันควรเตือนนายตั้งแต่แรกแล้ว”
ผมได้แต่นิ่งเงียบ เพราะความจริง แมท ได้พยายามทำสิ่งที่เขาคิดว่า ไม่ เรียบร้อยแล้ว และถ้าผมไม่ดื้อและเชื่อมั่นในความคิดตัวเองมากไป ทุกอย่างอาจจะไม่เกิดกะทันหันแบบนี้
“เรื่องมันเป็นมาอย่างไร”
“นายเป็นอัศวิน...”
แมทพูดเสียงราบเรียบทันทีที่ผมพูดจบเหมือนเขากำลังรอจังหวะนี้ และก่อนที่เขาจะขยับปากอีกครั้ง เขากลับหยุดทอดสายตาไปด้านหน้า เงียบไปครู่ใหญ่ และส่ายหน้าเมื่อได้สติ แมทหันมาสบตาผมก่อนที่จะถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนกำลังคิดว่าสิ่งที่เขาพูด มันจะไม่ใช่เรื่องดี แต่สาบานเถอะ มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าเรื่องที่ผมเพิ่งเจอมาอีกแล้ว
“นายเป็นอัศวิน...แห่งอาณาจักรแอตแลนติส”
เขาตัดสินใจพูดและยืนนิ่ง มองตาผม
“แมท ฉันเป็นคนธรรมดา พวกนายเข้าใจผิดแล้ว” ผมแย้งทันที วินาทีที่ได้ฟังผมรู้สึกร้อนล้นอย่างบอกไม่ถูก ใจมันเต้นตุบ ๆ แทบจะทะลุหน้าอก
“เทย์ ฉันไม่ได้ล้อเล่น นายเป็นอัศวิน ไม่ช้าหรือเร็วนายจะต้องกลับไปยังที่ที่นายมา”
“แอตแลนติส มันมีจริงที่ไหน ศาสตราจารย์แฟรงค์บอกว่ามันไม่มี...”
แมทยกมือห้ามขณะที่ข้อมูลต่าง ๆ ที่ผมรับรู้กำลังจะพรั่งพรูออกมาราว “ฉันไม่รู้นะว่านายได้ยินอะไรมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แอตแลนติสมีจริง”
“แมท” ผมรวบรวมสติ “อย่ามาตลก ฉันไม่ขำนะ” ผมพยายามปฏิเสธแต่พอมองไปที่แววตาของแมท มันกลับตรงกันข้าม เขาไม่ได้แสดงอาการของคนโกหกออกมาเลยสักนิด
“ฉันรู้ เรื่องนี้มันหนักไปสำหรับนาย” แมทพูดอย่างสุขุม “แต่นายหนีสิ่งที่นายเป็นไม่ได้หรอก”
วินาทีนั้น ผมใจหายราวกับว่ายืนอยู่ที่จตุรัสไทม์ สแคว และพบว่าท่ามกลางตึกที่สูงเสียดฟ้า ไม่มีใครเหลือนอกจากตัวเอง แต่ภายใต้ความอ้างว้างนั้น เรื่องราวทั้งหมดก็ประติดประต่อเหมือนกับจิกซอร์ที่กระจัดกระจาย ความชัดเจนของภาพที่เจอก็ชัดขึ้น
“ฉันนน น น” ผมเสียงสั่น ก้มหน้ามองพื้น สายตาที่ชัดเจน ตอนนี้กลับพร่าเลือนด้วยน้ำที่ปริ่ม “นี่เป็นสิ่งที่นายพยายามจะบอกฉันใช่ไหม อันตรายที่นายพูดคือ ความตาย ใช่ไหม”
“และฉัน...ก็เป็นคนทำให้แม่ตายใช่ไหม” ผมมองหน้าแมทพร้อมน้ำตาที่ไหลลงบนแก้มทั้งสอง
แมทได้แต่สายหน้าช้า ๆ เขาเงยหน้ามองเพดานก่อนที่จะมานั่งคุกเข่าใกล้ผม
“นายไม่ได้เป็นตัวอันตรายนะ” แมทโอบไหล่พร้อมคว้าตัวกอด “นายจะยิ่งใหญ่แบบที่นายคิดไม่ออกเลยล่ะ”
“แล้วพวกนายมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไง”
“ต้นตระกูลฉันถูกส่งมาจากแอตแลนติสเพื่อเฝ้าดูการเกิดของอัศวิน และกลอเรียก็เป็นหนึ่งในนั้น อัศวินอาจจะไปเกิดที่ไหนก็ได้ เลยมีการแบ่งเขตของการค้นหาออกไปทั่วโลก และในโซนของเราก็มีพ่อของเทรซี่เป็นหัวหน้าสมาคม จริง ๆ ถ้านายไม่ใช่อัศวิน พวกฉันก็คงยังไม่รู้กันหรอก เพราะมันอันตรายมากกว่าที่คนรุ่นเราจะเข้าไปเกี่ยวข้อง”
