มะลิลา
ผู้กำกับ : อนุชา บุญยวรรธนะ
** มีการสปอยเนื้อหาของเรื่องจากการตีความ (โดยส่วนตัว) นะครับ **
เมื่อปีที่ผ่านมามีเรื่องน่าภูมิใจเกี่ยวกับหนังไทยอยู่เรื่องหนึ่ง คือการที่ภาพยนตร์ไทยไปคว้ารางวัลที่เทศการภาพยนตร์ที่ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งสร้างความแปลกใจปนสงสัยกับตัวเรามากว่าไม่ค่อยจะได้ข่าว หรือคุ้นหูภาพยนตร์เรื่องนี้เลย(แต่ก็ตามข่าวน้อยด้วยแหละ) จนวันนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้เข้าโรงมาฉายที่บ้านเกิดซะที
มะลิลา หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Malila The Farewell Flower เล่าเรื่องของ เชน(ศุกลวัฒน์ คณารศ) เจ้าของสวนมะลิ และชายหนุ่มผู้มีอดีตเกี่ยวข้องกับ พิช(อนุชิต สพันธุ์พงษ์) ชายหนุ่มที่ชื่นชอบการทำบายสี และกำลังเผชิญกับโรคร้ายที่กำลังค่อยๆ คร่าชีวิตเค้าไป วันหนึ่งทั้งสองได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากที่ต่างก็ได้สร้างความทรงจำที่แสนเลวร้ายต่อกันไว้ โดยมีเรื่องราวของบายศรีเป็นเหมือนดั่งตัวเชื่อมและค่อยๆ สร้างความเข้าใจให้ทั้งสองคนทีละน้อย แต่แล้วเรื่องราวความรัก ความเจ็บปวดในอดีต จะลงท้ายเช่นไร ต้องติดตามใน มะลิลา เท่านั้นครับ
หลังจากที่ดูหนังจบลง ก็ได้แต่คิดว่าสมแล้วที่หนังเรื่องนี้ไปคว้ารางวัลมา เพราะสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้ทันทีหลังจากดูจบ และนับเป็นความสำเร็จของหนังเรื่องนี้มากๆ คือเราสลัดเรื่องราวของหนังเรื่องนี้ออกจากหัวไม่ได้เลย มันคิด มันวนเวียนอยู่ตลอด(แม้ตอนที่กำลังเขียนนี้)
ทั้งเรื่องความงดงามของหนังทั้งในเรื่องเนื้อหาที่นำเสนอ รวมถึงงานภาพ ที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้สวยมากจริงๆ แม้ว่ากว่า 80% ของหนังเรื่องนี้จะมี Location เป็นป่า แต่แสงเงาที่หนังเรื่องนี้นำเสนอออกมารวมถึงภาพในแต่ละ Scene มันช่างงดงามและมีความหมายเป็นอย่างมาก การวาง Object หรือสิ่งของต่างๆ เข้ามาในเฟรมมันดูลงตัวไม่ขัดเลย คือแค่ฉากตอนยกบายศรีไปลอยก็แบบ โห สวยจังว่ะ และอีกจุดหนึ่งคือการเล่นกับเรื่องเสียง และ เพลง คือเพลงที่ใส่มามันดูเข้ากับบรรยากาศหนังมาก มันเพราะและเนียนมาก แต่ที่ชอบมากๆ คือการใส่เสียงต่างๆ เข้ามา เสียงแมลงวันที่บางครั้งก็ดูดังผิดปกติ หรือแม้แต่เสียงบรรยากาศรอบข้างที่มันช่างเสริมและเร้าอารมณ์ฉากต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คือดูจบละแบบยอมรับฝีมือ ผู้กำกับคนนี้มาก
