......
แม้เชนนิ่งจะมีบัตรเครดิตเสริมของแม่ในกระเป๋า แต่เราใช้เงินสดของเขาและของแมทที่ติดตัวมาสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อไม่ให้ใครก็ตามตามรอยเราได้ อย่างไรก็ตาม มันก็แสนแปลกใจที่พ่อเทรซี่ไม่ได้พยายามออกค้นหาพวกเราแม้แต่นิด มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะแกะรอยจากการใช้โทรศัพท์ของเทรซี่
และเมื่อคิดไปคิดมา หน้าไมลีย์ที่คงกระวนกระวายใจเมื่อไม่เห็นผมกับเชนนิ่งตามเข้าไปก็ผุดขึ้น ผมลืมนึกไปเลยว่าเราไม่มีบ้านที่นั้น แล้วพวกนั้นจะไปอยู่ที่ไหน อีกทั้งครีโทเนียสก็เป็นกษัตริย์ของแอตแลนติสไปแล้ว มันเป็นเรื่องบ้าชัด ๆ ที่เข้าไปที่นั่นโดยที่เราไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย
ผมกระวนกระวายออกมา จนทำให้แมทที่นั่งข้าง ๆ กำลังถอดรองเท้ามองดูด้วยความสนใจ
“นายกังวลเรื่องอะไรอยู่”
“คืนนี้พวกนั้นจะนอนที่ไหน”
“กลอเรียเคยบอกฉันว่า เวลาของเราและแอตแลนติสต่างกันพอสมควร ถึงเราจะเข้าไปที่นั่นพรุ่งนี้ มันก็ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง”
“งั้นหนึ่งวันในแอตแลนติสก็ราว ๆ ห้าสิบวันบนโลกเรานะสิ”
“ประมาณห้าสิบสองวันแต่นายก็คิดเลขไวดีนะ” แมทบอกและเอนตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ไซส์คิง เขาเอามือหนุนหัวและกระดิกเท้าไปมา
“แล้วนายไม่อาบน้ำเหรอแมท”
“ก็เชนนิ่งอาบอยู่ไง” เขาบอกและหลับตาพริ้มพร้อมเข้าสู่ภวังค์
วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายสำหรับผมมาก ผมเจอเวทมนตร์ในโรงแรมที่ปารีส มีคนตามไล่ล่าผม เพื่อนและพี่สาวเดินทางผ่านประตูชัยไปยังอาณาจักรแอตแลนติส นี่เป็นเพียงสงครามเล็ก ๆ ที่ผมเจอ ผมยังหวาดกลัวได้มากเพียงนี้ และสงครามที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ล่ะ พวกเราจะเป็นยังไง เพื่อนรักที่กำลังนอนอยู่ข้าง ๆ ตัวผมในวันนี้ พรุ่งนี้เขาอาจจะตายหรืออะไรก็ได้ ผมคงทำใจไม่ได้ถ้าต้องเสียใครไปอีก ไม่ว่าจะเป็นเทรซี่หรือกลอเรีย ไมลีย์และเชนนิ่งเป็นคนในครอบครัวที่ผมเหลืออยู่ เขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อผม แล้วผมควรทำอย่างไรต่อไป ผมนอนเอามือกายหน้าผากระหว่างรอเชนนิ่งออกจากห้องน้ำ แสงสว่างในห้องค่อย ๆ หรี่ลง แม้ผมจะสะลึมละลือ แต่ก็เห็นเชนนิ่งยืนมองที่ปลายเตียง เขาพาดผ้าขนหนูที่บ่าและก็พึมพำออกมา ไม่ว่าเขากำลังบ่นอะไร ตอนนี้ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับเวลานี้อีกแล้ว
นี่คงเป็นฝันร้ายสำหรับผมในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ผมดูข่าวที่โรงแรม แมนฮัตตันกำลังลุกเป็นไฟ หอนาฬิกาบิกเบนเหลือแต่ซากปรักหักพัง เด็กตัวน้อย ๆ ร้องไห้ระงม มองหาแม่ที่จมอยู่ใต้ตึกสิบชั้น ผู้คนต่างวิ่งหนีกันโกลาหลราวกับสงครามกลางเมือง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมสงครามมันลุกลามใหญ่โตไปทั่วโลกแบบนี้
“อันทิโนอุส ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าไม่ควรรีบเปิดเผยตัวของอัศวินตอนนี้” หญิงชุดขาวยืนหันหลังให้ผมในวิหารหลังหนึ่ง เธอรูปร่างผอมบางแต่ก็ดูโดดเด่นด้วยผมสีดำสนิท