นี่จึงเป็นคำตอบที่คาใจเปราะหนึ่งว่าทำไมแมทถึงห่วงใยผมมากขนาดนี้ แต่ถ้าเขาไม่ต้องมาเป็นผู้เฝ้าดูอะไรนี่ เขายังจะเป็นเพื่อนที่แสนดีของผมอยู่ไหม
เสียงเอะอะโวยวายด้านนอกทำให้ผมสะดุ้งตื่น ผมลุกขึ้นและสลัดหัวไปมาไล่อาการมึนงง มือกุมศรีษะขณะที่ขมับทั้งสองข้างเต้น ตุบ ๆ จนเส้นเอ็นปูด
“เทเลอร์” เทรซี่เปิดประตูพรวดพราดมาที่ห้องอย่างตื่นตระหนก
“เฮ้...ฉันบอกว่า...” แมทถอนหายใจ “โอเค เขาตื่นแล้ว”
“มีอะไรกัน”
เทรซี่ยืนนิ่งขณะที่ผมพยายามปรับสายตามองแสงสว่างที่ลอดเข้ามาทางประตู เธอไม่พูดอะไร แต่ลักษณะพยักพเยิดให้ตามเธอไปเดี๋ยวนี้
ผมพยักหน้าช้า ๆ และกำลังลุกขึ้น แต่เธอก็วิ่งเข้ามาและกระชากผมลงจากเตียงด้วยความไว แมทส่ายหน้าให้กับพวกเราที่ทุลักทุเล เขาเดินเข้ามาประคองผม กระซิบอย่างหนักใจว่า
‘นาเมียร์ ระเบิดแล้ว’
เท่านั้นแหละ ความมึนงงหายเป็นปลิดทิ้งและผมวิ่งไปที่ห้องเทรซี่ด้วยความเร็ว เมื่อเข้ามา กลอเรียที่กำลังนั่งฟังข่าวอยู่หน้าโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่อบนเตียงก็กดเพิ่มเสียง
ในทีวี ชายคนหนึ่งกำลังรายงานสถานการณ์อยู่ที่ช่อง CNN พร้อมกับนักข่าวที่กำลังรอสัมภาษณ์
“มีนักบินอวกาศที่กำลังปฏิบัติงานอยู่บนสถานีทั้งหมดกี่คนคะ”
“8 คนครับ”
“สาเหตุของการระเบิดในครั้งนี้ เกิดมาจากอะไรคะ”
“เรายังไม่ได้รับรายงานเพิ่มเติมครับ คาดว่าเช้าวันพรุ่งนี้องค์การนาซ่าจะออกมาแถลงการณ์เรื่องนี้ครับ”
เหมือนฟ้าฟาดมาที่ผม ใจมันถูกฉีกกระชากให้ขาดเป็นชิ้น ๆ แหลกละเอียดแทบจะเป็นฝุ่นละอองที่ล่องลอยในอากาศ..ราวความฝัน เหมือนเรื่องล้อเล่น ตัวผมสั่นเทาอยู่บนเอเวอเรสต์ เหนื่อยจนไม่สามารถที่จะพูดหรือคิดได้ ผมไม่ได้ร้องไห้หรือแสดงอาการเสียใจออกมาแต่ภายในกลับรู้สึกว่าหัวใจผมมันเริ่มเต้นช้าลง ช้าลง ทุกที
“ในขณะนี้ทางเราได้ติดต่อไปยังครอบครัวของนักบินทุกคน แต่สำหรับครอบครัวของนักบินอวกาศ มาร์ค บรู๊ค เราได้รับแจ้งเข้ามาว่าเกิดการระเบิดจากแก๊สรั่วในบ้านพักของครอบครัวนักบินอวกาศท่านนี้ที่เวอร์จิเนีย ยังไม่ทราบผู้เสียชีวิตที่แน่ชัด...อย่างไรก็ตาม ตำรวจรัฐเวอร์จิเนียพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่อาจเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในซากปรักหักพังครับ”
ตอนนี้ทุกอย่างกำลังถึงทางตัน จนคิดว่าผมคงถูกฆ่าตายในไม่ช้า ในเมื่อพ่อนอกโลก สถานที่น่าจะปลอดภัยที่สุดยังระเบิดได้ คงไม่มีที่ไหนที่จะซ่อนตัวให้พ้นจากเงื้อมมือของคนพวกนี้ นักฆ่าคงมาปลิดชีพผมในไม่ช้า หรือบางที ผมควรกระโดดตึกตอนนี้เพื่อจบเรื่องทุกอย่างเลยจะดีกว่า
