ปวดหนอๆๆ เจ็บหนอๆๆๆ โอยๆๆๆ
นั่งเจริญกรรมฐาน ทุกคนก็ต้องเคยเจ็บปวดอะไรกันมั่งเป็นธรรมดา
เรื่องของขันธ์ ๕ นี่เรากำหนดอะไรไม่ได้มากนะ....
จะเล่าอะไรก็ลืมไปแล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่เราไว้ใจมันไม่ได้เลยนะ อิอิ
ผมไม่รู้คุณคิดยังไงนะ แต่ตอนที่ผมได้รับการฝึก
นั่งไปนานๆมันก็เมื่อย ก็ปวด ก็เจ็บ
เขาบอกว่าให้พิจารณาการปวดหนอ... เจ็บหนอ
(ถ้าปวดขี้ ก็ปวดขี้หนอ แล้วรีบลุกไปขี้ซะ)
อ้อ... มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
วิปัสสนากันแบบเบาๆ
(ระหว่างนี้ เสียงหนอ หิวหนอ ง่วงหนอ อย่าไปสนใจมันนะ ถ้าสนใจจะเจ๋อมาก ไร้สติ)
จริงๆแล้ว มันก็เป็นเวทนานุสสติปัฏฐานธรรมดาสามัญประจำบ้านนะ
แต่...
เคยคิดบ้างมั้ยว่า มันไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดเราก็พิจารณาได้นี่หว่า
ลมพัดเย็นสบาย สุขหนอๆ ก็ได้ เวทนาเหมือนกันนะเว้ย
มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ได้เหมือนกัน พิจารณาตัดสุขไปเลย สบายใจไป
ไอ้ทุกขเวทนา เราไม่อยากติดอยู่แล้ว ใครจะไปอยากติดใช่มั้ย
แต่สุขเวทนานี่เราอาจจะติดมันก็ได้ ไม่อาจจะ... ละ ติดอยู่แล้ว กามสุขัลลิกานุโยคนี่เป็นปกติวิสัย
อย่างผมก็... จะเรียกยังไงดี ไอ้เรื่องไปทำตัวเองให้ทรมานเพื่อพิจารณาเวทนา
ต้องจ้างนะ จ้างสักสองสามล้าน ก็จะทำให้ เอาเงินมาไปสร้างสำนักทรงเจ้าของผม
แต่ถ้าอยู่ๆมาให้ทำ ไม่ทำหรอกครับ
ไม่ใช่วิสัย จะทำไปทำไม ปกติมันก็มีทุกข์ของมันอยู่แล้ว หิวทุกวัน ปวดขี้ทุกวัน
เรื่องทางกายนี่ มันทุกข์เป็นปกติอยู่แล้ว
พอดีอ่านงานการตรัสรู้ของพระสารีบุตรแล้วน่าสนใจ ท่านเล่นสุขเวทนาในสมาบัติ
แหม... สุขาปฏิปทาแบบนี้ เข้าทางสิครับ เพราะเรามันพวกสุขนิยม
ปฏิบัติไปมีความสุขไป ปุ๋ยๆๆ ฉ่ำเยิ้มมมมมม
อะไรนะ... ระวังติดฌาน
จากประสบการณ์ของผมนะ ผมติดฌานอยู่วันเดียวครับ (ตอนนั้นไม่รู้จักฌานเฌินอะไรหรอก)
พอได้แล้วอีกวันก็อยากทำใหม่ แหม.. มันก็ไม่ได้สิ อยากมากๆมันก็ไม่ได้
นั่งมันก็เมื่อย ก็เลยนอนเล่น นอนคิดว่า เอ... ถ้าเราอยากกินข้าว
แล้วไม่หุงข้าว นั่งนึกอยากกินเฉยๆ เราก็คงไม่ได้กิน
เราก็ต้องตั้งใจก่อไฟ หุงข้าวสินะ
ความสุขจากสมาธินี่ ถ้าเราอยากได้ เราก็ตั้งใจเจริญสมาธิสิ ไหนๆ
ตอนที่เราทำได้เราทำยังไงนะ ก็นั่งทบทวนแล้วก็เอาใหม่
ตอนนั้นโง่ๆอย่างผมยังคิดได้ ผมว่าไม่ควรมีใครในโลกนี้กลัวติดฌานแล้วละ
มันแก้ง่ายอย่างกับตั้งกระทู้ในพันทิป...
หือม... ตั้งกระทู้ยากกว่าเหรอ ก็จริงนะ
ผมว่า กลัวติดฌานนี่ มันก็จะบ้าๆบอๆไปเสียมากกว่า กลัวดี นี่คงไม่เจอดี อีกหน่อยก็กลัวนิพพานกันละมั้ง
หรือว่า กลัวศีล กลัวมีศีล... มีศีลเดี๋ยวติดศีล ไม่มีดีกว่า เอางั้นรึ...?
