กระทู้แรกที่ตั้งเป็นเกี่ยวกับระยะมินิมาราธอน ยอมรับว่าข้อมูลจะน้อยมากค่ะ เพราะนานมาก
รูปถ่าย บันทึกอะไรก็ยังไม่ค่อยมีมาก ก็ช่วงเริ่มเนอะ เพราะเราเองก็ไม่คิดว่า จากการวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก จะพาเรามาถึงจุดๆนี้ได้
ฮาล์ฟแรก : สนามที่รอดมาได้เพราะคำแนะนำ และเป็นสนามที่ทำให้ค้นพบแรงบันดาลใจ
หลังจากตั้งเป้าหมาย กับการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนแรกไปแล้ว สนามวิ่งที่เราเลือกลง คือ งานวิ่ง จ.ประจวบ คือเราเอง ถือโอกาสไปวิ่งและเที่ยวด้วยส่วนนึง ชวนแฟนไปลง มินิแรกที่นั่นด้วย
แต่การไปครั้งนี้ ไม่พร้อมแบบเช่นมินิแรกที่มีการซ้อมที่คิดว่าพอในการลงสนามจริง
ในสนามนี้ เราไม่มีความพร้อมขนาดนั้น ร่างกายที่เพิ่งหายป่วย ทำให้เราได้ลองซ้อมระยะไกลสุดเพียงแค่ 13 กม. ครั้งเดียว แล้วก็ไปลุยสนามจริงเลยจ้า
การซ้อมยาวครั้งสุดท้ายก่อนไปลุย
สัปดาห์นั่นมาถึง เราเดินทางไปรับเบอร์วิ่ง ตอนนั้นในใจ ไม่กลัวนะคะ คิดว่าเอาน่า อีก 8 กิโล ต้องได้แหละ แต่ก็มีการโพสบ่นหน้าเฟสจนมีเพื่อน ให้คำแนะนำเราสั้นๆว่า วันที่ซ้อม 13 กิโล วิ่งเพซไหน ก็ให้ลดเพซลง ง่ายๆคือลดความเร็วลง แล้วก็พกพวกชอคบาร์ไปสักอัน เพราะมันจะหิวมาก!! นี่ก็มานั่งเปิดผลซ้อม วันนั้นที่เราวิ่ง 13กิโล เพซเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ดังนั้นในสนามนี้ เราจะต้องประคองตัวเองที่เพซ 8-9 ให้ได้ ห้ามรีบๆๆๆๆๆๆๆ
วันจริง ออกจากเส้นปล่อยตัว ใส่หูฟังๆเพลง พร้อมเปิด app nike running (สมัยก่อนอัพเดทแอปยังเป็นชื่อนี้)เปิดแจ้งเตือนเพซทุกๆกิโล ซึ่ง เราทำได้ดีและนิ่งมาก ในช่วงกิโลแรกๆ จนพอเข้ากิโลที่ 13 เราเริ่มมีอาการล้าละ ใช่สิ ก็แกซ้อมาแค่ไหนละ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เราเห็นนักวิ่งแนวหน้า วิ่งสวนมา ซึ่งโป๊ะเชะ สายตาจับไปที่พี่ผญ.คนหนึ่งใส่ทอปบรา หุ่นลีน สูง ทุกก้าวที่สวนไปนี่เห็นกล้ามเนื้อ มันแบบ เห้ยย เท่โคตรอะแกร๊ แล้ววิ่งไวโคตร ชอตนี้ฝังใจมาก และเชื่อไหมพี่ผญคนนี้ ได้เปลี่ยนเป้าหมายการวิ่งเราไปตลอดกาลลลลลล