“ไฮปาเธีย ข้าไม่มีทางเลือก”
“ทุกคนมีทางเลือก เจ้ามีทางเลือก อัศวินมีทางเลือก เจ้าทำแบบนี้รั้งแต่จะก่อปัญหา” น้ำเสียงของหญิงสาวดูกระวนกระวายใจและแฝงไปด้วยถ้อยคำตำหนิติเตียน
“ข้าไม่เชื่อเช่นนั้น” อันทิโนอุสคัดค้าน “เจ้าก็เห็น”
“ไม่” เธอยืนกรานแม้ก่อนหน้านี้จะนิ่งไปชั่วครู่แสดงดวงตาที่มีหวาดกลัวอยู่ในนั้น “สิ่งที่เจ้ากลัวจะไม่มีทางเป็นไปได้”
พลันสิ้นเสียงของไฮปาเธียแผ่นดินก็สั่นไหวจนผมไม่สามารถคุมตัวเองได้ ผมฟุบลงกับพื้น และทันทีที่ตั้งตัวได้ ผมเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าตนเองมาอยู่ห้องทึบ ๆ ลักษณะคล้ายคุกใต้ดินที่น้ำเฉอะแฉะเจิงนองเต็มพื้นไปหมด ผมมองไปรอบ ๆ มีชายคนหนึ่งนอนคดตัวที่มุมมืด มือถูกตรวนด้วยกำไลสีเงินอันเล็ก ๆ แต่เขาก็ไม่น่าสนใจเท่ากับเสียงที่ดังอยู่นอกห้อง
ถึงผมจะมองไม่เห็นแต่ผมก็มั่นใจว่านั่นคือเสียงศาสตราจารย์แฟรงค์หรืออิมินอส บุตรแห่งครีโทเนียส ผมพยายามปีนขึ้นไปดูเขากับอีกคนที่กำลังคุยกัน แต่ช่องลมของประตูมันสูงเกินกว่าที่ผมจะเอื้อมตัวไปมองได้ แม้ว่าจะได้ยินเสียงนี้ชัดเจน แต่ผมรู้สึกว่า คำพูดทุกคำที่ออกมา ผมกลับไม่เข้าใจมันอะไรสักอย่าง
เสียงของเขาดังชัดอยู่หลังประตู ทันทีที่เสียงอิมินอสหายไป เสียงกลอนของประตูถูกปลดล็อคและบานประตูก็เปิดออก ผมทันที่จะสบตากับอาจารย์แฟรงค์เพียงวินาทีเดียวก่อนที่ผมจะย้ายมาอยู่อีกที่หนึ่งราวกับหายตัว
“เจ้ากำลังจะโดนหลอก” เสียงหนึ่งก้องกังวานดังอยู่ในหัวผม
ผมเริ่มปวดหัวอย่างหนัก หนักขึ้นและหนักขึ้น
ผมสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่ก อาการเจ็บหัวค่อย ๆ หายไปกับจังหวะของลมหายใจ แมทยังคงนอนอยู่ข้าง ๆ ผม ส่วนเชนนิ่งนอนที่โซฟามุมห้อง
“เพิ่งจะแปดโมงเช้า” ผมดูนาฬิกาบนข้อมือของแมทเพราะนาฬิกาของผมแตกตอนที่เอฟบีไอคนหนึ่งจับผมทุ่มลงบนพื้น ผมปวดเมื่อยไปทั้งตัว แม้ว่าอาการปวดหัวจะหายไปแล้วแต่ในหัวมันยังเต้นตุบ ๆ ตุบ ๆ ผมจำความฝันได้อย่างชัดเจน เหมือนกับผมได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ นี่อันทิโนอุสนิมิตให้ผมเห็นอีกแล้วเหรอ แต่ทำไมเขาจึงสามารถพาผมไปหาอิมินอสได้ แล้วทำไมถึงมีคนบอกผมว่า ผมกำลังโดนหลอก นี่มันเรื่องอะไรกัน ถ้ากลอเรียอยู่ผมคงได้ความกระจ่างมากกว่านี้แต่ผมก็ล้มตัวนอนอีกรอบ ความเพลียจากเมื่อคืนนี้ยังไม่หมด ผมยังต้องการแรงสำหรับการเดินทางในคืนนี้ เรื่องความฝันค่อยเล่าให้แมทฟังตอนที่ผมตื่นนอนตอนเที่ยงแล้วกัน
“เจ้ากำลังโดนหลอก เจ้าไม่ควรมาที่นี่ เจ้าจะมีอันตราย”
“ท่านเป็นใคร แสดงตัวให้ผมเห็นหน่อย” ผมยืนอยู่บนจุดสว่างที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ผมกลับมายังความฝันอีกรอบซึ่งผมรู้ดีและจะไม่ยอมตื่นจนกว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร
“ข้าคือจิตวิญญานแห่งโธท”
“อะไรนะ คุณณณ... ผมมม...ไม่เข้าใจ” ผมกระอักกระอ่วนทันทีที่พูด ความตื่นเต้นและความสับสนทำให้ความสามารถในการลำดับคำตะกุกตะกัก “จิตของโธทมันต้องเป็นตัวผมไม่ใช่หรอ”
