แฟน จขกท เป็นคนชอบนั่งสมาธิมากๆค่ะ แม้ว่านางจะเป็นคนอเมริกัน แต่ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ แต่ตั้งแต่เด็กๆนางก็ชอบนั่งสมาธิอยู่คนเดียวโดยที่ไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่ว่าทำแล้วรู้สึกดี ได้สติ และได้ความรู้ โตมากับครอบครัวนับถือคริสต์แต่นางเองก็ไม่ได้ยึดถือศาสนาใดเป็นหลักอย่างที่กล่าวไปค่ะ นางเคยหาข้อมูลเกี่ยวกับทุกศาสนาและรู้สึกว่าตนเอง มีแนวโน้ม โอนเอียงไปทางศาสนาพุทธมากที่สุด นางบอกว่ามันเรียบง่ายและเป็นจริง นอกจากนี้อีกสิ่งที่นางชอบศึกษามากก็เป็นเรื่อง องค์ประกอบชีวิต, ความหมายของชีวิต เหตุการณ์ต่างๆในชีวิตที่เกิดขึ้นในเชิงวิทยาศาสตร์ตามหลักควอนตัมฟิสิกส์ ประมาณว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดจากอนุภาคเล็กๆประกอบรวมกัน มีปัจจัยหลายๆอย่างเข้าร่วม แต่ละอนุภาคทำงานตามหน้าที่ของมัน เกิดเป็นสิ่งต่างๆตามธรรมชาติ สิ่งของ สิ่งมีชีวิต แม้แต่เหตุการณ์ สถานที่ บุคคลในเหตุการณ์ ผลลัพธ์ ก็เป็นส่วนประกอบของควอนตัมฟิสิกส์ เพราะนางเชื่อในเรื่อง พาราดอกซ์ บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟลค หรือ แผนภาพฟิโบนักชี คือทุกสิ่งอย่าง ทุกอนุภาค เป็นไปตาม cycle หรือวงจรของมันอย่างไม่รู้จบ และเราสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์หรือกำหนดเรื่องราวในอนาคตได้ เพราะการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดส่งผลต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ ส่งผลในลักษณะตั้งแต่อนุภาคที่เล็กที่สุดเลย แม้แต่ฝุ่นผงเม็ดเดียวปลิวเปลี่ยนทิศทางไปเล็กน้อยก็อาจทำให้เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ คร่าวๆหยาบๆประมาณนี้ นางชอบค้นหาเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ 9 ขวบ บวกกับนั่งสมาธิ นางบอกว่า "Everything is everything even nothing is everything" นางยกตัวอย่างว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเป็นสิ่งเดียวกันไปหมด เธอก็เป็นฉัน ฉันก็เป็นเธอ หมาก็เป็นเรา เราก็เป็นต้นไม้ เป็นฝุ่นผง เป็นจักรวาล และทุกอย่างก็เป็นเราเหมือนกัน แม้กระทั่งไม่ได้เป็นอะไรก็เป็นทุกสิ่งอย่างเหมือนกัน และนางยังบอกอีกว่า จริงๆแล้วเรื่องนี้มันอธิบายไม่ได้ แค่คิดจะอธิบายก็ผิดแล้ว เพราะมันไม่สามารถใช้ภาษามาสื่อสารสิ่งนี้ได้ ต้องรู้สึกและสัมผัสเองจากการนั่งสมาธิ หากคนเราสามารถโทรจิตได้ นางคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ที่จะอธิบายสิ่งนี้ให้กันได้ นางยังเปรียบกับศาสนาด้วย นางมีแนวคิดว่า จริงๆแล้วพระเจ้าในศาสนาคริสต์หรือพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธตอนที่ท่านค้นพบความจริงหรือบรรลุเนี่ย ท่านคงพยายามอย่างมากที่จะสื่อสารสิ่งนี้ แต่ความจริงมันไม่มีวิธีใดที่จะอธิบายได้อย่างถูกต้องลึกซึ้งเป๊ะๆจริงๆ คนรุ่นหลังก็ทำได้เพียงบอกกันผ่านการใช้ภาษาและมันก็ผิดเพี้ยน หรือไม่ใช่เลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างที่บอกว่าภาษามันก็เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นมา มันมีข้อจำกัดมาก ที่จะเล่าความจริง ความรู้สึกที่บรรลุนั้นผ่านภาษาหรือตัวหนังสือ ต้องทำเอง เข้าใจเองเท่านั้น
แฟนพูดว่า Everything is everything แม้กระทั่ง Nothing ยังเป็น Everything!! งง แต่ก็อยากเข้าใจ