บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37170911
บทที่2
https://ppantip.com/topic/37174946
บทที่3
https://ppantip.com/topic/37185136
มีเกิดก็ต้องมีดับ เรื่องราวมากมายว่าจะดีหรือร้ายมันก็เป็นได้เพียงความทรงจำ
ภีมค้นหาลูกกุญแจรถยนตร์ส่วนตัว หลังจากนั้นไม่นาน ขณะเปิดประตูรั้วหน้าบ้านในเรียบร้อย มองบ้านแสนรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนก้าวขึ้นรถคู่ชีพ ขับออกไปสู่เส้นทางไร้จุดหมาย เพียงไปให้พ้นจากการตรวจจับ ไปให้พ้นจากหัวใจของตนเอง ไปให้ไกลแสนไกล.....
.......
วัดในชนบทห่างไกลจากเมืองหลวงหลายร้อยกิโลเมตร หลังเวลาฉันเพลไปสองสามชั่วโมง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ ไม่วุ่นวายแออัดผู้คนเหมือนในเมือง บริเวณใต้ร่มเงาของต้นมะม่วงข้างอุโบสถ พระบวชใหม่รูปหนึ่งกำลังก้มหน้ากวาดใบมะม่วงให้รวมกันเป็นกองอย่างตั้งใจ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมชวนเลื่อมใส แม้จะเพิ่งเข้าสู่ความร่มเย็นของกาสาวพัสตร์ไม่กี่วัน
หลังจากวิ่งหนีหัวใจของตนเองมาเป็นเวลานับสัปดาห์ ยิ่งกว่าฆาตกรหลบหนีเงื้อมมือตำรวจ ภีม หนุ่มเมืองกรุงตัดสินใจบวชเป็นพระในที่สุด แม้ว่าไม่แน่ใจเท่าไรก็ตาม เพราะไม่เคยสนใจรสพระธรรมมาก่อน แต่เมื่อเป็นทางเลือกสายหนึ่งก็ต้องลองเลือกดู เพื่อเข้าสู่หนทางดับทุกข์ อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ตัวเอง
วัดในชนบทไม่ได้มีผู้คนแห่กันทำบุญมากมายจนกลายเป็นแหล่งการค้าบุญ หรือเส้นทางมาเฟียในวัดเหมือนวัดดังๆ อย่างเคยได้ยินได้ฟังมา นั่นคือสาเหตุหนึ่งทำให้เขาและเพื่อนๆ ไม่เคยเข้าวัดใหญ่ๆดังๆ เพราะความไม่ชอบบรรยากาศวุ่นวาย วัดในสภาพเดิมๆท่ามกลางธรรมชาติให้ความรู้สึกสงบอย่างประหลาด วิถืทางของสงฆ์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพระมือใหม่ อาหารมื้อเย็นกลับกลายเป็นสิ่งคิดถึงคะนึงหาในวันแรก แต่เพื่อบรรลุหลักธรรมเขาก็ต้องจำทน
วันแรกพระภีมฝันถึงร้านอาหาร มีอาหารน่าอร่อยลอยไปลอยมาอย่างเย้ายวน และพนักงานสาวสวยลอยไปลอยมา แต่ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นพระ แม้จะอยู่ในความฝัน พระภีมยังโบกมือให้บรรดาสาวๆ ถอยห่างออกไป พลางภาวนาว่า อนิจจา ทุกขตา อนัตตตา... ยุบหนอ พองหนอ... แต่บางครั้งก็กลายเป็นหิวหนอ... การต่อสู้กับความอยากจึงเป็นเรื่องท้าทายทรมาน
ลาก่อน...เส้นทางโลกอันเต็มไปด้วยมายาและการปรุงแต่ง พระใหม่พยายามไม่นึกถึงเครื่องปรุงแต่งของก็วยเตี๋ยวปากซอยแสนอร่อย ลาก่อนโลกลวงแห่งแสงสีเสียง เส้นทางธรรมะเท่านั้นเป็นเส้นทางแห่งความสงบดีบทุกข์แท้จริง
