[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ให้สังเกตดูอารมณ์จิตของตัวเองว่าตัดละสังโยชน์ในข้อใดได้ "อย่างเด็ดขาด" บ้าง ถึงขั้นไหนแล้ว?
พระอริยะเจ้าจะมีอารมณ์เด็ดขาดในทุกระดับ สิ่งใดที่ตัดละได้แล้ว จะไม่มีอาการกำเริบของจิตอีก
(ถ้ายังมีอารมณ์ กลับไป-กลับมา นั่นแสดงว่ายังไม่ได้ในข้อนั้น)
แต่สำหรับจิตของปุถุชนนั้น จะยังมีอารมณ์ กลับไป-กลับมา แม้จะเข้าฌานได้ แต่พอออกจากฌาน กิเลสก็กลับไปพองฟูเหมือนเดิม
เพราะฉนั้น ให้คุณถามตัวเองดูว่า มีเรื่องไหนบ้างที่อารมณ์จิตของคุณจะไม่มีวันถอยหลังกลับไปอีกแล้ว
เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองมีอารมณ์จิตไม่ถอยหลังในสังโยชน์ 3 ข้อแรก ก็เป็นไปได้ว่าคุณ "อาจจะ" เป็น พระโสดาบัน ไปแล้ว
ถ้าพูด
ในแง่ของทฤษฏีสังโยชน์ คุณจะต้องตัดละสังโยชน์ 3 ข้อแรกได้เด็ดขาด คุณถึงจะเป็นพระโสดาบัน
แต่ถ้าพูด
ในแง่ของการตรวจสอบตนเองว่าเป็นพระโสดาบัน คุณก็จะต้องใช้หลัก
แว่นธรรม [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ถ้าพูด
ในแง่ของการปฏิบัติ ของการเข้าถึงธรรม ก็จะมีจุดให้คุณสังเกตได้ ก็คือ......
จิตของผู้ที่ "
เข้าใกล้" ความเป็นพระโสดาบัน คนนั้นๆจะมีอนุสสติ6 ประจำอยู่ในจิตตลอดเวลา (
ทรงอนุสสติ6)
พุทธานุสสติ, ธัมมานุสสติ, สังฆานุสสติ, สีลานุสสติ, มรณานุสสติ, อุปมานุสสติ(มีนิพพานเป็นอารมณ์)
คือวันทั้งวัน ไม่ว่าคุณ จะคิด-จะพูด-จะทำ อะไร
จิตของคุณจะอยู่ในกรอบของการมี อนุสสติ6 ประจำใจอยู่ตลอดเวลา (ให้สังเกตตรงจุดนี้)
เมื่อมีอนุสสติ6 อยู่ในจิตตลอดเวลาแล้ว เวลามีอะไรเกิดขึ้นหรือมากระทบ ก็จะ
มีสติรู้ตัว มากำกับไม่ให้ทำผิดศีล
จึงทรงความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ได้ตลอด
เขาจึงเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ที่มีอธิศีลได้ (เคร่งครัดในศีลอย่างยิ่ง)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(((((
เคล็ดลับในการมีศีล 5 บริสุทธิ์ )))))
ทุกๆเช้า ก่อนที่จะคุณจะออกจากบ้าน เวลาที่คุณจะอาราธนาพระให้ช่วยคุ้มครองตัว ให้คุณสมาทานศีล และตรวจสอบศีล5ของคุณ ก่อนออกจากบ้าน
1.เว้นจากการฆ่าสัตว์ และทรมานสัตว์
2.เว้นจากการลักทรัพย์ หรือทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้
3.เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4.เว้นจากการพูดเท็จ
5.เว้นจากการดื่มสุราเมรัย และเครื่องดองของมึนเมาทุกชนิด
พอคุณท่องศีลข้อใดขึ้นมา ก็ให้คุณเอาจิตนึกถามตัวเองดูว่า......
