Phantom Thread
Director : Paul Thomas Anderson
เชื่อว่าคนที่ชอบดูหนังหลายๆ คนจะต้องมี ผู้กำกับ ในดวงใจ ที่ไม่ว่าหนังเรื่องไหนของเค้าก็จะทำให้เราชอบไปได้ซะทุกเรื่อง และไม่เคยผิดหวังเลย สำหรับเราก็แน่นอนว่าต้องเป็น หว่อง กา ไว แต่ที่ตามมาติดๆ ในอันดับสองก็คือ Paul Thomas Anderson คนนี้แหละ และครั้งนี้ P.T. Anderson กลับมากับผลงานที่ทำให้เรารู้สึกชื่นชอบมากขึ้นไปอีก
Phantom Thread เล่าเรื่องของ Reynolds Woodcock (Daniel Day-Lewis) ช่างตัดชุดชื่อดัง ยอดฝีมือในกรุงลอนดอน ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสนิยม และความใส่ใจในรายละเอียดอย่างสูงสุด โดยมี Cyril Woodcock (Lesley Manville) ที่เป็นแทบจะทุกอย่างในชีวิตเค้า ทั้งพี่สาว ที่ปรึกษา ผู้บริหารธุรกิจ และมีความเข้าอกเข้าใจความเป็นตัวตนของเค้ามากที่สุด วันนึงหลังจากความเหนื่อยยากในการทำผลงานใหม่จนสำเร็จ Reynolds ได้เดินทางไปยังต่างจังหวัดเพื่อพักผ่อน และนั่นเองทำให้เค้าพบกับ Alma (Vicky Krieps) และตกหลุกรักในครั้งแรกที่พบ ต่อมา Alma ได้ย้ายมาอยู่ที่ลอนดอนร่วมกันกับ Reynolds โดยเป็นทั้งคนรัก และนางแบบ ให้กับเค้า และการก้าวเข้ามาครั้งนี้เอง ทำให้ชีวิตของ Reynolds ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จนนำไปสู่จุดพลิกผันที่สุดแสนจะประหลาดในความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ต่อไป
ความรู้สึกระหว่างดู และหลังดูจบ คงพูดได้แค่ว่ามันช่างงดงามอะไรแบบนี้ เราชื่นชอบทุกๆ นาทีในหนังเรื่องนี้จริงๆ หากภาพยนตร์คือการรวมเอาศาสตร์และศิลป์ของหลายๆ แขนงมารวมกัน หนังเรื่องนี้คงเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ในการใช้ทุกอย่างเข้ามารวมกันและกลั่นออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้
หนังเรื่องนี้มีกระแสโด่งดังขึ้นมาครั้งแรกจากข่าวที่ยอดฝีมืออย่าง Daniel Day-Lewis ออกมาประกาศว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายของเค้า ซึ่งสร้างความประหลาดใจและเสียดายที่จะไม่ได้เห็นผลงานของเค้าอีก และแน่นอนว่าทุกคนจะต้องตั้งความหวังเอาไว้สูงมาก กับการแสดงครั้งนี้ ซึ่งเราก็เช่นกัน และผลที่มันออกมาก็กลับมาเตือนสติคนที่คาดหวังอย่างเราว่า เพดานความหวังของคนเรามันไม่เท่ากันจริงๆ เพราะ Daniel Day-Lewis ในเรื่องนี้มันไปไกลกว่าสิ่งที่เรารู้จัก หรือเข้าใจอย่างมากเลย ความลุ่มลึกที่แสดงออกมา สีหน้าท่าทาง คือเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเค้าคิดอะไรอยู่ หรือเป็นคนแบบไหน มันเหมือนว่าเราไม่สามารถสื่อสารหรือคุยกับคนแบบนี้ได้เลย คือเห้ยมันต้องตีความและเข้าใจตัวละคร แถมยังต้องหมกมุ่นขนาดไหน ในการที่จะถ่ายทอดตัวละครอย่าง Reynolds ออกมาได้แบบนี้ และนี่ก็คงเป็นอีกบทที่ต้องจารึกไว้ในฝีมือการแสดงอันทรงพลังของเค้า