หรือแม้แต่ฝีไม้ลายมือของนักแสดงนำ ที่ทำให้เรารู้สึกประหลาดใจ และชื่นชมฝีมือในการแสดงมากๆ คือเห้ยทำไมเล่นกันดีขนาดนี้ เราชอบการแสดงออกของ โอ อนุชิตในเรื่องนี้มาก จริตการพูดจา การวางตัว สายตา (วูบนึงเรานึกถึงเลสลี่ จาง ตอนเล่นเรื่อง Farewell My Concubine มาก) และยิ่งลงตัวมากเมื่อต้องเข้าฉากคู่กับ เวียร์ ศุกลวัฒน์ ที่เรื่องนี้คือแบบกูมาโชว์ของเลย ใส่หมด และผลที่ออกมาก็ต้องบอกว่า ยอดเยี่ยม มากๆ คือเวียร์เล่นถึงทุกฉากเลย ไม่ว่าจะ Scene อารมณ์ , Scene ร่วมรัก (ที่บอกได้เลยว่าทำดีมากคือมันเป็นธรรมชาติมากๆ ดูไม่ประดิษฐ์หรือดูว่าพยายามทำออกมาเลย) หรือแม้แต่การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ทางสีหน้าท่าทาง คือเก็บหมดเกลี้ยงเลย
ส่วนเรื่องเนื้อหา ต้องถือว่าสุดยอดนะสำหรับเรา นอกเหนือจากความรู้สึกที่ค้างคาติดตัวมา หนังยังเปิดโอกาสให้เราได้ตีความ ตามความรู้ ความเชื่อ และกรอบของความคิดแต่ละคนอย่างอิสระมาก การที่หนังมีเส้นเรื่องหลักคือความรัก การจากลา หรือแม้แต่การยึดติดอยู่กับอดีตที่ผ่านมา โดยผ่านความเชื่อของชาวบ้านกับเรื่องบายศรี ที่มีหน้าที่ในการรวบรวมขวัญ และ กำลังใจ ที่อาจจะหลุดหายไปจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ในการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งหนังได้ถ่ายทอดประเด็นนี้อย่างสวยงามและมีชั้นเชิง และทำให้คนดูอย่างเราเข้าใจถึงแก่น โดยใช้เพียงบทกลอนรำพันพิลาปของสุนทรภู่ เพียงสั้นๆ บทนี้
"เหมือนบายศรีมีงานท่านถนอม
เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทน์ให้หรรษา
พอเสร็จงานท่านเอาลงทิ้งคงคา
ต้องลอยไปลอยมาเหมือนใบตอง"
คือพออ่านตอนที่ขึ้นมาตอนเปิดเรื่องก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอดูจบแล้วมาคิดแล้วหาอ่านอีกรอบ นี่คือ เห้ยยย นี่มันโคตรสัจธรรมมากๆ มันสะท้อนภาพ ความเกิด แก่ สวยงาม เสื่อมสภาพ หมดค่า และกลับสู่จุดเริ่มต้น ได้อย่างจริงๆ และงดงามเป็นที่สุดเลย
เพราะเมื่อหนังเรื่องนี้ได้เล่าตั้งแต่จุดเริ่มที่ทั้งสองกลับมาเจอกัน เข้าใจกัน มีช่วงเวลาที่สวยงาม พลัดพราก และทำให้ชีวิตของเชนต้องติดค้างจมอยู่กับความทุกข์ระทม ซึ่งแม้แต่การหันหน้าเข้าหาศาสนา(แบบ Extreme) ก็ไม่อาจช่วยเค้าได้ แต่พอหนังมาถึงฉากจบที่เชนถอดจีวรและเครื่องนุ่งห่มต่างๆ ออก แล้วเดินไปแช่น้ำในลำธารที่ไหล…….และนั่นทำให้เราอุทานในใจแบบ โหยยยยย สุดยอดดด