แต่เส้นทางแห่งความสงบเวลานี้ถูกรบกวนด้วยเสียงของรถเก๋งคันงามวิ่งเข้ามาในบริเวณวัดอย่างรีบร้อน
มารบกวนวิถีธรรมะ พระภีมลอนถอนใจเมื่อจำได้ว่า เป็นรถของโยมเพื่อน และคนนั่งข้างมาด้วยกันก็ไม่ใช้ใครที่ไหน อรสินีนั่นเอง ทั้งสองตามมาเจอจนได้ พระภีมทำท่าจะเดินหลบไปเพราะอายศีรษะของตัวเอง ที่ดูไม่หล่อเท่อย่างเก่า แต่เมื่อนึกได้ว่าเป็นพระไม่ควรอาย เพราะความอายน่าจะเป็นนิวรณ์อย่างหนึ่ง จึงก้มหน้าสงบจิตบรรจงกวาดใบไม้ตามเดิม พลางท่องในใจว่า ไม่อายหนอ ไม่อายหนอ...เป็นพระห้ามอาย
ผู้มาเยือนพากันมองดูพระภีมด้วยสายตา ราวกับดูมนุษย์ต่างดาวตกลงมาจากฟากฟ้าหรือไม่ก็มองดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เพราะการเข้าหาพระหาเจ้าเป็นเรื่องไม่เป็นเอาเสียเลย ไม่รู้จะพูดจาวางตัวอย่างไร สุธวัสเหมือนคนพยายามกลั้นเสียงหัวเราะสุดชีวิตเมื่อเห็นเพื่อนรักกลับกลายเป็นผู้ทรงศีล พระภีมมองเห็น เมื่อเป็นพระก็ต้องรักษาความสงบเพื่อสยบความเคลื่อนไหว แต่เมื่อเห็นผู้มาเยือนยังรีๆรอๆ จึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า
“มีอะไรก็เข้ามาพูดจากัน พระไม่เตะหรอก”
สุธวัชฟังแล้วสะดุ้งเฮือก นึกในใจว่า นี่ขนาดเป็นพระนะ ยังปากคอขนาดนี้ ส่วนอรสีนีทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ มองหน้าเพื่อนร่วมทางอย่างขอความเห็น แต่ในที่สุดตัดสินใจเดินตรงเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ในแบบที่คิดว่าถูกต้องตามแบบแผน
“สองโยมมีธุระอะไรเหรอ” พระบวชใหม่เองก็มีปัญหาในการพูดจากับฆราวาสเหมือนกันเพราะเพิ่งบวชได้ไม่กี่วัน
“ผมมาตามหลวง...เอ่อ หลวงเพื่อนกลับบ้านครับ” สุธวัสพยายามใช้คำพูดให้ถูกต้อง พลางนึกเสียใจสมัยเรียนวิชาพระพุทธศาสนาชอบหนีเรียนเป็นประจำ จนไม่รู้ขนบธรรมเนียมในการติดต่อสื่อสารทางตรงกับพระสงฆ์
ส่วนผู้มาเยือนฝ่ายหญิง ได้แต่จ้องมองนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจแปลกใจระคนกัน ภาพคนรักอยู่ในจีวรสีเหลืองดูมีสง่าราศีจนไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดช คล้ายมีกำแพงมองไม่เห็นชนิดหนึ่งมากั้นขวาง แถมเป็นกำแพงศักด์สิทธิ์เสียด้วย
“อาตมามีบ้านแล้ว บ้านธรรมะแห่งความร่มเย็น ตัดซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ยังจะให้อาตมาไปบ้านใดอีก”
“หลวงเพื่อนอย่าพูดแบบหลวงจีนวัดเส้าหลินแบบนี้สิ อ้อเขาตามหาหลวงเพื่อนแทบพลิกแผ่นดินไม่สงสารเธอบ้างหรือครับ ถูดผิดอย่างไรหันหน้าพูดคุยกันดีๆ”
พูดพลางพยักหน้าไปยังหญิงสาวราวกับจะยึนยันคำพูดของตัวเอง
“หลวงเพื่อนมาบวชคนเดียวไม่บอกใครไม่ได้นะครับ ตามหลักสากลคนจะบวชได้ต้องได้รับความยินยอมจากภรรยาเสียก่อน ถึงจะถูก ดังนั้นถือว่าการบวชโมฆะนะขอรับท่าน”
