ยาน THE FUGITIVE บินมุ่งหน้าสู่ขั้วโลกเหนือ หลังจากได้กลับคืนสู่ปี พ.ศ. 2699 และทันเห็นยานของฝ่ายรัฐบาลเผด็จการรูปทรงอินธนูสามลำซึ่งได้ไล่ยิงยานลำแรกของกัปตันวันชนะและคณะแต่ไม่สำเร็จ ยานของพวกกัปตันลำนั้นหนีไปได้โดยการโดดข้ามเวลาอย่างกระทันหันหายไป ยานทั้งสามสื่อสารกันอยู่ครู่หนึ่งจึงบินกลับฐานทัพไป
กัปตันวันชนะและคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า ยังไม่ควรปล่อยสถาพรและเอวาลงไปจากยานในตอนนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญที่สุดคือ ด็อกเตอร์หนุ่มยังมีชิพระเบิดฝังอยู่ในหัว ซึ่งระยะหลังๆมานี้ เขามีท่าทีที่อ่อนโยนมากขึ้น เป็นบวกมากขึ้น ถ้าหากปล่อยเขาและเอวาไปเสียจากยานทันที คลื่นสมอง กระแสความรู้สึกนึกคิดของเขาอาจถูกตรวจจับได้จากศูนย์บัญชาการในกองทัพ และเขาอาจถูกฆ่าตายได้ด้วยการสั่งกดระเบิดมาจากทางไกล ดังนั้นต้องช่วยเอาชิพมรณะออกจากหัวของเขาเสียก่อน ซึ่งต้องติดต่อกับชาวเนโอโซรอสให้ส่งทีมแพทย์มาเพื่อทำการผ่าตัด และเอ็มม่าบอกว่า สภาวะอากาศที่ร้อนในประเทศไทย ไม่เอื้ออำนวยต่อการผ่าตัดครั้งนี้ ต้องอยู่ในสภาวะอากาศที่เย็นมากๆ เพื่อมิให้อุณหภูมิที่ร้อนกระตุ้นให้ชิพทำงานติดต่อกับภายนอก และชิพมรณะนั้นเชื่อมต่อกับระบบประสาทของสถาพร การถอดออกต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเย็นจัด จึงจะทำได้โดยสะดวก
ตลอดเวลาที่อยู่กันในยาน กัปตันวันชนะ ควบคุมบังคับยาน ให้ปิดกั้นการติดต่อสื่อสารจากภายนอกทั้งหมด คลื่นหรือสัญญาณใดๆภายในยานจะไม่ออกไปข้างนอก ดังนั้นสถาพรจะปลอดภัย ตราบใดที่ยังอยู่ในยาน
ยาน THE FUGITIVE บินไปยังขั้วโลกเหนือ และลงจอดในสถานที่ลับ จากนั้น เอ็มม่าจึงติดต่อกับชาวเนโอโซรอสอีกครั้งเพื่อขอทีมแพทย์มาช่วย ไม่นาน ยานของพวกเขาก็มาถึงโดยการเดินทางทะลุมิติแห่งเวลาและอวกาศ ลงจอดใกล้ๆกับยาน THE FUGITIVE ทีมแพทย์ 5 คน ลงมาจากช่องเปิดใต้ยาน แล้วเข้าไปในยานของพวกกัปตันซึ่งรออยู่แล้ว
สำหรับสถาพรนั้น ทีแรก เขาปฏิเสธ จะไม่รับการช่วยเหลือเรื่องนี้ เพราะยังมั่นใจในตัวเองอยู่ว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีวันจะทรยศต่อรัฐบาล แปรพักตรมาอยู่กับคณะของกัปตันวันชนะอย่างแน่นอน แต่กัปตันขอร้องเขาโดยให้เหตุผลว่า จิตใจคนเรานั้นสามารถคิดไปได้มากมายหลายอย่าง สถาพรอาจจะเผลอคิดถึงเขาและคณะในทางบวก ซึ่งการคิดเพียงแค่นั้น ก็เป็นอันตรายต่อเขาแล้ว!
และคำพูดอีกอย่างหนึ่งของเพื่อนเก่า ทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้...และอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง...
"การที่รู้อยู่ตลอดเวลาว่า มีระเบิดฝังหัวนายอยู่ และมันอาจระเบิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ มันคงไม่ทำให้นายอยู่เป็นสุขได้หรอก ไม่มี ย่อมดีกว่า อีกอย่าง นายจะได้มีโอกาสทดสอบพวกรัฐบาลทหารของนายด้วยเวลากลับไปหาพวกเขา
ดูซิว่าพวกเขาจะว่าอย่างไรเมื่อรู้ว่านายไม่มีชิพบังคับจิตใจฝังอยู่ในหัวแล้ว จะยังดีต่อนาย ให้การสนับสนุนนายต่อไปไหม..."
สถาพรเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้ เขาจึงยินยอมรับการผ่าตัด
เมื่อทีมแพทย์ชาวเนโอโซรอสเข้ามาในยาน THE FUGITIVE แล้ว ทุกคนก็ไม่รอช้า พาสถาพรเข้าห้องพยาบาล ให้เขานอนบนเตียง จากนั้น หนึ่งในทีมแพทย์ก็ทำการสะกดจิตเขา สั่งให้เขาหลับ คนที่เหลือช่วยกันนำอุปกรณ์ขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนโคมไฟติดตั้งกับอุปกรณ์อื่นๆซึ่งโยงลงมาจากเพดาน แล้วทีมแพทย์ก็เริ่มทำการสแกนหาตำแหน่งชิพมรณะ เมื่อพบจุดที่มันถูกฝังอยู่จึงลงมือผ่าตัดด้วยอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่พวกเขาเตรียมมา บางขั้นตอนก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เลเซอร์ โดยเฉพาะตอนที่ถอดเส้นประสาทออกจากชิพซึ่งถูกยึดติดด้วยสารบางอย่างเชื่อมติดกันคล้ายกับรอยบัดกรีด้วยตะกั่วบนแผงวงจรอิเลคโทรนิกส์ และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเสียด้วย ต้องขยายภาพซูมเข้าในแว่นขยายของแต่ละคนและส่งสัญญาณภาพออกจอมอนิเตอร์ด้วย
สารพิเศษซึ่งยึดเส้นประสาทกับชิพไว้นั้น ถูกทำให้ละลาย สลายออกไป และแล้ว ชิพมรณะก็ถูกถอดออกมา จากนั้นทีมแพทย์ต่างดาวก็ช่วยกันเชื่อมต่อเส้นประสาททุกเส้นเข้าด้วยกัน เป็นเหมือนดังเดิมก่อนที่ชิพจะถูกฝัง
ในที่สุด การผ่าตัดก็สำเร็จลงด้วยดี ตบท้ายด้วยการทำแผลอย่างประณีต
สถาพร เป็นอิสระจากชิพมรณะแล้ว ไม่มีใครสามารถส่งคลื่นสัญญาณใดๆ มาบังคับเขาได้อีกแล้ว!!
******************************************************************************
"เรานึกไม่ถึงเลยว่ะ ว่าจะได้ร่วมพบเจอประสบการณ์เดินทางข้ามเวลากับพวกนาย และสุดท้ายที่ไม่เคยคาดคิดยิ่งกว่า คือการเอาไอ้ชิพบ้าๆนั่นออกไปจากหัวสมองได้ในที่สุด ขอบใจนายมาก" สถาพรกล่าวกับเพื่อนเก่า แล้วหันไปกล่าวต่อคนที่เหลือ ทุกคนยืนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ ณ จุดที่สองเพื่อนเกลอเคยนัดพบกันแล้วแยกทางจากกันและกันไปในครั้งกระโน้น "ขอบคุณทุกๆคนด้วยครับ คุณเอ็มม่า ผมฝากบอกขอบคุณเพื่อนๆที่มาจากดาวของคุณทุกคนด้วยนะครับ พวกเขาสุดยอดมาก"
"ได้ค่ะ ฉันจะบอกพวกเขาให้" เอ็มม่าตอบ ขณะยืนอยู่กับสาวน้อยแอนนา
สถาพรมองไปรอบๆบริเวณนั้น พลางพูดกับกัปตันวันชนะ
"นายนี่มีกุสโลบายที่ร้ายกาจจริงๆนะ วันชนะ"
"ทำไมเหรอเพื่อน ?" กัปตันแกล้งถาม
"ยังจะมาถามอีก โธ่...ให้เราลงที่ไหนไม่ลง แต่พามาลงที่นี่..."
"ก็เดี๋ยวพานายกับเอวาไปลงในเมืองก็ได้ ไม่ให้ลำบากลงเขาไปกันเองหรอกน่ะ!"
"หึ!" ด็อกเตอร์หนุ่มแค่นหัวเราะออกทางจมูก ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบอย่างสบายใจ และกล่าวต่อไป
"ที่นี่ เราเคยมาพบกัน และคุยกันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากกันไป และเราเคยบอกนายไว้ ว่าอย่าได้มาเจอกันอีก เพราะเจอกันครั้งต่อไป เราก็ต้องเป็นศัตรูกันอย่างเดียวเท่านั้น"
"ซึ่งนายก็เคยพิสูจน์ให้เห็นแล้ว ตอนที่เราพยายามกลับมาครั้งแรก แล้วเจอยานของนายเข้า" กัปตันวันชนะพูดถึงเหตุการณ์ครั้งที่กลับมาหลังจากกลับมาจากการท่องพุทธกาลแล้วมาพบกับยาน "ปราบไพรี" ของสถาพร และถูกเขาไล่ล่าจนต้องจั๊มป์หนีไปไกลสุดกู่ถึงช่วงอียิปต์โบราณ
"ใช่..." เขาพยักหน้า "ตอนนั้น มีคำสั่งให้จับนายให้ได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย และเราก็ต้องทำตามนั้น"
"ถามจริงๆเถอะเพื่อน" กัปตันหันมาเผชิญหน้าเขา และมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น "นาย...จะฆ่าเราจริงๆเหรอตอนนั้น ?"
สถาพรอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วตอบ "ก็อาจจะไม่โดยทันทีนั้นหรอกว่ะ! ตั้งใจว่าจะยิงยานของนายให้ตก แล้วควบคุมตัวนายกับพวกส่งไปให้พวกทหารมากกว่า"
"เรานึกแล้ว...ยังไงเสีย นายคงไม่ฆ่าเราได้โดยทันทีหรอก"
"ก็คงงั้น..."
"แล้ว....หลังจากนี้ คุณกับเอวา จะไปอยู่ด้วยกันที่ไหนคะ ? " เอ็มม่าถามคำถามที่อยากรู้กับด็อกเตอร์หนุ่มบ้าง
"อืม...ผมอาจจะหาที่พักชั่วคราวก่อนครับ" เขาหันมาตอบคุณแม่ต่างดาว "อาจจะเป็นแฟลต หรือบ้านพักสักหลัง พักผ่อนอย่างสงบสักระยะหนึ่ง ก่อนจะกลับไปรายงานตัวที่กองทัพ ยังไงผมต้องให้เวลากับภรรรยาของผมก่อนละครับ ผ่านพิธีแต่งงานมาแล้วยังไม่ได้เข้าเรือนหอกันเลย" เขาพูดยิ้มๆพลางโอบกอดเอวลูกสาวคนเล็กของล็อตไว้อย่างรักใคร่ นางแหงนหน้ามองเขาและยิ้มหวาน เอนศีรษะซบที่ไหล่ของสามี
"เป็นความคิดที่ดี เพื่อน" กัปตันพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา "งานการค่อยไปทำทีหลังก็ได้ เพราะถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่านายกลับมา ชิพในหัวก็ไม่มีแล้ว นายเป็นอิสระเต็มที่เลย"
"จ้างครูสอนภาษาไทยให้เอวาสักคนนะคะ คุณสถาพร จะได้คุยกันรู้เรื่องต่อไปในอนาคต ไม่ต้องใช้ภาษาใบ้กันบ่อยๆ" สาวจอยแนะนำ
"ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ" สถาพรตอบ แล้วเดินไปใกล้เชิงเขา มองดูทัศนียภาพแห่งขุนเขาซึ่งมีหมอกควันลอยอยู่ในอากาศไกลออกไป
"บรรยากาศบนนี้ก็เหมาะสำหรับการพักผ่อนเหมือนกัน ผมว่า ผมอยู่บนนี้สักอาทิตย์หนึ่งก่อนดีกว่า แล้วค่อยหาที่อยู่ที่อื่น"
"อืม...ยังงั้น ก็ตามใจนายละกัน" กัปตันวันชนะกล่าวแล้วหยิบวัตถุบางอย่างยื่นให้เพื่อน "นาย รับของพวกนี้ไว้นะ"
สถาพรแบมือรับ และจ้องดู...เป็นกระดุมวิทยุสื่อสารที่ใช้ใส่ในหู และ "กำไลวิเศษ" เทเลพอร์เตอร์ แบบที่สองสาวจอยและเล็กเคยใช้นั่นเอง
"เฮ่ยย...เอาของๆนายมาให้เราใช้ทำไม...เรายังไม่ได้เป็นสมาชิกในทีมของนายนะเว้ย" เขาส่ายหน้าและยื่นของทั้งสองสิ่งคืนให้ในมือกัปตัน
"เอาไปเถอะน่า..." กัปตันวันชนะยืนกราน "บางทีมันจะเป็นประโยชน์กับนาย บางที นายอาจจำเป็นต้องใช้มัน!"
"ใช้เพื่อติดต่อกับพวกนายน่ะเหรอ ?"
"เออ! เอาไปเถอะ ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากเราไว้ดูต่างหน้าก็แล้วกัน ไม่ได้ใช้งานอะไรก็ไม่เป็นไร"
สถาพรถือของทั้งสองสิ่งขึ้นมาพิจารณาดูครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
"ก็ได้เพื่อน! งั้นเรารับไว้ละกัน"
เขาเก็บของทั้งสองอย่างไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านใน ก่อนจะกล่าวอำลากัปตันและคณะ
"ผมกับเอวา ขอลาพวกคุณทุกคนแล้วนะครับ เราจะหาที่พักอยู่ด้วยกันบนนี้ก่อนอย่างที่บอก ผมเองก็อยากพาเจ้าสาวของผมเข้าห้องเต็มทีแล้ว"
"โอเคเพื่อน มีอะไรก็วิทยุเรียกเราได้เลยนะ" กัปตันตอบเป็นคนแรก
"ได้เลย แต่คิดว่าไม่น่ามีอะไรหรอกน่ะ!"