“ข้าคือส่วนหนึ่ง ข้ามาเพื่อเตือนเจ้า อัศวินเทเลอร์ท่านต้องไม่เข้ามาที่นี่”
“แต่ครีโทเนียสกำลังจะทำลายแอตแลนติส ผมต้องเข้าไป”
“ท่านเข้ามาไม่ได้”
“ผมไม่เข้าใจ คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”
“เทเลอร์ เทเลอร์” เสียงของแมท นี่เขากำลังจะปลุกผมเหรอไง ไม่นะ อย่าเพิ่งตอนนี้ “ผมไม่มีเวลามากนัก จิตวิญญาณแห่งโธท กรุณาบอกผมที”
“สาส์นแห่งตรีศูร……..” “เทเลอร์” แมทตะโกนและผมสะดุ้งตื่นทันที
“เฮ้ แมท นายเป็นบ้าอะไร” ผมพูดอย่างเหลืออด “นายมาปลุกฉันอะไรตอนนี้”
“ทำไมนายต้องโกรธขนาดนี้ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว เราต้องรีบไป”
“อะไร ตีหนึ่ง” ผมขมวดคิ้วด้วยความงง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งสะดุ้งตื่นมาตอนแปดโมงเช้าแล้วก็หลับไป ทำไมมันไวแบบนี้
ผมลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความงง เดินตรงไปที่ห้องน้ำ แม้จะรู้สึกว่าหลับไปแค่แปปเดียวเองแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด ผมอาบน้ำด้วยความรวดเร็ว นึกถึงสิ่งที่จิตวิญญานแห่งโธทบอกผม แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร เมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำ เชนนิ่งยื่นนาฬิกาเรือนหนึ่งให้ผม ไทม์แม็กซ์ เอ็กพีดิชั่น กันน้ำห้าสิบเมตร สายหนังสีน้ำตาล
“ว้าว นายไปหามันมาจากไหน” ใช่ผมดีใจ แต่สายหนังกับนาฬิกากันน้ำเนี่ยนะ
“แถว ๆ นี้แหละแต่มันก็ไม่ง่ายหรอกนะ กว่าจะหาเรือนที่เหมือนกับของนายได้” เชนนิ่งบอก
ผมตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก แบบว่าเข้าเรื่องนะ เพราะนาฬิกาที่เชนนิ่งให้มันหมือนกับนาฬิกาที่พ่อซื้อให้ผมเมื่อวันเกิดปีที่แล้วแต่ที่วิเศษกว่านั้นคือ นี่เป็นของชิ้นแรกที่เชนนิ่งให้ผมนะสิ
“สุขสันต์วันเกิด เทเลอร์” เชนนิ่งบอกผม “ถึงแม้ว่ามันจะเลยมาไม่กี่นาทีแล้วก็ตาม”
ผมมองนาฬิกา เที่ยงคืนสิบนาทีของวันที่ 6 ตุลาคม ใช่สิ ผมลืมสนิทเลย เมื่อวานที่เราถูกไล่ล่ากัน มันเป็นวันเกิดผม ผมมองหน้าเชนนิ่งและโผตัวเข้าไปกอดเขา เขาดูประหม่าเล็กน้อยแต่เขาก็เอามือมาลูบหัวผมเบา ๆ
เรามาถึงประตูชัยก่อนตีหนึ่งสิบห้านาที เท่าที่ผมสังเกตจากสองสามวันที่ผ่านมา บริเวณนี้รถจะวิ่งกันให้พลุกพล่าน แต่วันนี้กลับโล่งจนนับคันได้ มีกลุ่มวัยรุ่นสามเดินอยู่บริเวณประตูชัย ลักษณะเหมือนนักท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเป็นพวกเอฟบีไออย่างที่เราเคยเจอ แต่ผมก็ยังรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกลอยู่ดี
“ปาคดง เมอร์ซิเออร์” หญิงสาวในกลุ่มคนหนึ่งเดินตรงมาที่เราแล้วทักเชนนิ่ง ผมกับแมทยืนอยู่ข้าง ๆ ความรู้สึกนี้เหมือนกับผมเป็นน้องชายของทั้งสองคนเพราะผมตัวเล็กที่สุด เชนนิ่งสูงเท่า ๆ แมท
“ซิ...แต่ผมพูดฝรั่งเศสไม่ได้ครับ” เชนนิ่งตอบ
“อ่าว คนอเมริกันหรอค่ะ” หญิงสาวผมทองน่าตาสะสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขายิ้มและดูท่าเชนนิ่งจะเขินอาย เขาแค่พยักหน้าให้หญิงสาวคนนั้นแทนคำตอบ
“ฉัน แพทริเซียค่ะ”
“ผม เชนนิ่ง ครับ” เขาจับมือเธอที่กำลังยื่นมาให้ข้างหน้าและเขย่าเบา ๆ