“สายไปเสียแล้วโยม” สายตาของภิกษุใหม่จ้องมองไปยังเส้นทางแสนไกลด้วยแววตามุ่งมั่นแนวแน่ สูดลมหายใจลึกบอกว่า
“อาตมาบวชเสียแล้วไม่อาจไปยุ่งกับทางโลกได้อีกต่อไป เชิญโยมทั้งสองกลับไปครองรักครองเรือนกัน มีความสุขกันไปตามเส้นทางโลกเถิด เส้นทางฆราวาสเป็นที่คับแคบ เป็นทางไปแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง อาตมาเลือกแล้ว”
“เตะพระสักทีมันบาปหนักไหมนี่” สุธวัชชักสีหน้าขึ้นเสียงอย่างคนเริ่มอารมณ์คุกรุ่น “ข้า เอ้ย กระผมกับอ้อไม่ได้มีอะไรกัน เข้าใจอะไรผิดไปไม่ดีนา พูดแบบนี้อาบัตินะครับ”
พระภีมหันขวับไปมองหน้าทันทีราวกับจะค้นหาความจริง ก่อนถอนใจยาวพูดเสียงเนิบนาบว่า
“บาปไม่บาปอาตมาไม่รู้ แต่พระมีมือมีเท้าเหมือนกันนะโยม ไม้กวาดก็อยู่ในมือ ดังนั้นอย่าดีกว่า และเรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ปล่อยเลยตามเลย อาตมาตัดสินใจมุ่งหน้าดินแดนแห่งรสพระธรรมแล้ว เส้นทางแห่งความสงบรออยู่ ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์ “
“เรากลับกันเถอะค่ะ” อรสินีดึงแขนเสื้อฆราวาสเอาไว้ก่อนมีจะเกิดศึกในวัด มองหน้าพระใหม่ด้วยใบหน้าเศร้า น้ำตาไหลรินเป็นทาง ทั้งผิดหวังทั้งเสียใจ
“เราอย่าไปขัดขวางเส้นทางแห่งรสพระธรรมเลยค่ะ ไม่มีประโยชน์อะไร จะเป็นบาปกรรมสียเปล่า”
"ท่านจะกลับหรือไม่กลับ สึกหรือไม่สึก" สุธวัสให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย
"ไม่กลับ ไม่สึก"
สุธวัสพยักหน้ารับรู้ เดินรี่ตรงเข้าไปหาพระใหม่ พระภีมยกไม้กวาดเตรียมพร้อมพอชิตมาร แต่อีกฝ่ายยักคิ้วก่อนยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูพูดอะไรบางอย่างแล้ว ถอยกลับมาตะโกนดังๆ
“ไปก็ได้วะ ขอเชิญหลวงเพื่อนบรรลุจนเหาะลอยขึ้นท้องฟ้าออกนอกโลกไปเลย ว่าแต่วันหน้าอย่ามาง้อก็แล้วกัน อย่าสึกออกมาเชียว สึกวันไหนจะมาดักรอเตะทิดสึกใหม่หน้าวัดเลย ไม่เชื่อคอยดู ดีนะว่าเป็นพระ ไม่งั้นมีเจ็บ”
ขณะทั้งคู่หันหลังกลับ พระภีมร้องเรียกเอาไว้เพื่อถามบางอย่างที่คับข้องใจมานาน
“เดี๋ยวก่อนโยมอ้อ ไหนๆอาตมาก็บวชแล้ว บอกได้หรือยังว่าฝังไมโครชีพไว้ตรงไหนของอาตมา นึกว่าบอกพระเอาบุญก็แล้วกันนะโยม”
“ตรงนั้นล่ะหลวงเพื่อน” เสียงกวนๆของโยมเพื่อนแว่วมา ทำเอาภิกษุหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากกับวิบากกรรม โยมอ้อของพระ หันมาแค่นหัวเราะทั้งน้ำตาบอกว่า
“เรื่องแบบนั้นมีที่ไหนกัน ไม่มีหรอกค่ะท่าน ที่รู้ความเคลื่อนไหวของหลวงพี่ก็เพราะหูตาคนของพ่ออ้อ เอ้ย...พ่อดิฉันเท่านั้นค่ะ”