พอพ้นเลยมากิโลที่ 15 เริ่มไม่ไหว หิวมากหิวจนต้องหยิบบาร์ที่พกมากิน ใจตอนนั้นคือเหนื่อยมาก แต่พยายามไปต่อ ไปช้าๆ ไปเรื่อย แบบที่เราถนัดนี่แหละ เราก็ไม่เดินนะ คือตอนนั้นเรารู้สึกว่า ถ้าเราเดิน ขาเรามันจะชา แล้วเรากลัวว่าเราจะเดินไปตลอด ก็ประคองมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นไม่สนใจเพซแล้ว จ็อกเท่าที่ไหว ค่อยๆไป กิโล18 นี่คือพีคมาก ไปด้วยใจ บอกตัวเองตลอด ทำได้ๆๆๆ แถมแดดไล่เข้ามา หูยยย รีบเลย ไม่ดิ ทำเป็นรีบเลย 5555 คือไม่ไหวค่ะ รีบได้แค่นี้ จนสุดท้าย เลี้ยวโค้งเข้าเส้นชัย คือแบบ เย้ ถึงเว้ยยย เข้าเส้นละเว้ยย ฮาล์ฟมาราธอนแรกของฉันนนนนนน จบสิ้นสักที ขาคงดีใจมากที่ได้หยุดแล้ว ตอนนั้น ใช้เวลาไป 2.46 ชม. กลับไปที่พัก สลบเป็นตาย นี่ไง ฮาล์ฟมาราธอนแรกของแก ปวี ฮาล์ฟที่ซ้อมมาแค่ 13 กิโล
ผลเวลาของสนามแรกของเรา
ฮาล์ฟที่ 2 : ท้าทายตัวเองดูบ้างดีไหมนะ
ถ้าใครจำได้ เราลงสนามมินิมาราธอนแรก ที่งานวันแม่ ดังนั้นในปีต่อมา เราตั้งเป้าละ เราจะลงฮาล์ฟที่นี่อีก เพราะปีนี้เส้นทางดีมาก ไม่ต้องวนรูท 2 รอบ แบบปีก่อนๆเราก็เอาวะ สนามนี้แหละ
คือทุกคนจำตอนฮาล์ฟแรกที่เราพูดถึงผญคนนึงได้ไหม เค้าเท่จนเราแบบ อยากวิ่งให้ได้แบบนี้ คือเวลาเท่าไหร่เราไม่สนหรอก แต่เราอยากวิ่งแล้วได้กล้ามเนื้อแบบเน้ วิ่งแล้วเท่แบบเน้ เรียกว่า เป็นแรงผลักดันให้เราท้าทายตัวเองมากขึ้นมาก
ดังนั้น เมื่อเราตั้งใจมากขึ้น เราก็ตั้งเป้าเลยค่ะ ซ้อมมมมมมม ซ้อมนี่ซ้อมทุกอย่างค่ะ วิ่ง โยคะ เวทเทรนนิ่ง
ท่าเวทที่รู้สึกว่าต้องทำเสมอก็ Plank นี่แหละค่ะ รู้สึกได้ Core body ทั่วร่าง
จากบทเรียนครั้งก่อนที่ซ้อมวิ่งไม่ถึง ทำให้ครั้งนี้ตั้งเป้าละ เราจะต้องลองวิ่งซ้อมยาวให้ได้อย่างน้อย 18 กิโลอะ อีก 3 โลวัดใจเอามั้ง
การซ้อมก็ง่ายๆ ซ้อมหลังเลิกงานเรื่อยๆ เอาง่ายๆคือไม่มีแบบแผนเท่าไหร่ เน้นระยะ เน้นให้ร่างกายเราทานต่อระยะเวลาที่นานขึ้น ไกลขึ้น
จนมีพี่ๆแนะนำเราว่า เราควรวิ่งซ้อมทางเนิน หรือทางบันไดด้วยนะ เพราะสนามที่เราลงนี่ มีการวิ่งขึ้นลง สะพานมากกว่า10ครั้งเลยแหละ เราก็เห้ยยยยย ไปเปิดเว็บเช็คอีกที แม่เจ้า ทางราบก็แย่แล้ว นี่เจอสะพาน10กว่ารอบ เริ่มกังวล แต่ยังมีเวลาซ้อมอยู่ เราก็เลยเพิ่มการวิ่งขึ้นลงบันไดค่ะ หูยยย บอกเลย เหนื่อยมาก เหมือนหัวใจจะแตก แต่มองว่าได้ฝึกกล้ามเนื้อขาส่วนอื่นเพิ่ม
จนช่วงโค้งสุดท้ายของการซ้อม เราได้นัดพี่ๆเพื่อนๆไปซ้อมยาวค่ะ ที่สวนรถไฟ เราตั้งเป้าไว้ 18 กิโลขึ้น แอบกระซิบว่าคือ การซ้อมยาวแบบมีคนวิ่งเป็นเพื่อนก็มีส่วนช่วยให้เราสามารถซ้อมได้จบจริงๆนะคะ มันดีกว่าการซ้อมคนเดียว เพราะเราอาจจะถอดใจไปกลางทางเลยก็ได้สรุปการซ้อมยาวของเราในวันนั้นจบที่ 20 กิโล คือสภาพร่างโอเคมาก