เพราะมันเป็นการซ้อนภาพของบายศรี ที่ต้องนำมาลอยน้ำเมื่อจบพิธี เราไม่สามารถเก็บบายศรีนั้นไว้ได้ แม่ว่ามันจะงดงามและทำยากแค่ไหน สุดท้ายเราก็ต้องนำมันไปลอยน้ำเฉกเช่นเดียวกับ เรื่องราวต่างๆ ในอดีต หรือปัจจุบันที่เข้ามาในชีวิตเรา เราจะไม่สามารถเรียกขวัญกลับมาได้ หรือ เริ่มต้นใหม่ได้ หากเรายังยึงติดกับสิ่งที่มันล่วงผ่านมาแล้ว…สุดยอดจริงๆ
และหนังยังมีสอดแทรกอีก 1 ประเด็นที่เราชอบมากๆ คือในส่วนของ พระที่ออกธุดงค์กับเชน ที่ดูแก่พรรษาและเลือกวิธีปฎิบัติอย่างแน่วแน่แข็งขัน เลือกวิธีปฎิบัติที่ดูยากและท้าทายตลอด และเมื่อหนังพาไปสู่จุดเปลี่ยนของพระองค์นี้ และมันกลับทำให้ทุกอย่างมันพังทลายลงมา อย่างไม่เหลือ สะท้อนเป็นฉากที่ยืนร้องไห้ ให้กับศพที่ก่อนหน้านั้นยังสามารถพินิจได้อย่างมีสติ คือแบบมัน Impact มาก สำหรับเรา ใน Scene นี้
ทั้งหมดที่เล่ามา เหมือนว่าจะเยอะ แต่ต้องบอกเลยว่ายังไม่ได้เสี้ยวที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ และแสดงออกมา เพราะหลายๆ ส่วนในเรื่องนี้เมื่อได้ดูแล้ว ก็ไม่สามารถเล่าหรือถ่ายทอดออกมาได้ไม่ว่าจะด้วยตัวหนังสือ หรือ วิธีใด เพราะมันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ แต่รับรู้และสัมผัสได้ถึงมัน
แนะนำมากๆ ครับ หนังดีดูได้ไม่จำกัดเพศ หรือกรอบความเชื่อใดๆ ครับ
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/
[CR] มะลิลา #คุปต้าซีเนม่า ** มีสปอยเนื้อเรื่องจากการตีความ **
ผู้กำกับ : อนุชา บุญยวรรธนะ
** มีการสปอยเนื้อหาของเรื่องจากการตีความ (โดยส่วนตัว) นะครับ **
เมื่อปีที่ผ่านมามีเรื่องน่าภูมิใจเกี่ยวกับหนังไทยอยู่เรื่องหนึ่ง คือการที่ภาพยนตร์ไทยไปคว้ารางวัลที่เทศการภาพยนตร์ที่ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งสร้างความแปลกใจปนสงสัยกับตัวเรามากว่าไม่ค่อยจะได้ข่าว หรือคุ้นหูภาพยนตร์เรื่องนี้เลย(แต่ก็ตามข่าวน้อยด้วยแหละ) จนวันนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้เข้าโรงมาฉายที่บ้านเกิดซะที
มะลิลา หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Malila The Farewell Flower เล่าเรื่องของ เชน(ศุกลวัฒน์ คณารศ) เจ้าของสวนมะลิ และชายหนุ่มผู้มีอดีตเกี่ยวข้องกับ พิช(อนุชิต สพันธุ์พงษ์) ชายหนุ่มที่ชื่นชอบการทำบายสี และกำลังเผชิญกับโรคร้ายที่กำลังค่อยๆ คร่าชีวิตเค้าไป วันหนึ่งทั้งสองได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากที่ต่างก็ได้สร้างความทรงจำที่แสนเลวร้ายต่อกันไว้ โดยมีเรื่องราวของบายศรีเป็นเหมือนดั่งตัวเชื่อมและค่อยๆ สร้างความเข้าใจให้ทั้งสองคนทีละน้อย แต่แล้วเรื่องราวความรัก ความเจ็บปวดในอดีต จะลงท้ายเช่นไร ต้องติดตามใน มะลิลา เท่านั้นครับ