"อื้ม...งั้นก็โชคดี แล้วพบกันใหม่"
"ไม่พบดีกว่าว่ะ ถ้าเรากลับไปทำงานแล้วอะนะ"
กัปตันได้แต่ส่ายหน้าฝืนยิ้ม
"โชคดี สถาพร"/ "โชคดีค่ะ คุณสถาพร เอวา"
ต่างฝ่ายต่างโบกไม้โบกมือลากัน แล้วสองหนุ่มสาวก็เดินจากไป ฝ่ายกัปตันและคณะก็พากันขึ้นยาน
"หลังจากนี้ คุณกับเขา ก็ต้องเป็นศัตรูต่อกันแล้วสิคะ" เอ็มม่ากล่าวกับสามีขณะกำลังเข้าประจำที่นั่งพร้อมกับสาวน้อยแอนนา
"ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับที่รัก ถ้าผมกกับเขาต้องเจอกันอีกครั้ง โดยต่างคนก็อยู่กันคนละฝ่าย"
"เราจะไปไหนกันดีครับตอนนี้ ?" แซมเอ่ยถาม หลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยเข้ากับตัวเรียบร้อยแล้ว
"ผมอยากจะลองติดต่อกับพวกเราซึ่งแยกย้ายกันอยู่ตามที่ต่างๆดูว่าจะติดต่อกับใครได้บ้าง แต่คงต้องออกจากประเทศไทยไปก่อน เพื่อมิให้ถูกดักจับสัญญาณการติดต่อ พวกคุณอยากไปไหนกัน ?"
"ผมขอเสนอแนะ อเมริกาครับ" แซมเสนอก่อนเพื่อน
"ไปที่สงบๆ ดีกว่าไหมครับ" เอกแย้ง
"อย่าบอกนะว่าจะไปอินเดีย" แซมดักคอ เล่นเอาเจ้าตัวยิ้ม
"ก็...ไม่ดีหรือเพื่อน จอดยานบนเขาหิมาลัย แล้วไปเที่ยวพุทธสถานกัน"
"สังเวชนียสถานน่ะเหรอคะ ?" สาวเล็กถาม
"ใช่ครับคุณเล็ก"
"เข้าท่าดี" กัปตันพยักหน้า "งั้นเราไปเขาหิมาลัยกัน แล้วทำการติดต่อกับพรรคพวกของเรา เพื่อวางแผนต่อสู้กับพวกรัฐบาล ถ้าโชคดีเราอาจได้ติดต่อกับท่านผู้นำอีกครั้ง"
ทุกคนเห็นด้วย ดังนั้น กัปตันวันชนะและแอนดี้ จึงขับยาน THE FUGITIVE มุ่งหน้าไปสู่ยอดเขาหิมาลัย
***************************************************************************
ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้น....
สถาพร และเอวา ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ในบ้านเช่าหลังหนึ่งบนดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีบรรยากาศใกล้ชิดกับธรรมชาติอันเงียบสงบและร่มรื่น ทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มเพลิดเพลินกับการพักผ่อน ยังไม่คิดถึงการกลับไปทำงานที่กองทัพ เขามีความรู้สึกว่า ช่วงเวลาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ คือช่วงเวลาซึ่งมีค่ามากที่สุด มีความสุขมากที่สุด
เขาหาครูสอนภาษาไทยให้เอวาได้คนหนึ่ง เป็นครูสาววัยสามสิบเศษๆ ให้หล่อนมาสอนที่บ้านทุกวันๆละสองชั่วโมงในตอนเช้าและอีกสองชั่วโมงในตอนเย็น ส่วนสถาพรเองก็ปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ บางทีก็ออกไปหาปลา มันเป็นชีวิตที่เหมือนฝันสำหรับเขา
บางครั้ง เขาก็คิดถึง "ท่านนายพล" ผู้เป็นพ่อบุญธรรม เขาอยากรู้เหมือนกันว่าถึงตอนนี้ พ่อบุญธรรมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาแล้วและเข้าทำงานในกองทัพก็ยังอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ตอนนั้นเขาได้ "น้องสาว" หนึ่งคน เป็นเด็กสาวที่เรียนเก่งแต่ไม่มีคนอุปการะ เพราะพ่อและแม่ของเธอเสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องอิสรภาพ ท่านนายพลอยากให้เขามีน้องสักคนจะได้ไม่เหงา จึงรับเธอเป็นลูกบุญธรรมอีกคนหนึ่ง ซึ่งน้องสาวคนนี้ก็มีอุดมการณ์ทางการเมืองสอดคล้องต้องกัน