ตอนนั้นพอใจกับผลซ้อมมาก ไม่คิดว่าจะวิ่งซ้อมได้ต่อเนื่องขนาดนี้ สีข่วคือจำนวนกิโลเมตร สีฟ้าคือความเร็วเฉลี่ย/กิโลนั้นๆ
อาจเพราะเราซ้อมถี่ขึ้นกว่าสนามแรก ทำให้ทนทานมากขึ้น หลังจากซ้อมยาววันนี้ใจเราชื้นละ เราทำได้แน่นอน และจากผลซ้อมนี้ ทำให้เราคิดแล้วว่า เป้าหมายเวลาของสนามนี้ เราอยากลอง เราอยากจบที่เวลา 2.15-2.30 ค่ะ
วันจริงเราก็นั่งแท็กซี่ไป เตรียมตัว อ้อลืมบอกงานนี้มี pacer ด้วยนะคะ คือคนนำเวลาในสนามค่ะ อยากจบเวลาไหน ก็วิ่งตาม pacer เวลานั้น ซึ่งเราเล็งละจะตามโป่ง 2.15 กับ 2.30 นี่แหละ
สิ้นเสียงปล่อยตัว เราวิ่งออกไปพร้อมๆลูกโป่งค่ะ แล้วโป่ง 2.15 ก็ห่างเราไปทุกทีๆ เราวอร์มน้อยเราเหนื่อย เราเปลี่ยนแผนเป็น วิ่งกับพี่ๆ 2.30 แทน แต่พอกิโลที่ 4 เราก็เร่งตัวเองขึ้น เพราะเหมือนเค้าเรียกว่าไงอะ เครื่องมันร้อนแล้ว จนผ่านสะพานแล้วสะพานเล่า ถึงจุดกลับตัว วนกลับมา แม่เจ้า การวิ่งขึ้นสะพานในช่วงที่แรงราริบหรี่นี่สุดยอดจริงๆ จนมีคำพูดจากพี่คนนึงบอกเราว่า ถ้าขึ้นมันเหนื่อย ก็มาทำเวลาตอนลงแทน เราก็เลยเอาเว้ย ตอนลงนี่ ปล่อยตัวเองไหลเลยค่ะ ชดเชยเวลาที่ขึ้น จนช่วงกิโลท้ายๆ เราเห็นโป่ง 2.15แล้ววววว เราพยายามค่อยๆเคาะตามพวกเค้าไป แล้วอยู่ๆ บิบที่เราติดไว้ที่เอวก็ขาด เราเลยพับแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าคาดเอวซึ่งมีมือถืออยู่ค่ะ แล้ววิ่งต่อ ต้องทันๆต้องได้ๆ ตอนนั้นคิดแค่นี้ จนสุดท้าย
เข้าเส้นชัยพร้อมแอพแจ้งผลกับสถิติใหม่นี้
เย้!!!! เราทำได้ เราทำลายสถิติตัวเองได้ กริ๊ดดด ชนะอะไรไม่สู้ชนะตัวเองก็คราวนี้เว้ยยย 55 เข้าเส้นมา รีบไปปริ๊นผลเวลา เพราะมันคือรางวัลของเรารางวัลว่าเห้ยย เราทำได้ เราเร็วขึ้นกว่าสนามเดิม 30 นาทีเลยเว้ยย คือเหนื่อย แต่ไม่ล้าไม่เจ็บ จบแบบฟินๆ แต่จำได้ไหม เพราะเราพับเบอร์วิ่งใส่ไปกับมือถือในช่องเดียวกัน ทำให้ Chip จับเวลารวนค่ะ ไม่สามารถเชคเวลาของเราได้ คือแบบ โอ้ยยย เสียใจ แต่ไม่เปนไร เรามีบันทึกในแอป เรารู้ตัวเอง ว่าเราทำได้ พอละ กลับบ้านด้วยความภูมิใจ แต่สนามนีความรู้สึกต่างไปจากปีแรกมากค่ะ เราเริ่มได้มีเพื่อนๆพี่ๆที่ชอบวิ่งเหมือนๆกัน ได้คุยได้ถ่ายรูป ได้แบ่งปันเรื่องราว มันสนุกอบอุ่นจริงๆ
ตอนสุดท้ายต่อในเม้นนะคะ ตัวอักษรไม่พอ เราพยายามย่อแล้วจริงๆสาบานได้
น่าจะจบในคอมเม้นแล้ว มีอยากเล่า อีก 1 สนามเท่านั้นนนนนนนนนน