ผมว่ากลัวจะไม่ติดฌานนี่สิ... สำคัญกว่า คือ เอาจิตไปติดกับอารมณ์ฌานไว้เสมอ
จิตเป็นฌาน เอาใจมีสมาธิมีอารมณ์สงบสุข นี่สำคัญนะ ทำให้ได้ตลอดเวลาก็จบเรื่อง
จิตเป็นเอกคตารมณ์ไว้เสมอ ตั้งเฉพาะไว้ที่พระนิพพาน พูดง่ายแต่ทำยาก
แต่ก็ต้องทำจริงมั้ย เพราะเรามันบ้ามาเดินสายนี้แล้วนี่
ไปสายนรก สายเปรต อสูรกาย นี่มันไม่ต้องทำอะไร ปล่อยใจไปเลย
ตามดูกิเลส ดูไปดูมาก็ผิดศีล ๕ ไปแล้ว สบายไป
พอใจสงบ มันก็พิจารณาง่ายใช่มั้ยละ เพราะอารมณ์ฟุ้งไม่มี
เวทนาทางกายมันมีเป็นประจำอยู่แล้ว เราก็ไม่ดิ้นรน พิจารณาไปเพลินๆ
เวทนาทางใจก็มีอีก ก็พิจารณาไปอีกนั่นแหละ
ไอ้ดูเฉยๆ ดูซื่อๆนี่มันต้องใช้อารมณ์สมาธิดูนะ มันไม่มีนิวรณ์มันก็เห็นชัดเจน ดื่มด่ำกำซาบ (แปลว่าอะไรก็ไม่รู้)
ถ้าคุณรู้สึกเฉยๆ นี่ก็เป็นเวทนานะ
ถ้าอารมณ์ใจเป็นสุขจากฌานสมาบัติ นี่ก็เป็นเวทนา มีของให้เราได้พิจารณาตลอด
ไอ้กายนี่มันมีแต่ทุกข์ เต็มไปด้วยทุกข์ ไม่ต้องงมอะไรมาก ไม่ต้องตั้งท่ามันก็ทุกข์แล้ว
นั่งพิมพ์อยู่นี่ก็เมื่อยมือจะแย่ เป็นเวทนานะ ทำไงได้ละ ก็ขันธ์ ๕ นี่หว่า ก็ปล่อยมันไป
แต่จะพิจารณาเวทนายังไง เวทนาอีท่าไหนนี่ก็...
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสท้ายทุกบรรพนั่นแหละ หาอ่านไม่ยากจริงมั้ย
ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ คือทุกข์ เราปฏิบัติเพื่อคลายอุปาทาน วันละนิดวันละหน่อยวันละน้อย
น้ำหยดติ๋งๆ สักวันหินมันยังกร่อน แต่ถ้าหยดลงโอ่ง สักวันมันก็จะเต็ม
ใครไปแยกเจริญสติ เจริญสมาธิ ก็.... ของมันใช้ร่วมกัน ไปแยกทำไม เดินทางสายเดียวสิ
รวมเอามาไว้ที่จุดๆเดียว รวมไว้ที่ไหนน้า... ไม่รู้ละ รวมให้ได้ก็แล้วกัน
สติปัฏฐาน ๔ ไม่สามารถถูกแยกออกมาจากการปฏิบัติอะไรๆได้เลย
ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากอะไร สุดท้ายแล้วก็ต้องพิจารณาขันธ์ ๕ ใช่มั้ยล่ะ กลับไปหาธัมมานุสสติปัฏฐานอีกแล้ว
รวมความแล้ว เวทนานี่ มันมีตลอดเวลา สุข ทุกข์ เฉยๆ
ตื่นตอนเช้าก็มีแล้ว เรารู้ตัวบ้างมั้ยละ
ยังไม่ทันลืมตาตื่นก็.... นอนนี่สุขจริงหนอ... นอนพิจารณาต่อจนหลับไปอีกรอบสบายไปเลย
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไม่ไหวๆ ปวดฉี่ๆ ปวดหนอๆๆ ก็ต้องลุกไปห้องน้ำกันล่ะ ตื่นก็ได้วะ
อย่าพิเรณทร์นักนะครับ ไม่ต้องไปเอาปลายมีดมาค่อยๆ กดท้องตัวเองลงไป จนมันแทงลงไปทีละเล็กละน้อย
เจ็บหนอๆ แทงเข้าแล้วหนอ เจ็บหนอๆ เข้าไปเยอะแล้วหนอ เจ็บหนอๆ มิดด้ามหนอๆ เจ็บโว้ยๆๆ
อย่างนี้ไม่เป็นเรื่อง ไม่เข้าท่านะครับ เป็นการทรมานตัวเองโดยเปล่าประโยชน์
ปวดขี้หนอ... ก็ต้องไปขี้นะ แล้วไปดูขันธ์ ๕ ต่อในส้วม
นั่งเจริญกรรมฐาน ทุกคนก็ต้องเคยเจ็บปวดอะไรกันมั่งเป็นธรรมดา
เรื่องของขันธ์ ๕ นี่เรากำหนดอะไรไม่ได้มากนะ....