ต้องยอมรับว่าเราไม่เคยรู้จักนางเอกคนนี้มาก่อนเลย ครั้งแรกรู้สึกว่าไม่สวยเลย แต่ทำไมกันนะ เมื่อดูไปเรื่องๆ ผญ คนนี้กลับสวยงามมาก สวยแบบดูดี งดงาม ยิ่งเวลาใส่ชุดที่แสนงดงามเข้าไป กลับกลายเป็นคนละคนเลย สวยมากๆ
และจุดนี้ที่ทำให้เราอ๋อทันทีกับรางวัล Oscar ที่หนังเรื่องนี้ได้ Best Achievement in Costume Design คือมันไม่ใช่แค่สวย เราว่า Costume สวยๆ ใครก็สามารถทำได้ แต่พลังของ Costume เรื่องนี้คือมันส่งเสริมหนัง มันเป็นอีกมือที่อุ้มหนังเรื่องนี้เอาไว้ เห็นได้จากการที่นางเอกหลังจากสวมใส่แล้วเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คือชุดมันส่งเสริมบทและตัวละครจริงๆ แล้วอีกมือที่ช่วยอุ้มไวคงหนีไม่พ้นเพลงประกอบของ Jonny Greenwood ที่ช่วงสร้างบรรยากาศทั้งงดงาม ตึงเครียด ไม่น่าไว้วางใจ หรือสงบ ได้อย่างไพเราะและลงตัวกับหนังจริงๆ
ในด้านงานภาพ นี่เป็นหนังอีกเรื่องนึงที่ทำให้เรารู้สึกว่า หนังที่ถ่ายทำด้วยกล้อง Film นี่ มันช่างสวยงามเอาซะมากๆ เลยนะ และยิ่งมาเจอแสงเงาและการคุมโทนที่สวยเอามากๆ ของหนังเรื่องนี้ทำให้ทุกฉาก (ย้ำว่าทุกฉาก) ของเรื่องนี้ดูสวยงาม ละมุน และมีความหมายเอามากๆ เลย คือมันเหมือนสิ่งที่เราเห็นทั้งหมดนี้มันอยู่ในภวังค์ ความฝัน และเมื่อประกอบด้วยมุมกล้องที่ ผกก. จงใจให้เราเป็นเพียงผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ และรู้สึกไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งมุมกล้องข้ามไหล่ที่ทำให้เรารู้สึกติดตามและตื่นเต้น หรือแม้แต่การถือกล้องเดินตามของหนังเรื่องนี้ ก็ทำได้อย่างงดงามและมีอารมณ์ร่วมเป็นอย่างมากจริงๆ
และเมื่อมาพบกับการเล่าเรื่องที่โคตรจะลุ่มลึก ก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีความพิเศษเป็นอย่างมาก เราชอบการนำเสนอตัวละครหลักทั้ง 3 คน และชอบวิธีการนำเสนอมาก คือหนังสามารถเอาฉากร่วมโต๊ะอาหารเช้ามาสะท้อนตัวตนและความเกี่ยวพันของตัวละครทั้ง 3 เอาไว้ได้หมดและสร้างความเข้าใจในตัวละครให้กับคนดูได้เป็นอย่างดีเลย
ความเป็น Perfectionist ของ Reynolds ที่สะท้อนออกมาจากผลงานต่างๆ ที่เค้าทำขึ้น จนถึงการนำเสนอชีวิตประจำวันที่เป็นแบบแผน และตัวตนของเค้าที่เหมือนจะต้องการคนเข้ามา แต่กลับมีระยะห่างหรือกรอบที่มีขนาดที่ใหญ่และไม่อาจเข้าใจได้เมื่อมองจากมุมปกติ แต่เมื่อได้มาพบกับ Alma ก็ทำให้เกิดความปรารถนาในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นในรูปแบบที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ในครั้งแรก โดยแฝงความรักและความต้องการในเพศหญิง ซึ่งเป็นปมปัญหาของเค้า (สะท้อนภาพพี่สาวและแม่)