มาราธอนที่ไม่ไปด้วยใจแต่ไปด้วยวินัยการซ้อมนี่แล ตอนที่ 2 ก้าวที่ 2 Half Marathon และแรงบันดาลใจใหม่ๆ
รูปถ่าย บันทึกอะไรก็ยังไม่ค่อยมีมาก ก็ช่วงเริ่มเนอะ เพราะเราเองก็ไม่คิดว่า จากการวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก จะพาเรามาถึงจุดๆนี้ได้
ฮาล์ฟแรก : สนามที่รอดมาได้เพราะคำแนะนำ และเป็นสนามที่ทำให้ค้นพบแรงบันดาลใจ
หลังจากตั้งเป้าหมาย กับการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนแรกไปแล้ว สนามวิ่งที่เราเลือกลง คือ งานวิ่ง จ.ประจวบ คือเราเอง ถือโอกาสไปวิ่งและเที่ยวด้วยส่วนนึง ชวนแฟนไปลง มินิแรกที่นั่นด้วย
แต่การไปครั้งนี้ ไม่พร้อมแบบเช่นมินิแรกที่มีการซ้อมที่คิดว่าพอในการลงสนามจริง
ในสนามนี้ เราไม่มีความพร้อมขนาดนั้น ร่างกายที่เพิ่งหายป่วย ทำให้เราได้ลองซ้อมระยะไกลสุดเพียงแค่ 13 กม. ครั้งเดียว แล้วก็ไปลุยสนามจริงเลยจ้า
การซ้อมยาวครั้งสุดท้ายก่อนไปลุย
สัปดาห์นั่นมาถึง เราเดินทางไปรับเบอร์วิ่ง ตอนนั้นในใจ ไม่กลัวนะคะ คิดว่าเอาน่า อีก 8 กิโล ต้องได้แหละ แต่ก็มีการโพสบ่นหน้าเฟสจนมีเพื่อน ให้คำแนะนำเราสั้นๆว่า วันที่ซ้อม 13 กิโล วิ่งเพซไหน ก็ให้ลดเพซลง ง่ายๆคือลดความเร็วลง แล้วก็พกพวกชอคบาร์ไปสักอัน เพราะมันจะหิวมาก!! นี่ก็มานั่งเปิดผลซ้อม วันนั้นที่เราวิ่ง 13กิโล เพซเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ดังนั้นในสนามนี้ เราจะต้องประคองตัวเองที่เพซ 8-9 ให้ได้ ห้ามรีบๆๆๆๆๆๆๆ
วันจริง ออกจากเส้นปล่อยตัว ใส่หูฟังๆเพลง พร้อมเปิด app nike running (สมัยก่อนอัพเดทแอปยังเป็นชื่อนี้)เปิดแจ้งเตือนเพซทุกๆกิโล ซึ่ง เราทำได้ดีและนิ่งมาก ในช่วงกิโลแรกๆ จนพอเข้ากิโลที่ 13 เราเริ่มมีอาการล้าละ ใช่สิ ก็แกซ้อมาแค่ไหนละ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เราเห็นนักวิ่งแนวหน้า วิ่งสวนมา ซึ่งโป๊ะเชะ สายตาจับไปที่พี่ผญ.คนหนึ่งใส่ทอปบรา หุ่นลีน สูง ทุกก้าวที่สวนไปนี่เห็นกล้ามเนื้อ มันแบบ เห้ยย เท่โคตรอะแกร๊ แล้ววิ่งไวโคตร ชอตนี้ฝังใจมาก และเชื่อไหมพี่ผญคนนี้ ได้เปลี่ยนเป้าหมายการวิ่งเราไปตลอดกาลลลลลล