"
เรายังบกพร่องในศีลข้อนี้อยู่หรือไม่?" และ "
เหตุผลใดหรือสิ่งใดที่ทำให้เรายังบกพร่องในศีลข้อนี้อยู่?" (หามันให้เจอ)
เป็นการเจริญสติตามรู้ดูจิตของตัวเอง เพ่งโทษโจษความผิดของตนเอง เพื่อให้เห็นกิเลสในจิตของตัวเองทุกเช้า (อย่างน้อยวันละ1ครั้งตอนเช้า ก็ยังดี)
เพื่อให้รู้ถึงเหตุความบกพร่องในศีลของตนเอง ว่าเหตุใดคุณถึงยังมีความลังเลในการถือศีลข้อนี้อยู่? (พอรู้สาเหตุแล้ว จะได้แก้ไขได้ถูกจุด)
(ถามตัวเองด้วยศีลทุกข้อ ทีละข้อๆ คุณจะต้องมีคำตอบให้กับตัวเองทุกข้อ อย่าปล่อยผ่าน)
ถ้าวันใด ที่คุณไล่ตรวจศีล5ครบหมดทุกข้อ แล้วไม่เจอข้อบกพร่อง
ไม่เจอจิตสกปรกที่ยังมีเจตนาล่วงศีลผู้อื่นซ่อนอยู่เลยซักข้อเดียว ก็ถือว่า "
พอใช้"
แค่ "พอใช้" เพราะว่าคุณยังไม่ได้ออกจากบ้าน ออกไปเจอปัจจัยภายนอก ที่เป็นสิ่งเร้ามากระทบกาย-กระทบใจ ที่จะทำให้กิเลสของคุณกำเริบได้
(แล้วค่อยไปตามดูจิตของตัวเองในระหว่างวันอีกทีหนึ่ง โดยใช้ มหาสติปัฏฐาน4 ครอบการกระทำทั้งหมดของคุณ ทั้งวัน-ทั้งคืน ที่ตื่นอยู่)
แต่เป้าหมายในการถือศีล ของผู้ที่ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่ใช่แค่ศีล5ของคุณจะต้องไม่บกพร่อง หรือไม่ขาดเท่านั้น
แต่คุณจะต้องถือศีลจนถึงขั้น มีศีล5บริสุทธิ์ (เพราะพระโสดาบัน มีศีล5บริสุทธิ์)
การถือศีล5บริสุทธิ์ ก็คือ ศีลทุกข้อคุณจะต้อง
ไม่ทำผิดศีลด้วยตนเอง,
ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำผิดศีล,
และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำผิดศีลแล้ว (เด็ดขาดทุกข้อ)
(ย้ำว่า "
เด็ดขาด" ไม่มีความลังเลในการถือศีลทุกข้อ)
จิตปุถุชน ยังต้องคอยประคองศีลอยู่ ยังมีอารมณ์ในการถือศีลไม่เด็ดขาด
สาเหตุหลักก็มาจากความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังไม่เพียงพอ
(คนส่วนมากที่ยังลังเลในการถือศีลอยู่ ก็เพราะลังเลคิดว่าเรื่องนรกสวรรค์อาจจะไม่มีจริง อาจจะคิดว่าเป็นแค่กุศโลบายให้คนกระทำแต่ความดีเท่านั้น)
(แต่ถ้าคุณเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่านรกสวรรค์มีจริงแท้แน่นอน จะทำให้อารมณ์ในการถือศีลของคุณเปลี่ยนไป คุณจะไม่กล้าทำผิดศีลอีก)
(หรือจะพูดอธิบายได้ง่ายๆว่า คุณจะมั่นคงในศีลได้มากเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่? นั่นเอง)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สังโยชน์3 เขียนเรียงกันตามลำดับความยากในการตัดละ (ข้อไหนยิ่งลึก ยิ่งตัดละได้ยากกว่าข้อต้น)
เพราะฉนั้น
ในทางปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระโสดาบันนั้น จะมุ่งเน้นโฟกัสไปที่การปฏิบัติตนให้เป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ (
มีอธิศีล) เป็นเป้าหมาย
แต่ไม่มีใครที่จะเคร่งครัดตนเองไปจนถึงขั้นมีศีลบริสุทธิ์ได้
ถ้าเขาไม่เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างถึงที่สุด และยังประมาทในความตายอยู่
เพราะฉนั้น.....