“เราจะออกจากที่นี่ได้ยังไง” เทรซี่พูดขึ้นพร้อมมองไปยังโทรทัศน์ที่มีรูปครอบครัวผมโชว์หรา
“หรือบางที เราจะให้เทเลอร์ไปสถานีตำรวจ เล่าทุกอย่างให้ตำรวจฟัง” กลอเรียแนะนำ
“ฉันอยากให้นั่นเป็นทางเลือกสุดท้าย” แมทกุมขมับ
“นายจะเอาฉันไปไว้ไหน แมท” ผมถามขึ้น และทุกคนก็มองหน้า “พวกนายจะไม่ทิ้งฉันใช่ไหม”
ผมไม่ได้พยายามจะอ่อนแอ แต่ตอนนี้ผมไม่เหลือใครแล้ว พวกเขาเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่และสามารถไว้ใจได้ ในเมื่อนักล่าสามารถทำให้พ่อผมที่อยู่ในอวกาศตายได้ อย่างที่บอก ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว
“ฉันไม่ทิ้งนายแน่ เทย์”
เรานั่งกันอยู่เงียบ ๆ พักใหญ่ ระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เมื่อใช้มันสมองแล้ว ปัญหานี้มันเกินกว่าที่เราจะแก้ได้จริง ๆ สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้คือ ตำรวจ แม้แมทจะพยายามปฏิเสธกับข้อเสนอเพราะภารกิจที่ควรจะทำคือ ตามหาไมลีย์และเชนนิ่ง แต่เมื่อพวกเราไม่สามารถหาทางออกและก็ไม่รู้ว่าจะมีวิธีไหนที่ทำให้ผมผ่าน ต.ม ได้ ทางเดียวที่เราสามารถทำได้ก็คือ ยอมรับชะตากรรม
มือถือของเทรซี่ดังขึ้นและเธอก็เลี่ยงตัวสนทนานอกห้อง ในขณะที่แมทกับกลอเรียกำลังปรึกษาว่าควรจะทำเช่นไร ผ่านไปอึดใจ เทรซี่ก็เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าที่ดูมีหวังมากขึ้น
“โทษที” เทรซี่กุมโทรศัพท์ในมือ “ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว เราจะบินกันตอนนี้ อีกสามชั่วโมง”
“ไหนว่าเราจะบินพรุ่งนี้ตีสาม” แมทพูด
เทรซี่หันมาทางผม “ตำรวจไม่เจอศพนายในที่เกิดเหตุ พวกเขามีสิทธิ์จะคิดได้ว่านายรู้เห็นกับการฆาตกรรมในครั้งนี้ นี่เป็นเที่ยวบินสุดท้ายที่พ่อฉันยังมีอำนาจเหนือ ต.ม ในกะนี้ ดังนั้นนี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เราไปฝรั่งเศสได้”
“นี่เธอบอกพ่อเธอเรื่องเทเลอร์แล้วหรอ” แมทเอ็ด
เทรซี่หน้าเจื่อน “ฉันบังเอิญใช้บัตรเครดิตเสริมของพ่อรูดค่าเครื่องและค่าโรงแรมไปทั้งหมด”
“เห้ออออ...เทรซ” แมทถอนหายใจ ส่ายหน้าให้กับเทรซี่ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่จะไปโทษเทรซี่ก็ไม่ถูกเพราะเราคงไม่มีเงินสดติดตัวมากขนาดซื้อตั๋วเครื่องบินในชั้นธุรกิจแถมยังพักโรงแรมในสนามบินแบบนี้หรอก
“นั่นไม่ใช่ประเด็น แมท...” เทรซี่กลับมาเชิดหน้า “พ่อฉันรู้มาว่าตอนนี้องค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่เอฟบีไอ ซีไอเอหรือบุคคลตำแหน่งสูง ๆ ในแลงลีย์ถูกแทรกซึมด้วยสมุนของครีโทเนียส ทางเดียวที่จะปกป้องเทเลอร์คือการห่างจากองค์กรพวกนี้”
.....
อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 4 – บุตรแห่งครีโทเนียส (Part 1)
ผมเหนื่อยและอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวอีกทีก็ที่ท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตัน ดัลเลส แมทยื่นกระเป๋าสะพายหลังให้ เมื่อเปิดออกก็พบเสื้อผ้าของผมหลายตัวที่เคยทิ้งไว้บ้านเขาและในนั้นยังมีล็อกเก็ตสีเงินรูปพ่อกับแม่ ล็อกเก็ตที่คิดว่าหายไปหลายเดือนก่อน
“เราจะไปเที่ยวบินวันพรุ่งนี้ตอนตีสาม” เทรซี่บอกหลังจากที่เธอเข้าไปติดต่อเที่ยวบินไปฝรั่งเศสให้พวกเรานานนับชั่วโมง
“ทำไมเราไม่รออยู่นี่ รอให้พี่เทเลอร์กลับมาล่ะ” กลอเรียแนะนำ
“ไม่ทันหรอก พี่ของเทย์อาจจะมีอันตรายได้” แมทพูด
“แต่พวกเขาอาจจะไม่มีอันตรายก็ได้นะ...ปัญหามันจะยิ่งมากถ้าเทเลอร์ไม่อยู่เฉย ๆ”
กลอเรียพูดมีเหตุผล ถ้าเราไปตามหาไมลีย์กับเชนนิ่งตอนนี้ พวกเขาก็จะมีอันตรายไปด้วย อย่างไรก็ตามผมจะรู้ได้ไงว่าตอนนี้พวกเขาปลอดภัย เพราะตามหลักการเมื่อมีคนหาตัวผมเจอ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาเขาสองคนด้วยเหมือนกัน
“ตกลงจะเอายังไง”
เทรซี่พูดขึ้น ทุกคนมองมาที่ผมเหมือนบอกว่าเรื่องที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของนายนะ เพราะฉะนั้น
‘เลือกเองเถอะ เทเลอร์’
“ไม่รู้สิ ฉันคิดไม่ออก” ผมพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อย หูยังคงอื้ออึ้งกับเสียงระเบิดที่ได้ยิน “ฉันแค่อยากเจอพี่”
เทรซี่ไล่กำหนดการเหมือนพวกเรากำลังอยู่ในทริปทัวร์ยุโรป ผมไม่ได้ใส่ใจว่าเธอกำลังพูดอะไร ในใจคิดถึงแต่แม่และบ้านที่เพิ่งเสียไป แม้ว่ามีคำถามมากมายที่อยากหาคำตอบ แต่ตอนนี้มันแสนจะล้ากว่าที่สมองจะสั่งให้ทำอะไรทั้งสิ้น
“โอเคไหม” เทรซี่เปรยตามาอย่างอ่อนโยน
“ฉันโอเค”
เราอยู่ในโรงแรมที่เทรซี่จัดการในแอร์พอร์ต แมททิ้งกระเป๋าลงบนพื้น เขายืนมองผมที่กำลังนั่งลงบนเตียงอย่างเหม่อลอย ทุกอย่างมันเร็วเกินไปและมากเกินไปกับเด็กอายุสิบเจ็ดแบบผม
“ฉันขอโทษนะ ฉันควรจะปกป้องครอบครัวนาย” แมทพูด พยายามกลบเกลื่อนความรู้เสียใจที่เขามี “ฉันควรเตือนนายตั้งแต่แรกแล้ว”
ผมได้แต่นิ่งเงียบ เพราะความจริง แมท ได้พยายามทำสิ่งที่เขาคิดว่า ไม่ เรียบร้อยแล้ว และถ้าผมไม่ดื้อและเชื่อมั่นในความคิดตัวเองมากไป ทุกอย่างอาจจะไม่เกิดกะทันหันแบบนี้
“เรื่องมันเป็นมาอย่างไร”
“นายเป็นอัศวิน...”