หนังยังสะท้อนภาพความสัมพันธ์ที่นำเสนอด้านตัวตน คือทั้งสองตัวละครนำมี "ตัวตน" ที่แข็งแรงมาก มากเกินกว่าจะปรับเข้าหากันในชีวิตคู่ แต่กลับมีความปรารถนาต่อกันและกันมากมายด้วย ซึ่งหนังได้พยายามนำเสนอมุมมองความสับสนต่อภาวะนี้ของตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเมื่อมาถึงจุดลงท้ายของหนัง บทสรุปความสัมพันธ์ก็กลับทำให้เราช็อค แต่กลับเข้าใจตัวละครได้เป็นอย่างดีเลย โดยเฉพาะตัว Reynolds ที่ค่อยๆ พังทลายลง ตรงนี้ืทำได้โคตรดีเลย รู้สึกจริงและมีอารมณ์ร่วมมากๆ
โดยเรื่องราวทั้งหมดถูกร้อยเรียงและเล่าโดยไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความเป็น Drama มากมาย หนังค่อยๆ เล่าแบบละมุนละไม ซึ่งหากเปรียบไปหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นดังผลงานหรือชุดของ Reynolds ที่เต็มไปด้วยความงดงาม วิจิตร ตั้งใจ แฝงความหมาย และมีรสนิยม แต่กลับเข้าถึงได้ไม่ยาก แต่กลับลุ่มลึกชวนค้นหา ที่ทำให้คนดูอย่างเราค่อยๆ เข้าใจและรู้สึกไปกับมัน แค่นั้นจริงๆ
และเป็นอีกเรื่องที่เราชื่นชอบการตั้งชื่อไทยของหนังเรื่องนี้จริงๆ หากดูแล้วจะเข้าใจว่ามันมีความหมายแบบนั้นจริงๆ เส้นด้ายลวงตา
แนะนำมากๆ ครับ หนังดีๆ แบบนี้แอบเสียดายเหมือนกันที่เข้าโรงและรอบค่อนข้างน้อย แต่ตอนนี้ยังพอมีให้ดูได้ที่ Lido House RCA SF และ Major ไปดูกันเถอะครับ...จากใจเลย
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/
[CR] Phantom Thread #คุปต้าซีเนม่า
Director : Paul Thomas Anderson
เชื่อว่าคนที่ชอบดูหนังหลายๆ คนจะต้องมี ผู้กำกับ ในดวงใจ ที่ไม่ว่าหนังเรื่องไหนของเค้าก็จะทำให้เราชอบไปได้ซะทุกเรื่อง และไม่เคยผิดหวังเลย สำหรับเราก็แน่นอนว่าต้องเป็น หว่อง กา ไว แต่ที่ตามมาติดๆ ในอันดับสองก็คือ Paul Thomas Anderson คนนี้แหละ และครั้งนี้ P.T. Anderson กลับมากับผลงานที่ทำให้เรารู้สึกชื่นชอบมากขึ้นไปอีก
Phantom Thread เล่าเรื่องของ Reynolds Woodcock (Daniel Day-Lewis) ช่างตัดชุดชื่อดัง ยอดฝีมือในกรุงลอนดอน ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสนิยม และความใส่ใจในรายละเอียดอย่างสูงสุด โดยมี Cyril Woodcock (Lesley Manville) ที่เป็นแทบจะทุกอย่างในชีวิตเค้า ทั้งพี่สาว ที่ปรึกษา ผู้บริหารธุรกิจ และมีความเข้าอกเข้าใจความเป็นตัวตนของเค้ามากที่สุด วันนึงหลังจากความเหนื่อยยากในการทำผลงานใหม่จนสำเร็จ Reynolds ได้เดินทางไปยังต่างจังหวัดเพื่อพักผ่อน และนั่นเองทำให้เค้าพบกับ Alma (Vicky Krieps) และตกหลุกรักในครั้งแรกที่พบ ต่อมา Alma ได้ย้ายมาอยู่ที่ลอนดอนร่วมกันกับ Reynolds โดยเป็นทั้งคนรัก และนางแบบ ให้กับเค้า และการก้าวเข้ามาครั้งนี้เอง ทำให้ชีวิตของ Reynolds ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จนนำไปสู่จุดพลิกผันที่สุดแสนจะประหลาดในความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ต่อไป