ก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางข้ามเวลาไปพบกัปตันวันชนะและคณะ น้องสาวคนที่ว่านี้กำลังเรียนอยู่ในคณะอักษรศาสตร์และกำลังจะจบปริญญาเอก ถึงตอนนี้ เธอคงจะสำเร็จการศึกษาและอาจจะเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ ณ มหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งก็เป็นได้
(มีต่อครับ)
💫🕛💫 "หลงกาล" Episode-44 : ภาคอวสาน ตอนที่ 1 💫🕛💫
ยาน THE FUGITIVE บินมุ่งหน้าสู่ขั้วโลกเหนือ หลังจากได้กลับคืนสู่ปี พ.ศ. 2699 และทันเห็นยานของฝ่ายรัฐบาลเผด็จการรูปทรงอินธนูสามลำซึ่งได้ไล่ยิงยานลำแรกของกัปตันวันชนะและคณะแต่ไม่สำเร็จ ยานของพวกกัปตันลำนั้นหนีไปได้โดยการโดดข้ามเวลาอย่างกระทันหันหายไป ยานทั้งสามสื่อสารกันอยู่ครู่หนึ่งจึงบินกลับฐานทัพไป
กัปตันวันชนะและคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า ยังไม่ควรปล่อยสถาพรและเอวาลงไปจากยานในตอนนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญที่สุดคือ ด็อกเตอร์หนุ่มยังมีชิพระเบิดฝังอยู่ในหัว ซึ่งระยะหลังๆมานี้ เขามีท่าทีที่อ่อนโยนมากขึ้น เป็นบวกมากขึ้น ถ้าหากปล่อยเขาและเอวาไปเสียจากยานทันที คลื่นสมอง กระแสความรู้สึกนึกคิดของเขาอาจถูกตรวจจับได้จากศูนย์บัญชาการในกองทัพ และเขาอาจถูกฆ่าตายได้ด้วยการสั่งกดระเบิดมาจากทางไกล ดังนั้นต้องช่วยเอาชิพมรณะออกจากหัวของเขาเสียก่อน ซึ่งต้องติดต่อกับชาวเนโอโซรอสให้ส่งทีมแพทย์มาเพื่อทำการผ่าตัด และเอ็มม่าบอกว่า สภาวะอากาศที่ร้อนในประเทศไทย ไม่เอื้ออำนวยต่อการผ่าตัดครั้งนี้ ต้องอยู่ในสภาวะอากาศที่เย็นมากๆ เพื่อมิให้อุณหภูมิที่ร้อนกระตุ้นให้ชิพทำงานติดต่อกับภายนอก และชิพมรณะนั้นเชื่อมต่อกับระบบประสาทของสถาพร การถอดออกต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเย็นจัด จึงจะทำได้โดยสะดวก
ตลอดเวลาที่อยู่กันในยาน กัปตันวันชนะ ควบคุมบังคับยาน ให้ปิดกั้นการติดต่อสื่อสารจากภายนอกทั้งหมด คลื่นหรือสัญญาณใดๆภายในยานจะไม่ออกไปข้างนอก ดังนั้นสถาพรจะปลอดภัย ตราบใดที่ยังอยู่ในยาน
ยาน THE FUGITIVE บินไปยังขั้วโลกเหนือ และลงจอดในสถานที่ลับ จากนั้น เอ็มม่าจึงติดต่อกับชาวเนโอโซรอสอีกครั้งเพื่อขอทีมแพทย์มาช่วย ไม่นาน ยานของพวกเขาก็มาถึงโดยการเดินทางทะลุมิติแห่งเวลาและอวกาศ ลงจอดใกล้ๆกับยาน THE FUGITIVE ทีมแพทย์ 5 คน ลงมาจากช่องเปิดใต้ยาน แล้วเข้าไปในยานของพวกกัปตันซึ่งรออยู่แล้ว
สำหรับสถาพรนั้น ทีแรก เขาปฏิเสธ จะไม่รับการช่วยเหลือเรื่องนี้ เพราะยังมั่นใจในตัวเองอยู่ว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีวันจะทรยศต่อรัฐบาล แปรพักตรมาอยู่กับคณะของกัปตันวันชนะอย่างแน่นอน แต่กัปตันขอร้องเขาโดยให้เหตุผลว่า จิตใจคนเรานั้นสามารถคิดไปได้มากมายหลายอย่าง สถาพรอาจจะเผลอคิดถึงเขาและคณะในทางบวก ซึ่งการคิดเพียงแค่นั้น ก็เป็นอันตรายต่อเขาแล้ว!
และคำพูดอีกอย่างหนึ่งของเพื่อนเก่า ทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้...และอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง...
"การที่รู้อยู่ตลอดเวลาว่า มีระเบิดฝังหัวนายอยู่ และมันอาจระเบิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ มันคงไม่ทำให้นายอยู่เป็นสุขได้หรอก ไม่มี ย่อมดีกว่า อีกอย่าง นายจะได้มีโอกาสทดสอบพวกรัฐบาลทหารของนายด้วยเวลากลับไปหาพวกเขา ดูซิว่าพวกเขาจะว่าอย่างไรเมื่อรู้ว่านายไม่มีชิพบังคับจิตใจฝังอยู่ในหัวแล้ว จะยังดีต่อนาย ให้การสนับสนุนนายต่อไปไหม..."
สถาพรเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้ เขาจึงยินยอมรับการผ่าตัด
เมื่อทีมแพทย์ชาวเนโอโซรอสเข้ามาในยาน THE FUGITIVE แล้ว ทุกคนก็ไม่รอช้า พาสถาพรเข้าห้องพยาบาล ให้เขานอนบนเตียง จากนั้น หนึ่งในทีมแพทย์ก็ทำการสะกดจิตเขา สั่งให้เขาหลับ คนที่เหลือช่วยกันนำอุปกรณ์ขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนโคมไฟติดตั้งกับอุปกรณ์อื่นๆซึ่งโยงลงมาจากเพดาน แล้วทีมแพทย์ก็เริ่มทำการสแกนหาตำแหน่งชิพมรณะ เมื่อพบจุดที่มันถูกฝังอยู่จึงลงมือผ่าตัดด้วยอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่พวกเขาเตรียมมา บางขั้นตอนก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เลเซอร์ โดยเฉพาะตอนที่ถอดเส้นประสาทออกจากชิพซึ่งถูกยึดติดด้วยสารบางอย่างเชื่อมติดกันคล้ายกับรอยบัดกรีด้วยตะกั่วบนแผงวงจรอิเลคโทรนิกส์ และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเสียด้วย ต้องขยายภาพซูมเข้าในแว่นขยายของแต่ละคนและส่งสัญญาณภาพออกจอมอนิเตอร์ด้วย
สารพิเศษซึ่งยึดเส้นประสาทกับชิพไว้นั้น ถูกทำให้ละลาย สลายออกไป และแล้ว ชิพมรณะก็ถูกถอดออกมา จากนั้นทีมแพทย์ต่างดาวก็ช่วยกันเชื่อมต่อเส้นประสาททุกเส้นเข้าด้วยกัน เป็นเหมือนดังเดิมก่อนที่ชิพจะถูกฝัง
ในที่สุด การผ่าตัดก็สำเร็จลงด้วยดี ตบท้ายด้วยการทำแผลอย่างประณีต
สถาพร เป็นอิสระจากชิพมรณะแล้ว ไม่มีใครสามารถส่งคลื่นสัญญาณใดๆ มาบังคับเขาได้อีกแล้ว!!
"เรานึกไม่ถึงเลยว่ะ ว่าจะได้ร่วมพบเจอประสบการณ์เดินทางข้ามเวลากับพวกนาย และสุดท้ายที่ไม่เคยคาดคิดยิ่งกว่า คือการเอาไอ้ชิพบ้าๆนั่นออกไปจากหัวสมองได้ในที่สุด ขอบใจนายมาก" สถาพรกล่าวกับเพื่อนเก่า แล้วหันไปกล่าวต่อคนที่เหลือ ทุกคนยืนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ ณ จุดที่สองเพื่อนเกลอเคยนัดพบกันแล้วแยกทางจากกันและกันไปในครั้งกระโน้น "ขอบคุณทุกๆคนด้วยครับ คุณเอ็มม่า ผมฝากบอกขอบคุณเพื่อนๆที่มาจากดาวของคุณทุกคนด้วยนะครับ พวกเขาสุดยอดมาก"
"ได้ค่ะ ฉันจะบอกพวกเขาให้" เอ็มม่าตอบ ขณะยืนอยู่กับสาวน้อยแอนนา
สถาพรมองไปรอบๆบริเวณนั้น พลางพูดกับกัปตันวันชนะ
"นายนี่มีกุสโลบายที่ร้ายกาจจริงๆนะ วันชนะ"
"ทำไมเหรอเพื่อน ?" กัปตันแกล้งถาม
"ยังจะมาถามอีก โธ่...ให้เราลงที่ไหนไม่ลง แต่พามาลงที่นี่..."
"ก็เดี๋ยวพานายกับเอวาไปลงในเมืองก็ได้ ไม่ให้ลำบากลงเขาไปกันเองหรอกน่ะ!"
"หึ!" ด็อกเตอร์หนุ่มแค่นหัวเราะออกทางจมูก ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบอย่างสบายใจ และกล่าวต่อไป
"ที่นี่ เราเคยมาพบกัน และคุยกันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากกันไป และเราเคยบอกนายไว้ ว่าอย่าได้มาเจอกันอีก เพราะเจอกันครั้งต่อไป เราก็ต้องเป็นศัตรูกันอย่างเดียวเท่านั้น"
"ซึ่งนายก็เคยพิสูจน์ให้เห็นแล้ว ตอนที่เราพยายามกลับมาครั้งแรก แล้วเจอยานของนายเข้า" กัปตันวันชนะพูดถึงเหตุการณ์ครั้งที่กลับมาหลังจากกลับมาจากการท่องพุทธกาลแล้วมาพบกับยาน "ปราบไพรี" ของสถาพร และถูกเขาไล่ล่าจนต้องจั๊มป์หนีไปไกลสุดกู่ถึงช่วงอียิปต์โบราณ
"ใช่..." เขาพยักหน้า "ตอนนั้น มีคำสั่งให้จับนายให้ได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย และเราก็ต้องทำตามนั้น"
"ถามจริงๆเถอะเพื่อน" กัปตันหันมาเผชิญหน้าเขา และมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น "นาย...จะฆ่าเราจริงๆเหรอตอนนั้น ?"
สถาพรอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วตอบ "ก็อาจจะไม่โดยทันทีนั้นหรอกว่ะ! ตั้งใจว่าจะยิงยานของนายให้ตก แล้วควบคุมตัวนายกับพวกส่งไปให้พวกทหารมากกว่า"
"เรานึกแล้ว...ยังไงเสีย นายคงไม่ฆ่าเราได้โดยทันทีหรอก"
"ก็คงงั้น..."
"แล้ว....หลังจากนี้ คุณกับเอวา จะไปอยู่ด้วยกันที่ไหนคะ ? " เอ็มม่าถามคำถามที่อยากรู้กับด็อกเตอร์หนุ่มบ้าง
"อืม...ผมอาจจะหาที่พักชั่วคราวก่อนครับ" เขาหันมาตอบคุณแม่ต่างดาว "อาจจะเป็นแฟลต หรือบ้านพักสักหลัง พักผ่อนอย่างสงบสักระยะหนึ่ง ก่อนจะกลับไปรายงานตัวที่กองทัพ ยังไงผมต้องให้เวลากับภรรรยาของผมก่อนละครับ ผ่านพิธีแต่งงานมาแล้วยังไม่ได้เข้าเรือนหอกันเลย" เขาพูดยิ้มๆพลางโอบกอดเอวลูกสาวคนเล็กของล็อตไว้อย่างรักใคร่ นางแหงนหน้ามองเขาและยิ้มหวาน เอนศีรษะซบที่ไหล่ของสามี
"เป็นความคิดที่ดี เพื่อน" กัปตันพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา "งานการค่อยไปทำทีหลังก็ได้ เพราะถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่านายกลับมา ชิพในหัวก็ไม่มีแล้ว นายเป็นอิสระเต็มที่เลย"
"จ้างครูสอนภาษาไทยให้เอวาสักคนนะคะ คุณสถาพร จะได้คุยกันรู้เรื่องต่อไปในอนาคต ไม่ต้องใช้ภาษาใบ้กันบ่อยๆ" สาวจอยแนะนำ
"ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ" สถาพรตอบ แล้วเดินไปใกล้เชิงเขา มองดูทัศนียภาพแห่งขุนเขาซึ่งมีหมอกควันลอยอยู่ในอากาศไกลออกไป
"บรรยากาศบนนี้ก็เหมาะสำหรับการพักผ่อนเหมือนกัน ผมว่า ผมอยู่บนนี้สักอาทิตย์หนึ่งก่อนดีกว่า แล้วค่อยหาที่อยู่ที่อื่น"
"อืม...ยังงั้น ก็ตามใจนายละกัน" กัปตันวันชนะกล่าวแล้วหยิบวัตถุบางอย่างยื่นให้เพื่อน "นาย รับของพวกนี้ไว้นะ"
สถาพรแบมือรับ และจ้องดู...เป็นกระดุมวิทยุสื่อสารที่ใช้ใส่ในหู และ "กำไลวิเศษ" เทเลพอร์เตอร์ แบบที่สองสาวจอยและเล็กเคยใช้นั่นเอง
"เฮ่ยย...เอาของๆนายมาให้เราใช้ทำไม...เรายังไม่ได้เป็นสมาชิกในทีมของนายนะเว้ย" เขาส่ายหน้าและยื่นของทั้งสองสิ่งคืนให้ในมือกัปตัน
"เอาไปเถอะน่า..." กัปตันวันชนะยืนกราน "บางทีมันจะเป็นประโยชน์กับนาย บางที นายอาจจำเป็นต้องใช้มัน!"
"ใช้เพื่อติดต่อกับพวกนายน่ะเหรอ ?"
"เออ! เอาไปเถอะ ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากเราไว้ดูต่างหน้าก็แล้วกัน ไม่ได้ใช้งานอะไรก็ไม่เป็นไร"
สถาพรถือของทั้งสองสิ่งขึ้นมาพิจารณาดูครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
"ก็ได้เพื่อน! งั้นเรารับไว้ละกัน"
เขาเก็บของทั้งสองอย่างไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านใน ก่อนจะกล่าวอำลากัปตันและคณะ
"ผมกับเอวา ขอลาพวกคุณทุกคนแล้วนะครับ เราจะหาที่พักอยู่ด้วยกันบนนี้ก่อนอย่างที่บอก ผมเองก็อยากพาเจ้าสาวของผมเข้าห้องเต็มทีแล้ว"
"โอเคเพื่อน มีอะไรก็วิทยุเรียกเราได้เลยนะ" กัปตันตอบเป็นคนแรก
"ได้เลย แต่คิดว่าไม่น่ามีอะไรหรอกน่ะ!"