แมทพูดเสียงราบเรียบทันทีที่ผมพูดจบเหมือนเขากำลังรอจังหวะนี้ และก่อนที่เขาจะขยับปากอีกครั้ง เขากลับหยุดทอดสายตาไปด้านหน้า เงียบไปครู่ใหญ่ และส่ายหน้าเมื่อได้สติ แมทหันมาสบตาผมก่อนที่จะถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนกำลังคิดว่าสิ่งที่เขาพูด มันจะไม่ใช่เรื่องดี แต่สาบานเถอะ มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าเรื่องที่ผมเพิ่งเจอมาอีกแล้ว
“นายเป็นอัศวิน...แห่งอาณาจักรแอตแลนติส”
เขาตัดสินใจพูดและยืนนิ่ง มองตาผม
“แมท ฉันเป็นคนธรรมดา พวกนายเข้าใจผิดแล้ว” ผมแย้งทันที วินาทีที่ได้ฟังผมรู้สึกร้อนล้นอย่างบอกไม่ถูก ใจมันเต้นตุบ ๆ แทบจะทะลุหน้าอก
“เทย์ ฉันไม่ได้ล้อเล่น นายเป็นอัศวิน ไม่ช้าหรือเร็วนายจะต้องกลับไปยังที่ที่นายมา”
“แอตแลนติส มันมีจริงที่ไหน ศาสตราจารย์แฟรงค์บอกว่ามันไม่มี...”
แมทยกมือห้ามขณะที่ข้อมูลต่าง ๆ ที่ผมรับรู้กำลังจะพรั่งพรูออกมาราว “ฉันไม่รู้นะว่านายได้ยินอะไรมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แอตแลนติสมีจริง”
“แมท” ผมรวบรวมสติ “อย่ามาตลก ฉันไม่ขำนะ” ผมพยายามปฏิเสธแต่พอมองไปที่แววตาของแมท มันกลับตรงกันข้าม เขาไม่ได้แสดงอาการของคนโกหกออกมาเลยสักนิด
“ฉันรู้ เรื่องนี้มันหนักไปสำหรับนาย” แมทพูดอย่างสุขุม “แต่นายหนีสิ่งที่นายเป็นไม่ได้หรอก”
วินาทีนั้น ผมใจหายราวกับว่ายืนอยู่ที่จตุรัสไทม์ สแคว และพบว่าท่ามกลางตึกที่สูงเสียดฟ้า ไม่มีใครเหลือนอกจากตัวเอง แต่ภายใต้ความอ้างว้างนั้น เรื่องราวทั้งหมดก็ประติดประต่อเหมือนกับจิกซอร์ที่กระจัดกระจาย ความชัดเจนของภาพที่เจอก็ชัดขึ้น
“ฉันนน น น” ผมเสียงสั่น ก้มหน้ามองพื้น สายตาที่ชัดเจน ตอนนี้กลับพร่าเลือนด้วยน้ำที่ปริ่ม “นี่เป็นสิ่งที่นายพยายามจะบอกฉันใช่ไหม อันตรายที่นายพูดคือ ความตาย ใช่ไหม”
“และฉัน...ก็เป็นคนทำให้แม่ตายใช่ไหม” ผมมองหน้าแมทพร้อมน้ำตาที่ไหลลงบนแก้มทั้งสอง
แมทได้แต่สายหน้าช้า ๆ เขาเงยหน้ามองเพดานก่อนที่จะมานั่งคุกเข่าใกล้ผม
“นายไม่ได้เป็นตัวอันตรายนะ” แมทโอบไหล่พร้อมคว้าตัวกอด “นายจะยิ่งใหญ่แบบที่นายคิดไม่ออกเลยล่ะ”
“แล้วพวกนายมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไง”
“ต้นตระกูลฉันถูกส่งมาจากแอตแลนติสเพื่อเฝ้าดูการเกิดของอัศวิน และกลอเรียก็เป็นหนึ่งในนั้น อัศวินอาจจะไปเกิดที่ไหนก็ได้ เลยมีการแบ่งเขตของการค้นหาออกไปทั่วโลก และในโซนของเราก็มีพ่อของเทรซี่เป็นหัวหน้าสมาคม จริง ๆ ถ้านายไม่ใช่อัศวิน พวกฉันก็คงยังไม่รู้กันหรอก เพราะมันอันตรายมากกว่าที่คนรุ่นเราจะเข้าไปเกี่ยวข้อง”