“คือพวกเราหาทางกลับโรงแรมนี้อยู่ค่ะ” เธอยืนนามบัตรของโรงแรมให้เชนนิ่งดู “เผื่อว่าคุณอาจจะรู้จัก”
“เอ่อ...ขอโทษจริง ๆ ครับ พวกเราก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่เดี๋ยว...” เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าที่สะพายข้างหลัง
“ผมมีแผนที่อยู่”
เชนนิ่งกระตือรือร้นหยิบแผนที่ออกมา เขากวาดสายตาด้วยความรวดเร็วพร้อมพึมพำคนเดียว ไล่นิ้วบนแผนที่พร้อมสลับมองชื่อโรงแรมบนนามบัตรไปมา
“ตรงนี้เป็นจุดที่เรายืนอยู่เพราะฉะนั้นถ้าคุณเดินไปทางนี้” เชนนิ่งชี้นิ้วลงไปยังแผนที่ “คุณก็จะเจอโรงแรมแต่ถ้าหาไม่เจอ ลองถามคนแถว ๆ นั้นดูนะครับ”
เชนนิ่งมองลงแผนที่อีกรอบและเงยหน้าขึ้น เขาดูท่าทางสับสน เขาก้มดูแผนที่สลับกับนามบัตรอีกรอบแล้วเงยหน้ามองไปข้างหน้า เขาสลับมองหน้าหญิงสาวและพยายามสะกดชื่อโรงแรม เหมือนพยายามหาความแตกต่าง เลยทำให้ผมเหลือดูนามบัตรโรงแรมด้วยอีกคน ด้วยอาการที่ผิดแปลกไป หญิงสาวก็เลยมองไปตามสายตาของเขา แล้วก็หัวเราะออกมา
“อ๋อ นั่นไง ทำไมเมื่อกี้ฉันมองไม่เห็นนะ” เธอยิ้มอย่างเขินอายและรีบชักนามบัตรออกจากมือเชนนิ่งอย่างรวดเร็ว “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ แล้วนี่กำลังจะไปไหนกันคะ”
“มาเดินเล่นน่ะครับ” เชนนิ่งโกหกพร้อม ๆ กับพับแผนที่ลงกระเป๋าด้วยความไว
“ตอนเที่ยงคืนเนี่ยเหรอ” เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่ทำให้ผมสังเกตว่า นอกจากเราตรงนี้ มันก็ไม่มีใครแล้วนอกจากคนอีกสองคนที่กำลังยืนมองเราอยู่ห่าง ๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเธอ
“เออ...คือว่า เรามาหากระเป๋าตังที่แมททำตกไว้ตอนเที่ยงคืนครับ” ผมรีบชิงพูดก่อนที่เวลาในการเว้นจังหวะของเราจะนานไปและทำให้เกิดพิรุจ หญิงสาวตรงหน้ายิ้มให้อย่างสนใจ ทำให้ผมขนลุกชัน
“แล้วคุณชื่ออะไรคะ”
“ผมเทเลอร์ครับ” ผมสะดุ้งแทบจะทันใดเมื่อพูดจบ ผมไม่น่าบอกชื่อของผมให้คนอื่นรู้เลย แล้วยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ด้วย ใครกันที่จะลืมทางกลับโรงแรมตัวเองทั้ง ๆ ที่โรงแรมอยู่ฝั่งถนนตรงข้าม แพททรีเซียยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
“นั่นคงเป็น แมทสินะ” เธอพูดพร้อมยื่นมือไปทักทายแต่ก่อนที่แมทจะเอื้อมมือไปจับ ผมก็ขัดอย่างเสียมารยาท พร้อมเดินปาดหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
“แน่นอนว่าผมคงต้องไปกันแล้ว” ผมพูดและหันไปยิ้มให้เธออีกครั้ง “ลาก่อนครับ”
ผมรีบลากตัวเชนนิ่งและแมทที่กำลังงงกับเหตุการณ์ออกมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาก็รู้สึกผิดปรกติกับสิ่งที่เธอคนนั้นแสดงได้เป็นอย่างดี พวกเรารีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปที่ประตูชัยด้วยความร้อนรน
“นายว่าพวกนั้นเป็นใคร” แมทถามเสียงเบา ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องเบาก็ได้ ในเมื่อระยะห่างของเรากับเธอมีมากพอตัว
“ไม่รู้เหมือนกันแต่เรารีบหาสัญลักษณ์แล้วรีบไปดีกว่า”
อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 5 – ความมหัศจรรย์ของประตูชัย (Part 4)
แม้เชนนิ่งจะมีบัตรเครดิตเสริมของแม่ในกระเป๋า แต่เราใช้เงินสดของเขาและของแมทที่ติดตัวมาสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อไม่ให้ใครก็ตามตามรอยเราได้ อย่างไรก็ตาม มันก็แสนแปลกใจที่พ่อเทรซี่ไม่ได้พยายามออกค้นหาพวกเราแม้แต่นิด มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะแกะรอยจากการใช้โทรศัพท์ของเทรซี่
และเมื่อคิดไปคิดมา หน้าไมลีย์ที่คงกระวนกระวายใจเมื่อไม่เห็นผมกับเชนนิ่งตามเข้าไปก็ผุดขึ้น ผมลืมนึกไปเลยว่าเราไม่มีบ้านที่นั้น แล้วพวกนั้นจะไปอยู่ที่ไหน อีกทั้งครีโทเนียสก็เป็นกษัตริย์ของแอตแลนติสไปแล้ว มันเป็นเรื่องบ้าชัด ๆ ที่เข้าไปที่นั่นโดยที่เราไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย
ผมกระวนกระวายออกมา จนทำให้แมทที่นั่งข้าง ๆ กำลังถอดรองเท้ามองดูด้วยความสนใจ
“นายกังวลเรื่องอะไรอยู่”
“คืนนี้พวกนั้นจะนอนที่ไหน”
“กลอเรียเคยบอกฉันว่า เวลาของเราและแอตแลนติสต่างกันพอสมควร ถึงเราจะเข้าไปที่นั่นพรุ่งนี้ มันก็ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง”
“งั้นหนึ่งวันในแอตแลนติสก็ราว ๆ ห้าสิบวันบนโลกเรานะสิ”
“ประมาณห้าสิบสองวันแต่นายก็คิดเลขไวดีนะ” แมทบอกและเอนตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ไซส์คิง เขาเอามือหนุนหัวและกระดิกเท้าไปมา
“แล้วนายไม่อาบน้ำเหรอแมท”
“ก็เชนนิ่งอาบอยู่ไง” เขาบอกและหลับตาพริ้มพร้อมเข้าสู่ภวังค์
วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายสำหรับผมมาก ผมเจอเวทมนตร์ในโรงแรมที่ปารีส มีคนตามไล่ล่าผม เพื่อนและพี่สาวเดินทางผ่านประตูชัยไปยังอาณาจักรแอตแลนติส นี่เป็นเพียงสงครามเล็ก ๆ ที่ผมเจอ ผมยังหวาดกลัวได้มากเพียงนี้ และสงครามที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ล่ะ พวกเราจะเป็นยังไง เพื่อนรักที่กำลังนอนอยู่ข้าง ๆ ตัวผมในวันนี้ พรุ่งนี้เขาอาจจะตายหรืออะไรก็ได้ ผมคงทำใจไม่ได้ถ้าต้องเสียใครไปอีก ไม่ว่าจะเป็นเทรซี่หรือกลอเรีย ไมลีย์และเชนนิ่งเป็นคนในครอบครัวที่ผมเหลืออยู่ เขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อผม แล้วผมควรทำอย่างไรต่อไป ผมนอนเอามือกายหน้าผากระหว่างรอเชนนิ่งออกจากห้องน้ำ แสงสว่างในห้องค่อย ๆ หรี่ลง แม้ผมจะสะลึมละลือ แต่ก็เห็นเชนนิ่งยืนมองที่ปลายเตียง เขาพาดผ้าขนหนูที่บ่าและก็พึมพำออกมา ไม่ว่าเขากำลังบ่นอะไร ตอนนี้ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับเวลานี้อีกแล้ว
นี่คงเป็นฝันร้ายสำหรับผมในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ผมดูข่าวที่โรงแรม แมนฮัตตันกำลังลุกเป็นไฟ หอนาฬิกาบิกเบนเหลือแต่ซากปรักหักพัง เด็กตัวน้อย ๆ ร้องไห้ระงม มองหาแม่ที่จมอยู่ใต้ตึกสิบชั้น ผู้คนต่างวิ่งหนีกันโกลาหลราวกับสงครามกลางเมือง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมสงครามมันลุกลามใหญ่โตไปทั่วโลกแบบนี้
“อันทิโนอุส ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าไม่ควรรีบเปิดเผยตัวของอัศวินตอนนี้” หญิงชุดขาวยืนหันหลังให้ผมในวิหารหลังหนึ่ง เธอรูปร่างผอมบางแต่ก็ดูโดดเด่นด้วยผมสีดำสนิท