จะเล่าอะไรก็ลืมไปแล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่เราไว้ใจมันไม่ได้เลยนะ อิอิ
ผมไม่รู้คุณคิดยังไงนะ แต่ตอนที่ผมได้รับการฝึก
นั่งไปนานๆมันก็เมื่อย ก็ปวด ก็เจ็บ
เขาบอกว่าให้พิจารณาการปวดหนอ... เจ็บหนอ
(ถ้าปวดขี้ ก็ปวดขี้หนอ แล้วรีบลุกไปขี้ซะ)
อ้อ... มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
วิปัสสนากันแบบเบาๆ
(ระหว่างนี้ เสียงหนอ หิวหนอ ง่วงหนอ อย่าไปสนใจมันนะ ถ้าสนใจจะเจ๋อมาก ไร้สติ)
จริงๆแล้ว มันก็เป็นเวทนานุสสติปัฏฐานธรรมดาสามัญประจำบ้านนะ
แต่...
เคยคิดบ้างมั้ยว่า มันไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดเราก็พิจารณาได้นี่หว่า
ลมพัดเย็นสบาย สุขหนอๆ ก็ได้ เวทนาเหมือนกันนะเว้ย
มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ได้เหมือนกัน พิจารณาตัดสุขไปเลย สบายใจไป
ไอ้ทุกขเวทนา เราไม่อยากติดอยู่แล้ว ใครจะไปอยากติดใช่มั้ย
แต่สุขเวทนานี่เราอาจจะติดมันก็ได้ ไม่อาจจะ... ละ ติดอยู่แล้ว กามสุขัลลิกานุโยคนี่เป็นปกติวิสัย
อย่างผมก็... จะเรียกยังไงดี ไอ้เรื่องไปทำตัวเองให้ทรมานเพื่อพิจารณาเวทนา
ต้องจ้างนะ จ้างสักสองสามล้าน ก็จะทำให้ เอาเงินมาไปสร้างสำนักทรงเจ้าของผม
แต่ถ้าอยู่ๆมาให้ทำ ไม่ทำหรอกครับ
ไม่ใช่วิสัย จะทำไปทำไม ปกติมันก็มีทุกข์ของมันอยู่แล้ว หิวทุกวัน ปวดขี้ทุกวัน
เรื่องทางกายนี่ มันทุกข์เป็นปกติอยู่แล้ว
พอดีอ่านงานการตรัสรู้ของพระสารีบุตรแล้วน่าสนใจ ท่านเล่นสุขเวทนาในสมาบัติ
แหม... สุขาปฏิปทาแบบนี้ เข้าทางสิครับ เพราะเรามันพวกสุขนิยม
ปฏิบัติไปมีความสุขไป ปุ๋ยๆๆ ฉ่ำเยิ้มมมมมม
อะไรนะ... ระวังติดฌาน
จากประสบการณ์ของผมนะ ผมติดฌานอยู่วันเดียวครับ (ตอนนั้นไม่รู้จักฌานเฌินอะไรหรอก)
พอได้แล้วอีกวันก็อยากทำใหม่ แหม.. มันก็ไม่ได้สิ อยากมากๆมันก็ไม่ได้
นั่งมันก็เมื่อย ก็เลยนอนเล่น นอนคิดว่า เอ... ถ้าเราอยากกินข้าว
แล้วไม่หุงข้าว นั่งนึกอยากกินเฉยๆ เราก็คงไม่ได้กิน
เราก็ต้องตั้งใจก่อไฟ หุงข้าวสินะ
ความสุขจากสมาธินี่ ถ้าเราอยากได้ เราก็ตั้งใจเจริญสมาธิสิ ไหนๆ
ตอนที่เราทำได้เราทำยังไงนะ ก็นั่งทบทวนแล้วก็เอาใหม่
ตอนนั้นโง่ๆอย่างผมยังคิดได้ ผมว่าไม่ควรมีใครในโลกนี้กลัวติดฌานแล้วละ
มันแก้ง่ายอย่างกับตั้งกระทู้ในพันทิป...
หือม... ตั้งกระทู้ยากกว่าเหรอ ก็จริงนะ
ผมว่า กลัวติดฌานนี่ มันก็จะบ้าๆบอๆไปเสียมากกว่า กลัวดี นี่คงไม่เจอดี อีกหน่อยก็กลัวนิพพานกันละมั้ง
หรือว่า กลัวศีล กลัวมีศีล... มีศีลเดี๋ยวติดศีล ไม่มีดีกว่า เอางั้นรึ...?