นี่จึงเป็นคำตอบที่คาใจเปราะหนึ่งว่าทำไมแมทถึงห่วงใยผมมากขนาดนี้ แต่ถ้าเขาไม่ต้องมาเป็นผู้เฝ้าดูอะไรนี่ เขายังจะเป็นเพื่อนที่แสนดีของผมอยู่ไหม
เสียงเอะอะโวยวายด้านนอกทำให้ผมสะดุ้งตื่น ผมลุกขึ้นและสลัดหัวไปมาไล่อาการมึนงง มือกุมศรีษะขณะที่ขมับทั้งสองข้างเต้น ตุบ ๆ จนเส้นเอ็นปูด
“เทเลอร์” เทรซี่เปิดประตูพรวดพราดมาที่ห้องอย่างตื่นตระหนก
“เฮ้...ฉันบอกว่า...” แมทถอนหายใจ “โอเค เขาตื่นแล้ว”
“มีอะไรกัน”
เทรซี่ยืนนิ่งขณะที่ผมพยายามปรับสายตามองแสงสว่างที่ลอดเข้ามาทางประตู เธอไม่พูดอะไร แต่ลักษณะพยักพเยิดให้ตามเธอไปเดี๋ยวนี้
ผมพยักหน้าช้า ๆ และกำลังลุกขึ้น แต่เธอก็วิ่งเข้ามาและกระชากผมลงจากเตียงด้วยความไว แมทส่ายหน้าให้กับพวกเราที่ทุลักทุเล เขาเดินเข้ามาประคองผม กระซิบอย่างหนักใจว่า
‘นาเมียร์ ระเบิดแล้ว’
เท่านั้นแหละ ความมึนงงหายเป็นปลิดทิ้งและผมวิ่งไปที่ห้องเทรซี่ด้วยความเร็ว เมื่อเข้ามา กลอเรียที่กำลังนั่งฟังข่าวอยู่หน้าโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่อบนเตียงก็กดเพิ่มเสียง
ในทีวี ชายคนหนึ่งกำลังรายงานสถานการณ์อยู่ที่ช่อง CNN พร้อมกับนักข่าวที่กำลังรอสัมภาษณ์
“มีนักบินอวกาศที่กำลังปฏิบัติงานอยู่บนสถานีทั้งหมดกี่คนคะ”
“8 คนครับ”
“สาเหตุของการระเบิดในครั้งนี้ เกิดมาจากอะไรคะ”
“เรายังไม่ได้รับรายงานเพิ่มเติมครับ คาดว่าเช้าวันพรุ่งนี้องค์การนาซ่าจะออกมาแถลงการณ์เรื่องนี้ครับ”
เหมือนฟ้าฟาดมาที่ผม ใจมันถูกฉีกกระชากให้ขาดเป็นชิ้น ๆ แหลกละเอียดแทบจะเป็นฝุ่นละอองที่ล่องลอยในอากาศ..ราวความฝัน เหมือนเรื่องล้อเล่น ตัวผมสั่นเทาอยู่บนเอเวอเรสต์ เหนื่อยจนไม่สามารถที่จะพูดหรือคิดได้ ผมไม่ได้ร้องไห้หรือแสดงอาการเสียใจออกมาแต่ภายในกลับรู้สึกว่าหัวใจผมมันเริ่มเต้นช้าลง ช้าลง ทุกที
“ในขณะนี้ทางเราได้ติดต่อไปยังครอบครัวของนักบินทุกคน แต่สำหรับครอบครัวของนักบินอวกาศ มาร์ค บรู๊ค เราได้รับแจ้งเข้ามาว่าเกิดการระเบิดจากแก๊สรั่วในบ้านพักของครอบครัวนักบินอวกาศท่านนี้ที่เวอร์จิเนีย ยังไม่ทราบผู้เสียชีวิตที่แน่ชัด...อย่างไรก็ตาม ตำรวจรัฐเวอร์จิเนียพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่อาจเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในซากปรักหักพังครับ”
ตอนนี้ทุกอย่างกำลังถึงทางตัน จนคิดว่าผมคงถูกฆ่าตายในไม่ช้า ในเมื่อพ่อนอกโลก สถานที่น่าจะปลอดภัยที่สุดยังระเบิดได้ คงไม่มีที่ไหนที่จะซ่อนตัวให้พ้นจากเงื้อมมือของคนพวกนี้ นักฆ่าคงมาปลิดชีพผมในไม่ช้า หรือบางที ผมควรกระโดดตึกตอนนี้เพื่อจบเรื่องทุกอย่างเลยจะดีกว่า