พอพ้นเลยมากิโลที่ 15 เริ่มไม่ไหว หิวมากหิวจนต้องหยิบบาร์ที่พกมากิน ใจตอนนั้นคือเหนื่อยมาก แต่พยายามไปต่อ ไปช้าๆ ไปเรื่อย แบบที่เราถนัดนี่แหละ เราก็ไม่เดินนะ คือตอนนั้นเรารู้สึกว่า ถ้าเราเดิน ขาเรามันจะชา แล้วเรากลัวว่าเราจะเดินไปตลอด ก็ประคองมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นไม่สนใจเพซแล้ว จ็อกเท่าที่ไหว ค่อยๆไป กิโล18 นี่คือพีคมาก ไปด้วยใจ บอกตัวเองตลอด ทำได้ๆๆๆ แถมแดดไล่เข้ามา หูยยย รีบเลย ไม่ดิ ทำเป็นรีบเลย 5555 คือไม่ไหวค่ะ รีบได้แค่นี้ จนสุดท้าย เลี้ยวโค้งเข้าเส้นชัย คือแบบ เย้ ถึงเว้ยยย เข้าเส้นละเว้ยย ฮาล์ฟมาราธอนแรกของฉันนนนนนน จบสิ้นสักที ขาคงดีใจมากที่ได้หยุดแล้ว ตอนนั้น ใช้เวลาไป 2.46 ชม. กลับไปที่พัก สลบเป็นตาย นี่ไง ฮาล์ฟมาราธอนแรกของแก ปวี ฮาล์ฟที่ซ้อมมาแค่ 13 กิโล
ผลเวลาของสนามแรกของเรา
ฮาล์ฟที่ 2 : ท้าทายตัวเองดูบ้างดีไหมนะ
ถ้าใครจำได้ เราลงสนามมินิมาราธอนแรก ที่งานวันแม่ ดังนั้นในปีต่อมา เราตั้งเป้าละ เราจะลงฮาล์ฟที่นี่อีก เพราะปีนี้เส้นทางดีมาก ไม่ต้องวนรูท 2 รอบ แบบปีก่อนๆเราก็เอาวะ สนามนี้แหละ
คือทุกคนจำตอนฮาล์ฟแรกที่เราพูดถึงผญคนนึงได้ไหม เค้าเท่จนเราแบบ อยากวิ่งให้ได้แบบนี้ คือเวลาเท่าไหร่เราไม่สนหรอก แต่เราอยากวิ่งแล้วได้กล้ามเนื้อแบบเน้ วิ่งแล้วเท่แบบเน้ เรียกว่า เป็นแรงผลักดันให้เราท้าทายตัวเองมากขึ้นมาก
ดังนั้น เมื่อเราตั้งใจมากขึ้น เราก็ตั้งเป้าเลยค่ะ ซ้อมมมมมมม ซ้อมนี่ซ้อมทุกอย่างค่ะ วิ่ง โยคะ เวทเทรนนิ่ง
ท่าเวทที่รู้สึกว่าต้องทำเสมอก็ Plank นี่แหละค่ะ รู้สึกได้ Core body ทั่วร่าง
จากบทเรียนครั้งก่อนที่ซ้อมวิ่งไม่ถึง ทำให้ครั้งนี้ตั้งเป้าละ เราจะต้องลองวิ่งซ้อมยาวให้ได้อย่างน้อย 18 กิโลอะ อีก 3 โลวัดใจเอามั้ง
การซ้อมก็ง่ายๆ ซ้อมหลังเลิกงานเรื่อยๆ เอาง่ายๆคือไม่มีแบบแผนเท่าไหร่ เน้นระยะ เน้นให้ร่างกายเราทานต่อระยะเวลาที่นานขึ้น ไกลขึ้น
จนมีพี่ๆแนะนำเราว่า เราควรวิ่งซ้อมทางเนิน หรือทางบันไดด้วยนะ เพราะสนามที่เราลงนี่ มีการวิ่งขึ้นลง สะพานมากกว่า10ครั้งเลยแหละ เราก็เห้ยยยยย ไปเปิดเว็บเช็คอีกที แม่เจ้า ทางราบก็แย่แล้ว นี่เจอสะพาน10กว่ารอบ เริ่มกังวล แต่ยังมีเวลาซ้อมอยู่ เราก็เลยเพิ่มการวิ่งขึ้นลงบันไดค่ะ หูยยย บอกเลย เหนื่อยมาก เหมือนหัวใจจะแตก แต่มองว่าได้ฝึกกล้ามเนื้อขาส่วนอื่นเพิ่ม
จนช่วงโค้งสุดท้ายของการซ้อม เราได้นัดพี่ๆเพื่อนๆไปซ้อมยาวค่ะ ที่สวนรถไฟ เราตั้งเป้าไว้ 18 กิโลขึ้น แอบกระซิบว่าคือ การซ้อมยาวแบบมีคนวิ่งเป็นเพื่อนก็มีส่วนช่วยให้เราสามารถซ้อมได้จบจริงๆนะคะ มันดีกว่าการซ้อมคนเดียว เพราะเราอาจจะถอดใจไปกลางทางเลยก็ได้สรุปการซ้อมยาวของเราในวันนั้นจบที่ 20 กิโล คือสภาพร่างโอเคมาก