ถ้าคุณมีอารมณ์ไม่หลงลืมความตาย ตระหนักรู้ว่า "รู้ว่าเราจะต้องตาย" แน่นอน (
สักกายทิฏฐิ ขั้นต้นของพระโสดาบัน)
และเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด ไม่ลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย (
วิจิกิจฉา)
การถือศีลของคุณก็จะเคร่งครัดจนถึงขั้นมีศีลบริสุทธิ์ได้ (
สีลัพพตปรามาส)
เพราะฉนั้น ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าตัวเองอาจจะกำลังเป็น พระโสดาบัน อยู่หรือเปล่า? (ก็ไม่ต้องให้ใครมาบอก แค่ไล่ข้อศีล5ข้อ ในจิตของคุณเองดูก็รู้)
ถ้าคุณยังมีความลังเลในการถือศีล5อยู่
แม้แต่ข้อเดียว คุณก็ไม่ใช่พระโสดาบันแน่
"
ไม่มีใครเป็นพระอริยะเจ้า โดยความบังเอิญ"
บทความเรื่อง "คุณกำลังเป็น พระโสดาบัน อยู่หรือไม่?"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถ้าพูด ในแง่ของทฤษฏีสังโยชน์ คุณจะต้องตัดละสังโยชน์ 3 ข้อแรกได้เด็ดขาด คุณถึงจะเป็นพระโสดาบัน
แต่ถ้าพูด ในแง่ของการตรวจสอบตนเองว่าเป็นพระโสดาบัน คุณก็จะต้องใช้หลัก แว่นธรรม [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ถ้าพูด ในแง่ของการปฏิบัติ ของการเข้าถึงธรรม ก็จะมีจุดให้คุณสังเกตได้ ก็คือ......
จิตของผู้ที่ "เข้าใกล้" ความเป็นพระโสดาบัน คนนั้นๆจะมีอนุสสติ6 ประจำอยู่ในจิตตลอดเวลา (ทรงอนุสสติ6)
พุทธานุสสติ, ธัมมานุสสติ, สังฆานุสสติ, สีลานุสสติ, มรณานุสสติ, อุปมานุสสติ(มีนิพพานเป็นอารมณ์)
คือวันทั้งวัน ไม่ว่าคุณ จะคิด-จะพูด-จะทำ อะไร จิตของคุณจะอยู่ในกรอบของการมี อนุสสติ6 ประจำใจอยู่ตลอดเวลา (ให้สังเกตตรงจุดนี้)
เมื่อมีอนุสสติ6 อยู่ในจิตตลอดเวลาแล้ว เวลามีอะไรเกิดขึ้นหรือมากระทบ ก็จะ มีสติรู้ตัว มากำกับไม่ให้ทำผิดศีล จึงทรงความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ได้ตลอด
เขาจึงเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ที่มีอธิศีลได้ (เคร่งครัดในศีลอย่างยิ่ง)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
((((( เคล็ดลับในการมีศีล 5 บริสุทธิ์ )))))
ทุกๆเช้า ก่อนที่จะคุณจะออกจากบ้าน เวลาที่คุณจะอาราธนาพระให้ช่วยคุ้มครองตัว ให้คุณสมาทานศีล และตรวจสอบศีล5ของคุณ ก่อนออกจากบ้าน
1.เว้นจากการฆ่าสัตว์ และทรมานสัตว์
2.เว้นจากการลักทรัพย์ หรือทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้
3.เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4.เว้นจากการพูดเท็จ
5.เว้นจากการดื่มสุราเมรัย และเครื่องดองของมึนเมาทุกชนิด
พอคุณท่องศีลข้อใดขึ้นมา ก็ให้คุณเอาจิตนึกถามตัวเองดูว่า......