“เราจะออกจากที่นี่ได้ยังไง” เทรซี่พูดขึ้นพร้อมมองไปยังโทรทัศน์ที่มีรูปครอบครัวผมโชว์หรา
“หรือบางที เราจะให้เทเลอร์ไปสถานีตำรวจ เล่าทุกอย่างให้ตำรวจฟัง” กลอเรียแนะนำ
“ฉันอยากให้นั่นเป็นทางเลือกสุดท้าย” แมทกุมขมับ
“นายจะเอาฉันไปไว้ไหน แมท” ผมถามขึ้น และทุกคนก็มองหน้า “พวกนายจะไม่ทิ้งฉันใช่ไหม”
ผมไม่ได้พยายามจะอ่อนแอ แต่ตอนนี้ผมไม่เหลือใครแล้ว พวกเขาเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่และสามารถไว้ใจได้ ในเมื่อนักล่าสามารถทำให้พ่อผมที่อยู่ในอวกาศตายได้ อย่างที่บอก ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว
“ฉันไม่ทิ้งนายแน่ เทย์”
เรานั่งกันอยู่เงียบ ๆ พักใหญ่ ระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เมื่อใช้มันสมองแล้ว ปัญหานี้มันเกินกว่าที่เราจะแก้ได้จริง ๆ สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้คือ ตำรวจ แม้แมทจะพยายามปฏิเสธกับข้อเสนอเพราะภารกิจที่ควรจะทำคือ ตามหาไมลีย์และเชนนิ่ง แต่เมื่อพวกเราไม่สามารถหาทางออกและก็ไม่รู้ว่าจะมีวิธีไหนที่ทำให้ผมผ่าน ต.ม ได้ ทางเดียวที่เราสามารถทำได้ก็คือ ยอมรับชะตากรรม
มือถือของเทรซี่ดังขึ้นและเธอก็เลี่ยงตัวสนทนานอกห้อง ในขณะที่แมทกับกลอเรียกำลังปรึกษาว่าควรจะทำเช่นไร ผ่านไปอึดใจ เทรซี่ก็เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าที่ดูมีหวังมากขึ้น
“โทษที” เทรซี่กุมโทรศัพท์ในมือ “ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว เราจะบินกันตอนนี้ อีกสามชั่วโมง”
“ไหนว่าเราจะบินพรุ่งนี้ตีสาม” แมทพูด
เทรซี่หันมาทางผม “ตำรวจไม่เจอศพนายในที่เกิดเหตุ พวกเขามีสิทธิ์จะคิดได้ว่านายรู้เห็นกับการฆาตกรรมในครั้งนี้ นี่เป็นเที่ยวบินสุดท้ายที่พ่อฉันยังมีอำนาจเหนือ ต.ม ในกะนี้ ดังนั้นนี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เราไปฝรั่งเศสได้”
“นี่เธอบอกพ่อเธอเรื่องเทเลอร์แล้วหรอ” แมทเอ็ด
เทรซี่หน้าเจื่อน “ฉันบังเอิญใช้บัตรเครดิตเสริมของพ่อรูดค่าเครื่องและค่าโรงแรมไปทั้งหมด”
“เห้ออออ...เทรซ” แมทถอนหายใจ ส่ายหน้าให้กับเทรซี่ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่จะไปโทษเทรซี่ก็ไม่ถูกเพราะเราคงไม่มีเงินสดติดตัวมากขนาดซื้อตั๋วเครื่องบินในชั้นธุรกิจแถมยังพักโรงแรมในสนามบินแบบนี้หรอก
“นั่นไม่ใช่ประเด็น แมท...” เทรซี่กลับมาเชิดหน้า “พ่อฉันรู้มาว่าตอนนี้องค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่เอฟบีไอ ซีไอเอหรือบุคคลตำแหน่งสูง ๆ ในแลงลีย์ถูกแทรกซึมด้วยสมุนของครีโทเนียส ทางเดียวที่จะปกป้องเทเลอร์คือการห่างจากองค์กรพวกนี้”
.....