บล.ไทยพาณิชย์ มั่นใจ SET ปลายปีแตะ 1,900 จุด ขานรับภาพรวมเศรษฐกิจ การลงทุนหนุน พร้อมประเมินกำไร บจ. ปีนี้สูงกว่า 8% ชี้เป็นจังหวะเข้าลงทุน เน้นกลุ่มบาทอ่อน อาหาร ธนาคารพาณิชย์ เด่นสุด พร้อมจัดทัพลงทุนหุ้นยั่งยืนเป็นทางเลือกช่วงภาวะตลาดผันผวน
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด(SCBS)เปิดเผยว่ายังมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2561 ช่วงปลายปีจะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1,900 จุด โดยต้องยอมรับว่าขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมาระดับหนึ่งแล้ว จากปัจจัยความกังวลที่ผ่านมาทั้งในเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ส่งผลให้มีกระแสเงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้การปรับตัวลดลงของดัชนีมาอยู่ใกล้เคียงช่วงวิกฤติในอดีต เช่น ช่วงราคาน้ำมันปรับตัวลงแรงในปี 2559 ช่วงการใช้ QE ของสหรัฐ และน้ำท่วมในปี 2554 ทำให้ขณะนี้ระดับ P/E เฉลี่ย 14 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับต่ำและหุ้นในบางตัวปรับตัวลดลงมามาก ในขณะที่ปัจจัยในประเทศขณะนี้ไม่ได้มีปัจจัยน่ากังวล
อีกทั้งตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือจีดีพี ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือฝ่ายวิจัยต่างๆ ก็มีการปรับประมาณการกันอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้น อย่างในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือย่อมาจาก Eastern Economic Corridor Development : EEC) ที่จะมีโครงการออกมาจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2561 จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
“เรามองว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาเยอะแล้ว มาใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้นในอนาคต น่าจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนได้ เราก็ให้นักลงทุนเริ่มเข้าลงทุนตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นจังหวะที่เข้าลงทุนได้เพราะคาดว่าSET ไตรมาส 3/61 นี้จะยังปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งปีเราก็ยังคงเป้าหมายเดิมที่ 1,900จุด “นายเกียรติศักดิ์ กล่าว
ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ที่เติบโตสูงกว่า 8% เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง จากจีดีพีและการลงทุนที่เติบโตต่อเนื่อง และราคาน้ำมันสูงขึ้นช่วยสนับสนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน และคาดว่าปีหน้ากำไรบจ.จะสามารถเติบโตได้ถึง 12% ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่อง
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุนในช่วงไตรมาส3/2561 แนะนำนักลงทุนให้เข้าลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน เพราะเงินดอลลาร์จะเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น คือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ,บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA และกลุ่มอาหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF , บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU นอกจากนี้ มีกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต คือ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB
อย่างไรก็ดีในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวน การลงทุนในหุ้นยั่งยืน เป็นแนวทางหนึ่งในการตัดสินใจประกอบการลงทุน เพราะหุ้นที่ได้จัดอันดับความยั่งยืนอย่างบริษัทที่ได้ Thailand Sustainability Investment (THSI)หรือ “หุ้นยั่งยืน” ของไทยก็จะต้องผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์มากมาย ทำให้ถือว่ามีความน่าเชื่อถือในการลงทุนระดับหนึ่ง ซึ่งบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกก็จะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและยึดมั่นใน ด้านการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) และการลงทุนในหุ้นยังยืนถือว่าเป็นความนิยมอย่างมากในขณะนี้ เห็นได้จากตัวอย่างกองทุนในสหรัฐฯมีการลงทุนในกลุ่ม ESG มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 20% ของกองทุนรวมทั้งหมดในประเทศ ซึ่งกองทุนที่ลงทุนให้ ESGให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 13% สะท้อนทิศทางการลงทุนในระยะยาวอย่างยั่งยืน
SCB ให้เป้าแล้ว เตรียมพร้อมแล้ว ลุยกันได้เลยฮะ
Happy weekend
ตั้งฐานอย่างมั่นคง เตรียมทะยานสู่ 1900จุด ปลายปีนี้ ???
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด(SCBS)เปิดเผยว่ายังมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2561 ช่วงปลายปีจะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1,900 จุด โดยต้องยอมรับว่าขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมาระดับหนึ่งแล้ว จากปัจจัยความกังวลที่ผ่านมาทั้งในเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ส่งผลให้มีกระแสเงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้การปรับตัวลดลงของดัชนีมาอยู่ใกล้เคียงช่วงวิกฤติในอดีต เช่น ช่วงราคาน้ำมันปรับตัวลงแรงในปี 2559 ช่วงการใช้ QE ของสหรัฐ และน้ำท่วมในปี 2554 ทำให้ขณะนี้ระดับ P/E เฉลี่ย 14 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับต่ำและหุ้นในบางตัวปรับตัวลดลงมามาก ในขณะที่ปัจจัยในประเทศขณะนี้ไม่ได้มีปัจจัยน่ากังวล
อีกทั้งตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือจีดีพี ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือฝ่ายวิจัยต่างๆ ก็มีการปรับประมาณการกันอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้น อย่างในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือย่อมาจาก Eastern Economic Corridor Development : EEC) ที่จะมีโครงการออกมาจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2561 จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
“เรามองว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาเยอะแล้ว มาใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้นในอนาคต น่าจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนได้ เราก็ให้นักลงทุนเริ่มเข้าลงทุนตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นจังหวะที่เข้าลงทุนได้เพราะคาดว่าSET ไตรมาส 3/61 นี้จะยังปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งปีเราก็ยังคงเป้าหมายเดิมที่ 1,900จุด “นายเกียรติศักดิ์ กล่าว
ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ที่เติบโตสูงกว่า 8% เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง จากจีดีพีและการลงทุนที่เติบโตต่อเนื่อง และราคาน้ำมันสูงขึ้นช่วยสนับสนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน และคาดว่าปีหน้ากำไรบจ.จะสามารถเติบโตได้ถึง 12% ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่อง
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุนในช่วงไตรมาส3/2561 แนะนำนักลงทุนให้เข้าลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน เพราะเงินดอลลาร์จะเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น คือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ,บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA และกลุ่มอาหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF , บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU นอกจากนี้ มีกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต คือ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB
อย่างไรก็ดีในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวน การลงทุนในหุ้นยั่งยืน เป็นแนวทางหนึ่งในการตัดสินใจประกอบการลงทุน เพราะหุ้นที่ได้จัดอันดับความยั่งยืนอย่างบริษัทที่ได้ Thailand Sustainability Investment (THSI)หรือ “หุ้นยั่งยืน” ของไทยก็จะต้องผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์มากมาย ทำให้ถือว่ามีความน่าเชื่อถือในการลงทุนระดับหนึ่ง ซึ่งบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกก็จะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและยึดมั่นใน ด้านการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) และการลงทุนในหุ้นยังยืนถือว่าเป็นความนิยมอย่างมากในขณะนี้ เห็นได้จากตัวอย่างกองทุนในสหรัฐฯมีการลงทุนในกลุ่ม ESG มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 20% ของกองทุนรวมทั้งหมดในประเทศ ซึ่งกองทุนที่ลงทุนให้ ESGให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 13% สะท้อนทิศทางการลงทุนในระยะยาวอย่างยั่งยืน
SCB ให้เป้าแล้ว เตรียมพร้อมแล้ว ลุยกันได้เลยฮะ
Happy weekend