ผมว่ากลัวจะไม่ติดฌานนี่สิ... สำคัญกว่า คือ เอาจิตไปติดกับอารมณ์ฌานไว้เสมอ
จิตเป็นฌาน เอาใจมีสมาธิมีอารมณ์สงบสุข นี่สำคัญนะ ทำให้ได้ตลอดเวลาก็จบเรื่อง
จิตเป็นเอกคตารมณ์ไว้เสมอ ตั้งเฉพาะไว้ที่พระนิพพาน พูดง่ายแต่ทำยาก
แต่ก็ต้องทำจริงมั้ย เพราะเรามันบ้ามาเดินสายนี้แล้วนี่
ไปสายนรก สายเปรต อสูรกาย นี่มันไม่ต้องทำอะไร ปล่อยใจไปเลย
ตามดูกิเลส ดูไปดูมาก็ผิดศีล ๕ ไปแล้ว สบายไป
พอใจสงบ มันก็พิจารณาง่ายใช่มั้ยละ เพราะอารมณ์ฟุ้งไม่มี
เวทนาทางกายมันมีเป็นประจำอยู่แล้ว เราก็ไม่ดิ้นรน พิจารณาไปเพลินๆ
เวทนาทางใจก็มีอีก ก็พิจารณาไปอีกนั่นแหละ
ไอ้ดูเฉยๆ ดูซื่อๆนี่มันต้องใช้อารมณ์สมาธิดูนะ มันไม่มีนิวรณ์มันก็เห็นชัดเจน ดื่มด่ำกำซาบ (แปลว่าอะไรก็ไม่รู้)
ถ้าคุณรู้สึกเฉยๆ นี่ก็เป็นเวทนานะ
ถ้าอารมณ์ใจเป็นสุขจากฌานสมาบัติ นี่ก็เป็นเวทนา มีของให้เราได้พิจารณาตลอด
ไอ้กายนี่มันมีแต่ทุกข์ เต็มไปด้วยทุกข์ ไม่ต้องงมอะไรมาก ไม่ต้องตั้งท่ามันก็ทุกข์แล้ว
นั่งพิมพ์อยู่นี่ก็เมื่อยมือจะแย่ เป็นเวทนานะ ทำไงได้ละ ก็ขันธ์ ๕ นี่หว่า ก็ปล่อยมันไป
แต่จะพิจารณาเวทนายังไง เวทนาอีท่าไหนนี่ก็...
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสท้ายทุกบรรพนั่นแหละ หาอ่านไม่ยากจริงมั้ย
ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ คือทุกข์ เราปฏิบัติเพื่อคลายอุปาทาน วันละนิดวันละหน่อยวันละน้อย
น้ำหยดติ๋งๆ สักวันหินมันยังกร่อน แต่ถ้าหยดลงโอ่ง สักวันมันก็จะเต็ม
ใครไปแยกเจริญสติ เจริญสมาธิ ก็.... ของมันใช้ร่วมกัน ไปแยกทำไม เดินทางสายเดียวสิ
รวมเอามาไว้ที่จุดๆเดียว รวมไว้ที่ไหนน้า... ไม่รู้ละ รวมให้ได้ก็แล้วกัน
สติปัฏฐาน ๔ ไม่สามารถถูกแยกออกมาจากการปฏิบัติอะไรๆได้เลย
ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากอะไร สุดท้ายแล้วก็ต้องพิจารณาขันธ์ ๕ ใช่มั้ยล่ะ กลับไปหาธัมมานุสสติปัฏฐานอีกแล้ว
รวมความแล้ว เวทนานี่ มันมีตลอดเวลา สุข ทุกข์ เฉยๆ
ตื่นตอนเช้าก็มีแล้ว เรารู้ตัวบ้างมั้ยละ
ยังไม่ทันลืมตาตื่นก็.... นอนนี่สุขจริงหนอ... นอนพิจารณาต่อจนหลับไปอีกรอบสบายไปเลย
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไม่ไหวๆ ปวดฉี่ๆ ปวดหนอๆๆ ก็ต้องลุกไปห้องน้ำกันล่ะ ตื่นก็ได้วะ
อย่าพิเรณทร์นักนะครับ ไม่ต้องไปเอาปลายมีดมาค่อยๆ กดท้องตัวเองลงไป จนมันแทงลงไปทีละเล็กละน้อย
เจ็บหนอๆ แทงเข้าแล้วหนอ เจ็บหนอๆ เข้าไปเยอะแล้วหนอ เจ็บหนอๆ มิดด้ามหนอๆ เจ็บโว้ยๆๆ
อย่างนี้ไม่เป็นเรื่อง ไม่เข้าท่านะครับ เป็นการทรมานตัวเองโดยเปล่าประโยชน์