หลังจากที่ดูหนังจบลง ก็ได้แต่คิดว่าสมแล้วที่หนังเรื่องนี้ไปคว้ารางวัลมา เพราะสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้ทันทีหลังจากดูจบ และนับเป็นความสำเร็จของหนังเรื่องนี้มากๆ คือเราสลัดเรื่องราวของหนังเรื่องนี้ออกจากหัวไม่ได้เลย มันคิด มันวนเวียนอยู่ตลอด(แม้ตอนที่กำลังเขียนนี้)
ทั้งเรื่องความงดงามของหนังทั้งในเรื่องเนื้อหาที่นำเสนอ รวมถึงงานภาพ ที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้สวยมากจริงๆ แม้ว่ากว่า 80% ของหนังเรื่องนี้จะมี Location เป็นป่า แต่แสงเงาที่หนังเรื่องนี้นำเสนอออกมารวมถึงภาพในแต่ละ Scene มันช่างงดงามและมีความหมายเป็นอย่างมาก การวาง Object หรือสิ่งของต่างๆ เข้ามาในเฟรมมันดูลงตัวไม่ขัดเลย คือแค่ฉากตอนยกบายศรีไปลอยก็แบบ โห สวยจังว่ะ และอีกจุดหนึ่งคือการเล่นกับเรื่องเสียง และ เพลง คือเพลงที่ใส่มามันดูเข้ากับบรรยากาศหนังมาก มันเพราะและเนียนมาก แต่ที่ชอบมากๆ คือการใส่เสียงต่างๆ เข้ามา เสียงแมลงวันที่บางครั้งก็ดูดังผิดปกติ หรือแม้แต่เสียงบรรยากาศรอบข้างที่มันช่างเสริมและเร้าอารมณ์ฉากต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คือดูจบละแบบยอมรับฝีมือ ผู้กำกับคนนี้มาก
หรือแม้แต่ฝีไม้ลายมือของนักแสดงนำ ที่ทำให้เรารู้สึกประหลาดใจ และชื่นชมฝีมือในการแสดงมากๆ คือเห้ยทำไมเล่นกันดีขนาดนี้ เราชอบการแสดงออกของ โอ อนุชิตในเรื่องนี้มาก จริตการพูดจา การวางตัว สายตา (วูบนึงเรานึกถึงเลสลี่ จาง ตอนเล่นเรื่อง Farewell My Concubine มาก) และยิ่งลงตัวมากเมื่อต้องเข้าฉากคู่กับ เวียร์ ศุกลวัฒน์ ที่เรื่องนี้คือแบบกูมาโชว์ของเลย ใส่หมด และผลที่ออกมาก็ต้องบอกว่า ยอดเยี่ยม มากๆ คือเวียร์เล่นถึงทุกฉากเลย ไม่ว่าจะ Scene อารมณ์ , Scene ร่วมรัก (ที่บอกได้เลยว่าทำดีมากคือมันเป็นธรรมชาติมากๆ ดูไม่ประดิษฐ์หรือดูว่าพยายามทำออกมาเลย) หรือแม้แต่การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ทางสีหน้าท่าทาง คือเก็บหมดเกลี้ยงเลย
ส่วนเรื่องเนื้อหา ต้องถือว่าสุดยอดนะสำหรับเรา นอกเหนือจากความรู้สึกที่ค้างคาติดตัวมา หนังยังเปิดโอกาสให้เราได้ตีความ ตามความรู้ ความเชื่อ และกรอบของความคิดแต่ละคนอย่างอิสระมาก การที่หนังมีเส้นเรื่องหลักคือความรัก การจากลา หรือแม้แต่การยึดติดอยู่กับอดีตที่ผ่านมา โดยผ่านความเชื่อของชาวบ้านกับเรื่องบายศรี ที่มีหน้าที่ในการรวบรวมขวัญ และ กำลังใจ ที่อาจจะหลุดหายไปจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ในการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งหนังได้ถ่ายทอดประเด็นนี้อย่างสวยงามและมีชั้นเชิง และทำให้คนดูอย่างเราเข้าใจถึงแก่น โดยใช้เพียงบทกลอนรำพันพิลาปของสุนทรภู่ เพียงสั้นๆ บทนี้