“ไฮปาเธีย ข้าไม่มีทางเลือก”
“ทุกคนมีทางเลือก เจ้ามีทางเลือก อัศวินมีทางเลือก เจ้าทำแบบนี้รั้งแต่จะก่อปัญหา” น้ำเสียงของหญิงสาวดูกระวนกระวายใจและแฝงไปด้วยถ้อยคำตำหนิติเตียน
“ข้าไม่เชื่อเช่นนั้น” อันทิโนอุสคัดค้าน “เจ้าก็เห็น”
“ไม่” เธอยืนกรานแม้ก่อนหน้านี้จะนิ่งไปชั่วครู่แสดงดวงตาที่มีหวาดกลัวอยู่ในนั้น “สิ่งที่เจ้ากลัวจะไม่มีทางเป็นไปได้”
พลันสิ้นเสียงของไฮปาเธียแผ่นดินก็สั่นไหวจนผมไม่สามารถคุมตัวเองได้ ผมฟุบลงกับพื้น และทันทีที่ตั้งตัวได้ ผมเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าตนเองมาอยู่ห้องทึบ ๆ ลักษณะคล้ายคุกใต้ดินที่น้ำเฉอะแฉะเจิงนองเต็มพื้นไปหมด ผมมองไปรอบ ๆ มีชายคนหนึ่งนอนคดตัวที่มุมมืด มือถูกตรวนด้วยกำไลสีเงินอันเล็ก ๆ แต่เขาก็ไม่น่าสนใจเท่ากับเสียงที่ดังอยู่นอกห้อง
ถึงผมจะมองไม่เห็นแต่ผมก็มั่นใจว่านั่นคือเสียงศาสตราจารย์แฟรงค์หรืออิมินอส บุตรแห่งครีโทเนียส ผมพยายามปีนขึ้นไปดูเขากับอีกคนที่กำลังคุยกัน แต่ช่องลมของประตูมันสูงเกินกว่าที่ผมจะเอื้อมตัวไปมองได้ แม้ว่าจะได้ยินเสียงนี้ชัดเจน แต่ผมรู้สึกว่า คำพูดทุกคำที่ออกมา ผมกลับไม่เข้าใจมันอะไรสักอย่าง
เสียงของเขาดังชัดอยู่หลังประตู ทันทีที่เสียงอิมินอสหายไป เสียงกลอนของประตูถูกปลดล็อคและบานประตูก็เปิดออก ผมทันที่จะสบตากับอาจารย์แฟรงค์เพียงวินาทีเดียวก่อนที่ผมจะย้ายมาอยู่อีกที่หนึ่งราวกับหายตัว
“เจ้ากำลังจะโดนหลอก” เสียงหนึ่งก้องกังวานดังอยู่ในหัวผม
ผมเริ่มปวดหัวอย่างหนัก หนักขึ้นและหนักขึ้น
ผมสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่ก อาการเจ็บหัวค่อย ๆ หายไปกับจังหวะของลมหายใจ แมทยังคงนอนอยู่ข้าง ๆ ผม ส่วนเชนนิ่งนอนที่โซฟามุมห้อง
“เพิ่งจะแปดโมงเช้า” ผมดูนาฬิกาบนข้อมือของแมทเพราะนาฬิกาของผมแตกตอนที่เอฟบีไอคนหนึ่งจับผมทุ่มลงบนพื้น ผมปวดเมื่อยไปทั้งตัว แม้ว่าอาการปวดหัวจะหายไปแล้วแต่ในหัวมันยังเต้นตุบ ๆ ตุบ ๆ ผมจำความฝันได้อย่างชัดเจน เหมือนกับผมได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ นี่อันทิโนอุสนิมิตให้ผมเห็นอีกแล้วเหรอ แต่ทำไมเขาจึงสามารถพาผมไปหาอิมินอสได้ แล้วทำไมถึงมีคนบอกผมว่า ผมกำลังโดนหลอก นี่มันเรื่องอะไรกัน ถ้ากลอเรียอยู่ผมคงได้ความกระจ่างมากกว่านี้แต่ผมก็ล้มตัวนอนอีกรอบ ความเพลียจากเมื่อคืนนี้ยังไม่หมด ผมยังต้องการแรงสำหรับการเดินทางในคืนนี้ เรื่องความฝันค่อยเล่าให้แมทฟังตอนที่ผมตื่นนอนตอนเที่ยงแล้วกัน
“เจ้ากำลังโดนหลอก เจ้าไม่ควรมาที่นี่ เจ้าจะมีอันตราย”
“ท่านเป็นใคร แสดงตัวให้ผมเห็นหน่อย” ผมยืนอยู่บนจุดสว่างที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ผมกลับมายังความฝันอีกรอบซึ่งผมรู้ดีและจะไม่ยอมตื่นจนกว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร
“ข้าคือจิตวิญญานแห่งโธท”
“อะไรนะ คุณณณ... ผมมม...ไม่เข้าใจ” ผมกระอักกระอ่วนทันทีที่พูด ความตื่นเต้นและความสับสนทำให้ความสามารถในการลำดับคำตะกุกตะกัก “จิตของโธทมันต้องเป็นตัวผมไม่ใช่หรอ”