ตอนนั้นพอใจกับผลซ้อมมาก ไม่คิดว่าจะวิ่งซ้อมได้ต่อเนื่องขนาดนี้ สีข่วคือจำนวนกิโลเมตร สีฟ้าคือความเร็วเฉลี่ย/กิโลนั้นๆ
อาจเพราะเราซ้อมถี่ขึ้นกว่าสนามแรก ทำให้ทนทานมากขึ้น หลังจากซ้อมยาววันนี้ใจเราชื้นละ เราทำได้แน่นอน และจากผลซ้อมนี้ ทำให้เราคิดแล้วว่า เป้าหมายเวลาของสนามนี้ เราอยากลอง เราอยากจบที่เวลา 2.15-2.30 ค่ะ
วันจริงเราก็นั่งแท็กซี่ไป เตรียมตัว อ้อลืมบอกงานนี้มี pacer ด้วยนะคะ คือคนนำเวลาในสนามค่ะ อยากจบเวลาไหน ก็วิ่งตาม pacer เวลานั้น ซึ่งเราเล็งละจะตามโป่ง 2.15 กับ 2.30 นี่แหละ
สิ้นเสียงปล่อยตัว เราวิ่งออกไปพร้อมๆลูกโป่งค่ะ แล้วโป่ง 2.15 ก็ห่างเราไปทุกทีๆ เราวอร์มน้อยเราเหนื่อย เราเปลี่ยนแผนเป็น วิ่งกับพี่ๆ 2.30 แทน แต่พอกิโลที่ 4 เราก็เร่งตัวเองขึ้น เพราะเหมือนเค้าเรียกว่าไงอะ เครื่องมันร้อนแล้ว จนผ่านสะพานแล้วสะพานเล่า ถึงจุดกลับตัว วนกลับมา แม่เจ้า การวิ่งขึ้นสะพานในช่วงที่แรงราริบหรี่นี่สุดยอดจริงๆ จนมีคำพูดจากพี่คนนึงบอกเราว่า ถ้าขึ้นมันเหนื่อย ก็มาทำเวลาตอนลงแทน เราก็เลยเอาเว้ย ตอนลงนี่ ปล่อยตัวเองไหลเลยค่ะ ชดเชยเวลาที่ขึ้น จนช่วงกิโลท้ายๆ เราเห็นโป่ง 2.15แล้ววววว เราพยายามค่อยๆเคาะตามพวกเค้าไป แล้วอยู่ๆ บิบที่เราติดไว้ที่เอวก็ขาด เราเลยพับแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าคาดเอวซึ่งมีมือถืออยู่ค่ะ แล้ววิ่งต่อ ต้องทันๆต้องได้ๆ ตอนนั้นคิดแค่นี้ จนสุดท้าย
เข้าเส้นชัยพร้อมแอพแจ้งผลกับสถิติใหม่นี้
เย้!!!! เราทำได้ เราทำลายสถิติตัวเองได้ กริ๊ดดด ชนะอะไรไม่สู้ชนะตัวเองก็คราวนี้เว้ยยย 55 เข้าเส้นมา รีบไปปริ๊นผลเวลา เพราะมันคือรางวัลของเรารางวัลว่าเห้ยย เราทำได้ เราเร็วขึ้นกว่าสนามเดิม 30 นาทีเลยเว้ยย คือเหนื่อย แต่ไม่ล้าไม่เจ็บ จบแบบฟินๆ แต่จำได้ไหม เพราะเราพับเบอร์วิ่งใส่ไปกับมือถือในช่องเดียวกัน ทำให้ Chip จับเวลารวนค่ะ ไม่สามารถเชคเวลาของเราได้ คือแบบ โอ้ยยย เสียใจ แต่ไม่เปนไร เรามีบันทึกในแอป เรารู้ตัวเอง ว่าเราทำได้ พอละ กลับบ้านด้วยความภูมิใจ แต่สนามนีความรู้สึกต่างไปจากปีแรกมากค่ะ เราเริ่มได้มีเพื่อนๆพี่ๆที่ชอบวิ่งเหมือนๆกัน ได้คุยได้ถ่ายรูป ได้แบ่งปันเรื่องราว มันสนุกอบอุ่นจริงๆ
ตอนสุดท้ายต่อในเม้นนะคะ ตัวอักษรไม่พอ เราพยายามย่อแล้วจริงๆสาบานได้
น่าจะจบในคอมเม้นแล้ว มีอยากเล่า อีก 1 สนามเท่านั้นนนนนนนนนน