"เหมือนบายศรีมีงานท่านถนอม
เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทน์ให้หรรษา
พอเสร็จงานท่านเอาลงทิ้งคงคา
ต้องลอยไปลอยมาเหมือนใบตอง"
คือพออ่านตอนที่ขึ้นมาตอนเปิดเรื่องก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอดูจบแล้วมาคิดแล้วหาอ่านอีกรอบ นี่คือ เห้ยยย นี่มันโคตรสัจธรรมมากๆ มันสะท้อนภาพ ความเกิด แก่ สวยงาม เสื่อมสภาพ หมดค่า และกลับสู่จุดเริ่มต้น ได้อย่างจริงๆ และงดงามเป็นที่สุดเลย
เพราะเมื่อหนังเรื่องนี้ได้เล่าตั้งแต่จุดเริ่มที่ทั้งสองกลับมาเจอกัน เข้าใจกัน มีช่วงเวลาที่สวยงาม พลัดพราก และทำให้ชีวิตของเชนต้องติดค้างจมอยู่กับความทุกข์ระทม ซึ่งแม้แต่การหันหน้าเข้าหาศาสนา(แบบ Extreme) ก็ไม่อาจช่วยเค้าได้ แต่พอหนังมาถึงฉากจบที่เชนถอดจีวรและเครื่องนุ่งห่มต่างๆ ออก แล้วเดินไปแช่น้ำในลำธารที่ไหล…….และนั่นทำให้เราอุทานในใจแบบ โหยยยยย สุดยอดดด
เพราะมันเป็นการซ้อนภาพของบายศรี ที่ต้องนำมาลอยน้ำเมื่อจบพิธี เราไม่สามารถเก็บบายศรีนั้นไว้ได้ แม่ว่ามันจะงดงามและทำยากแค่ไหน สุดท้ายเราก็ต้องนำมันไปลอยน้ำเฉกเช่นเดียวกับ เรื่องราวต่างๆ ในอดีต หรือปัจจุบันที่เข้ามาในชีวิตเรา เราจะไม่สามารถเรียกขวัญกลับมาได้ หรือ เริ่มต้นใหม่ได้ หากเรายังยึงติดกับสิ่งที่มันล่วงผ่านมาแล้ว…สุดยอดจริงๆ
และหนังยังมีสอดแทรกอีก 1 ประเด็นที่เราชอบมากๆ คือในส่วนของ พระที่ออกธุดงค์กับเชน ที่ดูแก่พรรษาและเลือกวิธีปฎิบัติอย่างแน่วแน่แข็งขัน เลือกวิธีปฎิบัติที่ดูยากและท้าทายตลอด และเมื่อหนังพาไปสู่จุดเปลี่ยนของพระองค์นี้ และมันกลับทำให้ทุกอย่างมันพังทลายลงมา อย่างไม่เหลือ สะท้อนเป็นฉากที่ยืนร้องไห้ ให้กับศพที่ก่อนหน้านั้นยังสามารถพินิจได้อย่างมีสติ คือแบบมัน Impact มาก สำหรับเรา ใน Scene นี้
ทั้งหมดที่เล่ามา เหมือนว่าจะเยอะ แต่ต้องบอกเลยว่ายังไม่ได้เสี้ยวที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ และแสดงออกมา เพราะหลายๆ ส่วนในเรื่องนี้เมื่อได้ดูแล้ว ก็ไม่สามารถเล่าหรือถ่ายทอดออกมาได้ไม่ว่าจะด้วยตัวหนังสือ หรือ วิธีใด เพราะมันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ แต่รับรู้และสัมผัสได้ถึงมัน
แนะนำมากๆ ครับ หนังดีดูได้ไม่จำกัดเพศ หรือกรอบความเชื่อใดๆ ครับ
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/