“ข้าคือส่วนหนึ่ง ข้ามาเพื่อเตือนเจ้า อัศวินเทเลอร์ท่านต้องไม่เข้ามาที่นี่”
“แต่ครีโทเนียสกำลังจะทำลายแอตแลนติส ผมต้องเข้าไป”
“ท่านเข้ามาไม่ได้”
“ผมไม่เข้าใจ คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”
“เทเลอร์ เทเลอร์” เสียงของแมท นี่เขากำลังจะปลุกผมเหรอไง ไม่นะ อย่าเพิ่งตอนนี้ “ผมไม่มีเวลามากนัก จิตวิญญาณแห่งโธท กรุณาบอกผมที”
“สาส์นแห่งตรีศูร……..” “เทเลอร์” แมทตะโกนและผมสะดุ้งตื่นทันที
“เฮ้ แมท นายเป็นบ้าอะไร” ผมพูดอย่างเหลืออด “นายมาปลุกฉันอะไรตอนนี้”
“ทำไมนายต้องโกรธขนาดนี้ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว เราต้องรีบไป”
“อะไร ตีหนึ่ง” ผมขมวดคิ้วด้วยความงง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งสะดุ้งตื่นมาตอนแปดโมงเช้าแล้วก็หลับไป ทำไมมันไวแบบนี้
ผมลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความงง เดินตรงไปที่ห้องน้ำ แม้จะรู้สึกว่าหลับไปแค่แปปเดียวเองแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด ผมอาบน้ำด้วยความรวดเร็ว นึกถึงสิ่งที่จิตวิญญานแห่งโธทบอกผม แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร เมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำ เชนนิ่งยื่นนาฬิกาเรือนหนึ่งให้ผม ไทม์แม็กซ์ เอ็กพีดิชั่น กันน้ำห้าสิบเมตร สายหนังสีน้ำตาล
“ว้าว นายไปหามันมาจากไหน” ใช่ผมดีใจ แต่สายหนังกับนาฬิกากันน้ำเนี่ยนะ
“แถว ๆ นี้แหละแต่มันก็ไม่ง่ายหรอกนะ กว่าจะหาเรือนที่เหมือนกับของนายได้” เชนนิ่งบอก
ผมตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก แบบว่าเข้าเรื่องนะ เพราะนาฬิกาที่เชนนิ่งให้มันหมือนกับนาฬิกาที่พ่อซื้อให้ผมเมื่อวันเกิดปีที่แล้วแต่ที่วิเศษกว่านั้นคือ นี่เป็นของชิ้นแรกที่เชนนิ่งให้ผมนะสิ
“สุขสันต์วันเกิด เทเลอร์” เชนนิ่งบอกผม “ถึงแม้ว่ามันจะเลยมาไม่กี่นาทีแล้วก็ตาม”
ผมมองนาฬิกา เที่ยงคืนสิบนาทีของวันที่ 6 ตุลาคม ใช่สิ ผมลืมสนิทเลย เมื่อวานที่เราถูกไล่ล่ากัน มันเป็นวันเกิดผม ผมมองหน้าเชนนิ่งและโผตัวเข้าไปกอดเขา เขาดูประหม่าเล็กน้อยแต่เขาก็เอามือมาลูบหัวผมเบา ๆ
เรามาถึงประตูชัยก่อนตีหนึ่งสิบห้านาที เท่าที่ผมสังเกตจากสองสามวันที่ผ่านมา บริเวณนี้รถจะวิ่งกันให้พลุกพล่าน แต่วันนี้กลับโล่งจนนับคันได้ มีกลุ่มวัยรุ่นสามเดินอยู่บริเวณประตูชัย ลักษณะเหมือนนักท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเป็นพวกเอฟบีไออย่างที่เราเคยเจอ แต่ผมก็ยังรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกลอยู่ดี
“ปาคดง เมอร์ซิเออร์” หญิงสาวในกลุ่มคนหนึ่งเดินตรงมาที่เราแล้วทักเชนนิ่ง ผมกับแมทยืนอยู่ข้าง ๆ ความรู้สึกนี้เหมือนกับผมเป็นน้องชายของทั้งสองคนเพราะผมตัวเล็กที่สุด เชนนิ่งสูงเท่า ๆ แมท
“ซิ...แต่ผมพูดฝรั่งเศสไม่ได้ครับ” เชนนิ่งตอบ
“อ่าว คนอเมริกันหรอค่ะ” หญิงสาวผมทองน่าตาสะสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขายิ้มและดูท่าเชนนิ่งจะเขินอาย เขาแค่พยักหน้าให้หญิงสาวคนนั้นแทนคำตอบ
“ฉัน แพทริเซียค่ะ”
