การขาดการศึกษาทางปริยัติ หรือศึกษายังไม่รอบด้าน อาจนำไปสู่การเข้าใจบัญญัติในทางพุทธคลาดเคลื่อน
กระทั่งสร้างความสับสนให้ตนเอง มีธรรมอันย้อนแย้ง มองไม่เห็นสัจจะสภาวะธรรมทั้งปวง อันจะนำไปสู่การหลุดพ้น
หลุดพ้นจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือหลุดพ้นจากความเห็นผิดว่ามีตัวตน เป็นตัวตนในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
ความหมายของอนัตตา
สิ่งที่พรพุทธองค์ทรงตรัสรู้ คือรู้แจ้งในสภาวะธรรม นั่นคือความเป็นอนัตตาในสภาวะธรรมทั้งปวง
ทรงรู้แจ้งในหลักแห่งปฎิจจสมุปทบาท และทรงรู้แจ้งเหตุเกิด และดับในสภาวะธรรมทั้งปวง
พระองค์ทรงเข้าถึงหลักแห่งความจริงของสภาวะธรรมทั้งปวง แล้วทรงบัญญัติหลักแห่งความจริงนั้นนั่นคือ
อริยสัจสี่
ทรงเห็นแจ้งว่า สิ่งอันเกิดจากการปรุงแต่ง หรือสังขารทั้งปวง ย่อมมีมาแต่เหตุ และต้องเป็นไปตามปัจจัย ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ตามเหตุปัจจัยนั้นๆ หาได้มีตัวตน หรืออัตตา จะมาแทรกแซง สั่งการ คอยบังคับสภาวะธรรมให้เป็นไปตามอำนาจของตน โดยไม่ไต้องขึ้นแก่เหตุปัจจัย
และไม่มีสิ่งที่จะเรียกว่าตัวตนที่แท้จริงในสังขารทั้งปวง ทุกสิ่งล้วนปรุงแต่งหรือต้องประกอบกันและกันเกิดขึ้นทั้งสิ้น จะหาตัวตนที่เที่ยงแท้
โดยไม่ต้องเกิดร่วมกับสภาวะธรรมอื่นๆมิได้
นี่คือความเป็นอนัตตาในสังขารทั้งปวง
แม้ในสภาวะธรรมอันมิใช่สังขาร หรืออสังขตธรรม หรือนิพพาน คือสภาวะอันปราศจากการปรุงแต่ง
จึงไม่เกิด ไม่เสื่อม และไม่ดับ ก้อหาใช่ตัวตนของใคร หรือมีตัวตนอันใดเป็นเจ้าของ เมื่อไม่มีเจ้าของ จึงไม่มีใครไปบังคับหรือสั่งนิพพานให้เป็นไป
ตามอำนาจได้
แต่นิพพานก้อต้องมีเหตุให้เข้าถึงในสภาวะธรรมอันปราศจากการปรุงแต่งนั้น
เหตุนั้นพระองค์ทรงบัญญัติคือ อริยะมรรค ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ในอริยะสัจสี่
ธรรมทั้งปวงทั้งสังขารและวิสังขาร จึงเป็นอนัตตา อันจาหาตัวตนที่เป็นเจ้าของ คอยบังคับสั่งการให้ธรรมทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของตนมิได้
ธรรมทั้งปวงล้วนเป็นไปตามหลักแห่งปฎิจจสมุปทบาท
แล้วการกระทำกรรมทางกาย วาจา ใจ ของบุคคลมีได้อย่างไร หากไม่มีตัวตนหรืออัตตาเป็นผู้กระทำ จะแสดงในความเห็นต่อไป
อนัตตา และอะไรที่บังคับบัญชาไม่ได้
กระทั่งสร้างความสับสนให้ตนเอง มีธรรมอันย้อนแย้ง มองไม่เห็นสัจจะสภาวะธรรมทั้งปวง อันจะนำไปสู่การหลุดพ้น
หลุดพ้นจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือหลุดพ้นจากความเห็นผิดว่ามีตัวตน เป็นตัวตนในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
ความหมายของอนัตตา
สิ่งที่พรพุทธองค์ทรงตรัสรู้ คือรู้แจ้งในสภาวะธรรม นั่นคือความเป็นอนัตตาในสภาวะธรรมทั้งปวง
ทรงรู้แจ้งในหลักแห่งปฎิจจสมุปทบาท และทรงรู้แจ้งเหตุเกิด และดับในสภาวะธรรมทั้งปวง
พระองค์ทรงเข้าถึงหลักแห่งความจริงของสภาวะธรรมทั้งปวง แล้วทรงบัญญัติหลักแห่งความจริงนั้นนั่นคือ
อริยสัจสี่
ทรงเห็นแจ้งว่า สิ่งอันเกิดจากการปรุงแต่ง หรือสังขารทั้งปวง ย่อมมีมาแต่เหตุ และต้องเป็นไปตามปัจจัย ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ตามเหตุปัจจัยนั้นๆ หาได้มีตัวตน หรืออัตตา จะมาแทรกแซง สั่งการ คอยบังคับสภาวะธรรมให้เป็นไปตามอำนาจของตน โดยไม่ไต้องขึ้นแก่เหตุปัจจัย
และไม่มีสิ่งที่จะเรียกว่าตัวตนที่แท้จริงในสังขารทั้งปวง ทุกสิ่งล้วนปรุงแต่งหรือต้องประกอบกันและกันเกิดขึ้นทั้งสิ้น จะหาตัวตนที่เที่ยงแท้
โดยไม่ต้องเกิดร่วมกับสภาวะธรรมอื่นๆมิได้
นี่คือความเป็นอนัตตาในสังขารทั้งปวง
แม้ในสภาวะธรรมอันมิใช่สังขาร หรืออสังขตธรรม หรือนิพพาน คือสภาวะอันปราศจากการปรุงแต่ง
จึงไม่เกิด ไม่เสื่อม และไม่ดับ ก้อหาใช่ตัวตนของใคร หรือมีตัวตนอันใดเป็นเจ้าของ เมื่อไม่มีเจ้าของ จึงไม่มีใครไปบังคับหรือสั่งนิพพานให้เป็นไป
ตามอำนาจได้
แต่นิพพานก้อต้องมีเหตุให้เข้าถึงในสภาวะธรรมอันปราศจากการปรุงแต่งนั้น
เหตุนั้นพระองค์ทรงบัญญัติคือ อริยะมรรค ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ในอริยะสัจสี่
ธรรมทั้งปวงทั้งสังขารและวิสังขาร จึงเป็นอนัตตา อันจาหาตัวตนที่เป็นเจ้าของ คอยบังคับสั่งการให้ธรรมทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของตนมิได้
ธรรมทั้งปวงล้วนเป็นไปตามหลักแห่งปฎิจจสมุปทบาท
แล้วการกระทำกรรมทางกาย วาจา ใจ ของบุคคลมีได้อย่างไร หากไม่มีตัวตนหรืออัตตาเป็นผู้กระทำ จะแสดงในความเห็นต่อไป