พุทธศาสนาไม่มีพูดอย่างอื่น ไม่มีอะไร นอกไปจากว่า เมื่อตาเห็นรูปก็ดี หูได้ยินเสียงก็ดี จมูกได้กลิ่นก็ดี ลิ้นได้รสก็ดี ผิวหนังได้รับสัมผัสก็ดี หรือใจมันครุ่นคิดอารมณ์อะไรขึ้นมาก็ดี ทั้ง ๖ อย่างนี้ ถ้าคนธรรมดาผู้ไม่มีปัญญาในขณะนั้น ไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว ก็ปล่อยไปตามเรื่องของมัน มันก็ปรุงเป็นเวทนา คือความรู้สึกสวย–ไม่สวย เพราะ–ไม่เพราะ หอม–ไม่หอม อร่อย–ไม่อร่อยฯลฯ นี้ขึ้นมา; พอปรุงเป็นอย่างนี้ขึ้นมาแล้ว จิตก็รู้สึกไปในลักษณะของอุปาทาน
เช่น สมมติว่าสวย นี้ก็ชอบใจหลงรัก เลยมีอุปาทานไปในเรื่องรัก; ถ้าไม่สวย มันเกลียด มันระคายตา มันก็ปรุงไปในทางความเกลียด; มันจึงมีอยู่ ๒ อย่าง คือชอบกับไม่ชอบเท่านั้น.
ถ้าใครมีความรู้สึกเป็นเรื่องชอบหรือไม่ชอบขึ้นมา อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เรียกว่าคนนั้นกำลังเปิดโอกาสให้อุปาทานเกิดขึ้นครอบงำแล้ว แล้วเขาก็ทำอะไรไปตามความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบนั้น คือทำไปตามอำนาจของอุปาทาน ทำไปตามอำนาจของกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลง; มันจึงทำผิด.
ทีนี้ อีกกรณีหนึ่ง เมื่อตาเห็นรูปแล้ว “สวย” ก็รู้ว่ามันคืออะไร โดยแท้จริงมันเป็นอย่างไร คืออะไร; รู้ว่าคืออะไรนี้ให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วเรามีหน้าที่อย่างไร ที่จะต้องทำเกี่ยวกับสิ่ง สิ่งนี้ หรือถ้าหากไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเกี่ยวข้องก็ไม่เกี่ยวข้องเลย.
หรือว่าได้เห็นรูปที่ไม่สวย แทนที่จะไปรำคาญตาระคายใจ นี้ก็ไม่ต้องรู้สึก หรือว่าเราจะต้องจัดการอย่างไร หรือไม่ควรจัดการอะไรเลย ก็ทำไปด้วยสติปัญญา ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี; ความรักหรือความเกลียดไม่ต้องเกิด เกิดแต่สติปัญญา ว่าจะต้องทำกับสิ่งเหล่านี้อย่างไรดี อย่างนี้เรียกว่าประพฤติถูกธรรม อุปาทานไม่ครอบงำ เป็นมนุษย์ที่ยังมีจิตว่างจากอุปาทานอยู่ตามเดิม.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ตุลาการิกธรรม เรื่อง “เรา” ที่ประกอบ หรือไม่ประกอบด้วยธรรม
ธรรมะเพื่อความหมดทุกข์ เพื่อเกิดปัญญา
เช่น สมมติว่าสวย นี้ก็ชอบใจหลงรัก เลยมีอุปาทานไปในเรื่องรัก; ถ้าไม่สวย มันเกลียด มันระคายตา มันก็ปรุงไปในทางความเกลียด; มันจึงมีอยู่ ๒ อย่าง คือชอบกับไม่ชอบเท่านั้น.
ถ้าใครมีความรู้สึกเป็นเรื่องชอบหรือไม่ชอบขึ้นมา อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เรียกว่าคนนั้นกำลังเปิดโอกาสให้อุปาทานเกิดขึ้นครอบงำแล้ว แล้วเขาก็ทำอะไรไปตามความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบนั้น คือทำไปตามอำนาจของอุปาทาน ทำไปตามอำนาจของกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลง; มันจึงทำผิด.
ทีนี้ อีกกรณีหนึ่ง เมื่อตาเห็นรูปแล้ว “สวย” ก็รู้ว่ามันคืออะไร โดยแท้จริงมันเป็นอย่างไร คืออะไร; รู้ว่าคืออะไรนี้ให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วเรามีหน้าที่อย่างไร ที่จะต้องทำเกี่ยวกับสิ่ง สิ่งนี้ หรือถ้าหากไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเกี่ยวข้องก็ไม่เกี่ยวข้องเลย.
หรือว่าได้เห็นรูปที่ไม่สวย แทนที่จะไปรำคาญตาระคายใจ นี้ก็ไม่ต้องรู้สึก หรือว่าเราจะต้องจัดการอย่างไร หรือไม่ควรจัดการอะไรเลย ก็ทำไปด้วยสติปัญญา ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี; ความรักหรือความเกลียดไม่ต้องเกิด เกิดแต่สติปัญญา ว่าจะต้องทำกับสิ่งเหล่านี้อย่างไรดี อย่างนี้เรียกว่าประพฤติถูกธรรม อุปาทานไม่ครอบงำ เป็นมนุษย์ที่ยังมีจิตว่างจากอุปาทานอยู่ตามเดิม.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ตุลาการิกธรรม เรื่อง “เรา” ที่ประกอบ หรือไม่ประกอบด้วยธรรม