“ผม เชนนิ่ง ครับ” เขาจับมือเธอที่กำลังยื่นมาให้ข้างหน้าและเขย่าเบา ๆ
“คือพวกเราหาทางกลับโรงแรมนี้อยู่ค่ะ” เธอยืนนามบัตรของโรงแรมให้เชนนิ่งดู “เผื่อว่าคุณอาจจะรู้จัก”
“เอ่อ...ขอโทษจริง ๆ ครับ พวกเราก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่เดี๋ยว...” เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าที่สะพายข้างหลัง
“ผมมีแผนที่อยู่”
เชนนิ่งกระตือรือร้นหยิบแผนที่ออกมา เขากวาดสายตาด้วยความรวดเร็วพร้อมพึมพำคนเดียว ไล่นิ้วบนแผนที่พร้อมสลับมองชื่อโรงแรมบนนามบัตรไปมา
“ตรงนี้เป็นจุดที่เรายืนอยู่เพราะฉะนั้นถ้าคุณเดินไปทางนี้” เชนนิ่งชี้นิ้วลงไปยังแผนที่ “คุณก็จะเจอโรงแรมแต่ถ้าหาไม่เจอ ลองถามคนแถว ๆ นั้นดูนะครับ”
เชนนิ่งมองลงแผนที่อีกรอบและเงยหน้าขึ้น เขาดูท่าทางสับสน เขาก้มดูแผนที่สลับกับนามบัตรอีกรอบแล้วเงยหน้ามองไปข้างหน้า เขาสลับมองหน้าหญิงสาวและพยายามสะกดชื่อโรงแรม เหมือนพยายามหาความแตกต่าง เลยทำให้ผมเหลือดูนามบัตรโรงแรมด้วยอีกคน ด้วยอาการที่ผิดแปลกไป หญิงสาวก็เลยมองไปตามสายตาของเขา แล้วก็หัวเราะออกมา
“อ๋อ นั่นไง ทำไมเมื่อกี้ฉันมองไม่เห็นนะ” เธอยิ้มอย่างเขินอายและรีบชักนามบัตรออกจากมือเชนนิ่งอย่างรวดเร็ว “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ แล้วนี่กำลังจะไปไหนกันคะ”
“มาเดินเล่นน่ะครับ” เชนนิ่งโกหกพร้อม ๆ กับพับแผนที่ลงกระเป๋าด้วยความไว
“ตอนเที่ยงคืนเนี่ยเหรอ” เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่ทำให้ผมสังเกตว่า นอกจากเราตรงนี้ มันก็ไม่มีใครแล้วนอกจากคนอีกสองคนที่กำลังยืนมองเราอยู่ห่าง ๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเธอ
“เออ...คือว่า เรามาหากระเป๋าตังที่แมททำตกไว้ตอนเที่ยงคืนครับ” ผมรีบชิงพูดก่อนที่เวลาในการเว้นจังหวะของเราจะนานไปและทำให้เกิดพิรุจ หญิงสาวตรงหน้ายิ้มให้อย่างสนใจ ทำให้ผมขนลุกชัน
“แล้วคุณชื่ออะไรคะ”
“ผมเทเลอร์ครับ” ผมสะดุ้งแทบจะทันใดเมื่อพูดจบ ผมไม่น่าบอกชื่อของผมให้คนอื่นรู้เลย แล้วยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ด้วย ใครกันที่จะลืมทางกลับโรงแรมตัวเองทั้ง ๆ ที่โรงแรมอยู่ฝั่งถนนตรงข้าม แพททรีเซียยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
“นั่นคงเป็น แมทสินะ” เธอพูดพร้อมยื่นมือไปทักทายแต่ก่อนที่แมทจะเอื้อมมือไปจับ ผมก็ขัดอย่างเสียมารยาท พร้อมเดินปาดหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
“แน่นอนว่าผมคงต้องไปกันแล้ว” ผมพูดและหันไปยิ้มให้เธออีกครั้ง “ลาก่อนครับ”
ผมรีบลากตัวเชนนิ่งและแมทที่กำลังงงกับเหตุการณ์ออกมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาก็รู้สึกผิดปรกติกับสิ่งที่เธอคนนั้นแสดงได้เป็นอย่างดี พวกเรารีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปที่ประตูชัยด้วยความร้อนรน
“นายว่าพวกนั้นเป็นใคร” แมทถามเสียงเบา ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องเบาก็ได้ ในเมื่อระยะห่างของเรากับเธอมีมากพอตัว
“ไม่รู้เหมือนกันแต่เรารีบหาสัญลักษณ์แล้วรีบไปดีกว่า”