ความรู้สึกระหว่างดู และหลังดูจบ คงพูดได้แค่ว่ามันช่างงดงามอะไรแบบนี้ เราชื่นชอบทุกๆ นาทีในหนังเรื่องนี้จริงๆ หากภาพยนตร์คือการรวมเอาศาสตร์และศิลป์ของหลายๆ แขนงมารวมกัน หนังเรื่องนี้คงเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ในการใช้ทุกอย่างเข้ามารวมกันและกลั่นออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้
หนังเรื่องนี้มีกระแสโด่งดังขึ้นมาครั้งแรกจากข่าวที่ยอดฝีมืออย่าง Daniel Day-Lewis ออกมาประกาศว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายของเค้า ซึ่งสร้างความประหลาดใจและเสียดายที่จะไม่ได้เห็นผลงานของเค้าอีก และแน่นอนว่าทุกคนจะต้องตั้งความหวังเอาไว้สูงมาก กับการแสดงครั้งนี้ ซึ่งเราก็เช่นกัน และผลที่มันออกมาก็กลับมาเตือนสติคนที่คาดหวังอย่างเราว่า เพดานความหวังของคนเรามันไม่เท่ากันจริงๆ เพราะ Daniel Day-Lewis ในเรื่องนี้มันไปไกลกว่าสิ่งที่เรารู้จัก หรือเข้าใจอย่างมากเลย ความลุ่มลึกที่แสดงออกมา สีหน้าท่าทาง คือเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเค้าคิดอะไรอยู่ หรือเป็นคนแบบไหน มันเหมือนว่าเราไม่สามารถสื่อสารหรือคุยกับคนแบบนี้ได้เลย คือเห้ยมันต้องตีความและเข้าใจตัวละคร แถมยังต้องหมกมุ่นขนาดไหน ในการที่จะถ่ายทอดตัวละครอย่าง Reynolds ออกมาได้แบบนี้ และนี่ก็คงเป็นอีกบทที่ต้องจารึกไว้ในฝีมือการแสดงอันทรงพลังของเค้า
ต้องยอมรับว่าเราไม่เคยรู้จักนางเอกคนนี้มาก่อนเลย ครั้งแรกรู้สึกว่าไม่สวยเลย แต่ทำไมกันนะ เมื่อดูไปเรื่องๆ ผญ คนนี้กลับสวยงามมาก สวยแบบดูดี งดงาม ยิ่งเวลาใส่ชุดที่แสนงดงามเข้าไป กลับกลายเป็นคนละคนเลย สวยมากๆ
และจุดนี้ที่ทำให้เราอ๋อทันทีกับรางวัล Oscar ที่หนังเรื่องนี้ได้ Best Achievement in Costume Design คือมันไม่ใช่แค่สวย เราว่า Costume สวยๆ ใครก็สามารถทำได้ แต่พลังของ Costume เรื่องนี้คือมันส่งเสริมหนัง มันเป็นอีกมือที่อุ้มหนังเรื่องนี้เอาไว้ เห็นได้จากการที่นางเอกหลังจากสวมใส่แล้วเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คือชุดมันส่งเสริมบทและตัวละครจริงๆ แล้วอีกมือที่ช่วยอุ้มไวคงหนีไม่พ้นเพลงประกอบของ Jonny Greenwood ที่ช่วงสร้างบรรยากาศทั้งงดงาม ตึงเครียด ไม่น่าไว้วางใจ หรือสงบ ได้อย่างไพเราะและลงตัวกับหนังจริงๆ
ในด้านงานภาพ นี่เป็นหนังอีกเรื่องนึงที่ทำให้เรารู้สึกว่า หนังที่ถ่ายทำด้วยกล้อง Film นี่ มันช่างสวยงามเอาซะมากๆ เลยนะ และยิ่งมาเจอแสงเงาและการคุมโทนที่สวยเอามากๆ ของหนังเรื่องนี้ทำให้ทุกฉาก (ย้ำว่าทุกฉาก) ของเรื่องนี้ดูสวยงาม ละมุน และมีความหมายเอามากๆ เลย คือมันเหมือนสิ่งที่เราเห็นทั้งหมดนี้มันอยู่ในภวังค์ ความฝัน และเมื่อประกอบด้วยมุมกล้องที่ ผกก. จงใจให้เราเป็นเพียงผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ และรู้สึกไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งมุมกล้องข้ามไหล่ที่ทำให้เรารู้สึกติดตามและตื่นเต้น หรือแม้แต่การถือกล้องเดินตามของหนังเรื่องนี้ ก็ทำได้อย่างงดงามและมีอารมณ์ร่วมเป็นอย่างมากจริงๆ