"อื้ม...งั้นก็โชคดี แล้วพบกันใหม่"
"ไม่พบดีกว่าว่ะ ถ้าเรากลับไปทำงานแล้วอะนะ"
กัปตันได้แต่ส่ายหน้าฝืนยิ้ม
"โชคดี สถาพร"/ "โชคดีค่ะ คุณสถาพร เอวา"
ต่างฝ่ายต่างโบกไม้โบกมือลากัน แล้วสองหนุ่มสาวก็เดินจากไป ฝ่ายกัปตันและคณะก็พากันขึ้นยาน
"หลังจากนี้ คุณกับเขา ก็ต้องเป็นศัตรูต่อกันแล้วสิคะ" เอ็มม่ากล่าวกับสามีขณะกำลังเข้าประจำที่นั่งพร้อมกับสาวน้อยแอนนา
"ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับที่รัก ถ้าผมกกับเขาต้องเจอกันอีกครั้ง โดยต่างคนก็อยู่กันคนละฝ่าย"
"เราจะไปไหนกันดีครับตอนนี้ ?" แซมเอ่ยถาม หลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยเข้ากับตัวเรียบร้อยแล้ว
"ผมอยากจะลองติดต่อกับพวกเราซึ่งแยกย้ายกันอยู่ตามที่ต่างๆดูว่าจะติดต่อกับใครได้บ้าง แต่คงต้องออกจากประเทศไทยไปก่อน เพื่อมิให้ถูกดักจับสัญญาณการติดต่อ พวกคุณอยากไปไหนกัน ?"
"ผมขอเสนอแนะ อเมริกาครับ" แซมเสนอก่อนเพื่อน
"ไปที่สงบๆ ดีกว่าไหมครับ" เอกแย้ง
"อย่าบอกนะว่าจะไปอินเดีย" แซมดักคอ เล่นเอาเจ้าตัวยิ้ม
"ก็...ไม่ดีหรือเพื่อน จอดยานบนเขาหิมาลัย แล้วไปเที่ยวพุทธสถานกัน"
"สังเวชนียสถานน่ะเหรอคะ ?" สาวเล็กถาม
"ใช่ครับคุณเล็ก"
"เข้าท่าดี" กัปตันพยักหน้า "งั้นเราไปเขาหิมาลัยกัน แล้วทำการติดต่อกับพรรคพวกของเรา เพื่อวางแผนต่อสู้กับพวกรัฐบาล ถ้าโชคดีเราอาจได้ติดต่อกับท่านผู้นำอีกครั้ง"
ทุกคนเห็นด้วย ดังนั้น กัปตันวันชนะและแอนดี้ จึงขับยาน THE FUGITIVE มุ่งหน้าไปสู่ยอดเขาหิมาลัย
ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้น....
สถาพร และเอวา ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ในบ้านเช่าหลังหนึ่งบนดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีบรรยากาศใกล้ชิดกับธรรมชาติอันเงียบสงบและร่มรื่น ทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มเพลิดเพลินกับการพักผ่อน ยังไม่คิดถึงการกลับไปทำงานที่กองทัพ เขามีความรู้สึกว่า ช่วงเวลาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ คือช่วงเวลาซึ่งมีค่ามากที่สุด มีความสุขมากที่สุด
เขาหาครูสอนภาษาไทยให้เอวาได้คนหนึ่ง เป็นครูสาววัยสามสิบเศษๆ ให้หล่อนมาสอนที่บ้านทุกวันๆละสองชั่วโมงในตอนเช้าและอีกสองชั่วโมงในตอนเย็น ส่วนสถาพรเองก็ปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ บางทีก็ออกไปหาปลา มันเป็นชีวิตที่เหมือนฝันสำหรับเขา
บางครั้ง เขาก็คิดถึง "ท่านนายพล" ผู้เป็นพ่อบุญธรรม เขาอยากรู้เหมือนกันว่าถึงตอนนี้ พ่อบุญธรรมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาแล้วและเข้าทำงานในกองทัพก็ยังอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ตอนนั้นเขาได้ "น้องสาว" หนึ่งคน เป็นเด็กสาวที่เรียนเก่งแต่ไม่มีคนอุปการะ เพราะพ่อและแม่ของเธอเสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องอิสรภาพ ท่านนายพลอยากให้เขามีน้องสักคนจะได้ไม่เหงา จึงรับเธอเป็นลูกบุญธรรมอีกคนหนึ่ง ซึ่งน้องสาวคนนี้ก็มีอุดมการณ์ทางการเมืองสอดคล้องต้องกัน ก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางข้ามเวลาไปพบกัปตันวันชนะและคณะ น้องสาวคนที่ว่านี้กำลังเรียนอยู่ในคณะอักษรศาสตร์และกำลังจะจบปริญญาเอก ถึงตอนนี้ เธอคงจะสำเร็จการศึกษาและอาจจะเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ ณ มหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งก็เป็นได้
(มีต่อครับ)