"เรายังบกพร่องในศีลข้อนี้อยู่หรือไม่?" และ "เหตุผลใดหรือสิ่งใดที่ทำให้เรายังบกพร่องในศีลข้อนี้อยู่?" (หามันให้เจอ)
เป็นการเจริญสติตามรู้ดูจิตของตัวเอง เพ่งโทษโจษความผิดของตนเอง เพื่อให้เห็นกิเลสในจิตของตัวเองทุกเช้า (อย่างน้อยวันละ1ครั้งตอนเช้า ก็ยังดี)
เพื่อให้รู้ถึงเหตุความบกพร่องในศีลของตนเอง ว่าเหตุใดคุณถึงยังมีความลังเลในการถือศีลข้อนี้อยู่? (พอรู้สาเหตุแล้ว จะได้แก้ไขได้ถูกจุด)
(ถามตัวเองด้วยศีลทุกข้อ ทีละข้อๆ คุณจะต้องมีคำตอบให้กับตัวเองทุกข้อ อย่าปล่อยผ่าน)
ถ้าวันใด ที่คุณไล่ตรวจศีล5ครบหมดทุกข้อ แล้วไม่เจอข้อบกพร่อง ไม่เจอจิตสกปรกที่ยังมีเจตนาล่วงศีลผู้อื่นซ่อนอยู่เลยซักข้อเดียว ก็ถือว่า "พอใช้"
แค่ "พอใช้" เพราะว่าคุณยังไม่ได้ออกจากบ้าน ออกไปเจอปัจจัยภายนอก ที่เป็นสิ่งเร้ามากระทบกาย-กระทบใจ ที่จะทำให้กิเลสของคุณกำเริบได้
(แล้วค่อยไปตามดูจิตของตัวเองในระหว่างวันอีกทีหนึ่ง โดยใช้ มหาสติปัฏฐาน4 ครอบการกระทำทั้งหมดของคุณ ทั้งวัน-ทั้งคืน ที่ตื่นอยู่)
แต่เป้าหมายในการถือศีล ของผู้ที่ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่ใช่แค่ศีล5ของคุณจะต้องไม่บกพร่อง หรือไม่ขาดเท่านั้น
แต่คุณจะต้องถือศีลจนถึงขั้น มีศีล5บริสุทธิ์ (เพราะพระโสดาบัน มีศีล5บริสุทธิ์)
การถือศีล5บริสุทธิ์ ก็คือ ศีลทุกข้อคุณจะต้อง ไม่ทำผิดศีลด้วยตนเอง, ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำผิดศีล, และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำผิดศีลแล้ว (เด็ดขาดทุกข้อ)
(ย้ำว่า "เด็ดขาด" ไม่มีความลังเลในการถือศีลทุกข้อ)
จิตปุถุชน ยังต้องคอยประคองศีลอยู่ ยังมีอารมณ์ในการถือศีลไม่เด็ดขาด สาเหตุหลักก็มาจากความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังไม่เพียงพอ
(คนส่วนมากที่ยังลังเลในการถือศีลอยู่ ก็เพราะลังเลคิดว่าเรื่องนรกสวรรค์อาจจะไม่มีจริง อาจจะคิดว่าเป็นแค่กุศโลบายให้คนกระทำแต่ความดีเท่านั้น)
(แต่ถ้าคุณเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่านรกสวรรค์มีจริงแท้แน่นอน จะทำให้อารมณ์ในการถือศีลของคุณเปลี่ยนไป คุณจะไม่กล้าทำผิดศีลอีก)
(หรือจะพูดอธิบายได้ง่ายๆว่า คุณจะมั่นคงในศีลได้มากเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่? นั่นเอง)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สังโยชน์3 เขียนเรียงกันตามลำดับความยากในการตัดละ (ข้อไหนยิ่งลึก ยิ่งตัดละได้ยากกว่าข้อต้น)
เพราะฉนั้น ในทางปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระโสดาบันนั้น จะมุ่งเน้นโฟกัสไปที่การปฏิบัติตนให้เป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ (มีอธิศีล) เป็นเป้าหมาย
แต่ไม่มีใครที่จะเคร่งครัดตนเองไปจนถึงขั้นมีศีลบริสุทธิ์ได้ ถ้าเขาไม่เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างถึงที่สุด และยังประมาทในความตายอยู่
เพราะฉนั้น.....
ถ้าคุณมีอารมณ์ไม่หลงลืมความตาย ตระหนักรู้ว่า "รู้ว่าเราจะต้องตาย" แน่นอน (สักกายทิฏฐิ ขั้นต้นของพระโสดาบัน)
และเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด ไม่ลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย (วิจิกิจฉา)
การถือศีลของคุณก็จะเคร่งครัดจนถึงขั้นมีศีลบริสุทธิ์ได้ (สีลัพพตปรามาส)
เพราะฉนั้น ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าตัวเองอาจจะกำลังเป็น พระโสดาบัน อยู่หรือเปล่า? (ก็ไม่ต้องให้ใครมาบอก แค่ไล่ข้อศีล5ข้อ ในจิตของคุณเองดูก็รู้)
ถ้าคุณยังมีความลังเลในการถือศีล5อยู่ แม้แต่ข้อเดียว คุณก็ไม่ใช่พระโสดาบันแน่
"ไม่มีใครเป็นพระอริยะเจ้า โดยความบังเอิญ"