และเมื่อมาพบกับการเล่าเรื่องที่โคตรจะลุ่มลึก ก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีความพิเศษเป็นอย่างมาก เราชอบการนำเสนอตัวละครหลักทั้ง 3 คน และชอบวิธีการนำเสนอมาก คือหนังสามารถเอาฉากร่วมโต๊ะอาหารเช้ามาสะท้อนตัวตนและความเกี่ยวพันของตัวละครทั้ง 3 เอาไว้ได้หมดและสร้างความเข้าใจในตัวละครให้กับคนดูได้เป็นอย่างดีเลย
ความเป็น Perfectionist ของ Reynolds ที่สะท้อนออกมาจากผลงานต่างๆ ที่เค้าทำขึ้น จนถึงการนำเสนอชีวิตประจำวันที่เป็นแบบแผน และตัวตนของเค้าที่เหมือนจะต้องการคนเข้ามา แต่กลับมีระยะห่างหรือกรอบที่มีขนาดที่ใหญ่และไม่อาจเข้าใจได้เมื่อมองจากมุมปกติ แต่เมื่อได้มาพบกับ Alma ก็ทำให้เกิดความปรารถนาในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นในรูปแบบที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ในครั้งแรก โดยแฝงความรักและความต้องการในเพศหญิง ซึ่งเป็นปมปัญหาของเค้า (สะท้อนภาพพี่สาวและแม่)
หนังยังสะท้อนภาพความสัมพันธ์ที่นำเสนอด้านตัวตน คือทั้งสองตัวละครนำมี "ตัวตน" ที่แข็งแรงมาก มากเกินกว่าจะปรับเข้าหากันในชีวิตคู่ แต่กลับมีความปรารถนาต่อกันและกันมากมายด้วย ซึ่งหนังได้พยายามนำเสนอมุมมองความสับสนต่อภาวะนี้ของตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเมื่อมาถึงจุดลงท้ายของหนัง บทสรุปความสัมพันธ์ก็กลับทำให้เราช็อค แต่กลับเข้าใจตัวละครได้เป็นอย่างดีเลย โดยเฉพาะตัว Reynolds ที่ค่อยๆ พังทลายลง ตรงนี้ืทำได้โคตรดีเลย รู้สึกจริงและมีอารมณ์ร่วมมากๆ
โดยเรื่องราวทั้งหมดถูกร้อยเรียงและเล่าโดยไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความเป็น Drama มากมาย หนังค่อยๆ เล่าแบบละมุนละไม ซึ่งหากเปรียบไปหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นดังผลงานหรือชุดของ Reynolds ที่เต็มไปด้วยความงดงาม วิจิตร ตั้งใจ แฝงความหมาย และมีรสนิยม แต่กลับเข้าถึงได้ไม่ยาก แต่กลับลุ่มลึกชวนค้นหา ที่ทำให้คนดูอย่างเราค่อยๆ เข้าใจและรู้สึกไปกับมัน แค่นั้นจริงๆ
และเป็นอีกเรื่องที่เราชื่นชอบการตั้งชื่อไทยของหนังเรื่องนี้จริงๆ หากดูแล้วจะเข้าใจว่ามันมีความหมายแบบนั้นจริงๆ เส้นด้ายลวงตา
แนะนำมากๆ ครับ หนังดีๆ แบบนี้แอบเสียดายเหมือนกันที่เข้าโรงและรอบค่อนข้างน้อย แต่ตอนนี้ยังพอมีให้ดูได้ที่ Lido House RCA SF และ Major ไปดูกันเถอะครับ...จากใจเลย
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/