สาธุ...นี่เป็นกุศลกรรมแห่งการบวช พระภีมนึกในใจพลางยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นจรดหน้าอกด้วยความโล่งใจ ดูไปคล้ายท่วงท่าหลวงจีนวัดเส้าหลินไม่มีผิด ขนาดเพิ่งบวชไม่กี่วันยังส่งผลขนาดนี้ ถ้าบวชไปนานจะขนาดไหน
อาหารบนโต๊ะวางเรียงรายเรียบร้อย อรสินีกลับนั่งเหม่อมองด้วยท่าทางเศร้าซึม
ชีวิตเมื่อขาดสามีไปแบบกู่ไม่กลับ มันช่างเงียบเหงาอ้างว้างเหลือเกิน หลายวันผ่านไปด้วยความรู้สึกเหมือนร่างกายและวิญญาณอยู่ด้วยกันอย่างซังกะตาย ภาพแห่งความทรงจำปรากฏอยู่ในบ้านทุกสถานที่
โซฟาในห้องนั่งเล่นบัดนี้ไม่มีชายหนุ่มนั่งดูการ์ตูนให้เห็นอีกต่อไป ไม่มีเสียงหัวเราะขอบใจเหมือนเด็กน้อยเมื่อดูการ์ตูนฉากขำๆ ถึงจะถูกกำหนดให้ดูเฉพาะการ์ตูนภีมก็ยอมรับและมีความสุขกับมัน ไม่มีสัมผัสละมุนบอกราตรีสวัสดิ์ ยามนอนข้างกายมีเพียงหมอนข้างไร้ชีวิตชีวา ใบหน้ายิ้มกวน ๆ ของภีมปรากฏในความรู้สึกทุกลมหายใจ อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารโปรดของสามีทั้งนั้น เธอชอบมองดูเขากินข้าวปลาอาหารด้วยรอยยิ้มดีอกดีใจ เมื่อทานอาหารโปรด ชายผู้ไม่เคยใช้ความรุนแรงใดๆไม่ว่าทั้งร่างกายและจิตใจไม่อยู่เสียแล้ว เขาเคยบอกเสมอว่าคนรักกันจริงๆ ไม่มีวันทำร้ายกัน ในบ้านเต็มไปด้วยความอ้างว้างเยือกเย็น ภีมคะ.. คุณไม่ทำร้ายแต่เล่นหนีไปเฉยๆ
นึกถึงวันที่เธอร้องไห้กลับบ้านวันนั้น ใครบ้างจะคิดว่าสุธวัสเพื่อนรักของสามีจะอบรมสั่งสอนเธอในร้านอาหารเป็นการใหญ่ ด้วยแม่น้ำทั้งห้า เกี่ยวกับชีวิตรักครองเรือน ทั้งที่คนพูดยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน ชีวิตของลูกสาวนายพลมีแต่คนเอาใจ ไปไหนมาไหนมีแต่คนตามใจ ไม่เคยคิดว่าจะถูกสั่งสอนขนานใหญ่แบบไม่ตั้งตัว
ความรักก็เหมือนละครชีวิตหรือภาพฝันวิวสวย...สุธวิทเคยอบรมสั่งสอนอย่างนี้...ความหึงหวงก็เหมือนม่านหมอกประดับเวทีรัก ถ้าปล่อยออกมาให้พอดี ภาพสวยเวทีฝันก็จะมีควันขาวลอยสร้างเสริมบรรยากาศสวยงาม แต่ถ้าหึงหวงมากไปก็จะกลายเป็นม่านดำมืดปกคลุมบรรยากาศสวยจนหมดสิ้น แล้วผีร้ายจากจิตใจจะก่อเกิดขึ้นมาจากหมอกดำ ออกมากัดกินภาพฝันอันสวยงาม จนหมดสิ้น
เราเองที่สร้างปีศาจ
ครั้งแรกอรสินีไม่เข้าใจคำพูดนั้น จนกลายเป็นการถกเถียงกันรุนแรง แต่เวลาดูจะขัดเกลาความคิดให้ทะลุม่านหมอกดำไม่มากก็น้อย แต่ก็ช้าเกินไป
เธอผิดเองที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้ภีมรับรู้ เพราะกำลังเสียใจตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเกิด และไม่คิดว่าเพื่อนสามีจะกล้าอบรมสั่งสอน คนอย่างอรสินีมีแต่เคยชี้นิ้วสั่งคนอื่นตลอดมา เพราะเป็นลูกนายทหารใหญ่ ใครก็ตามใจ ไม่คิดว่าคนรักจะกล้าขนาดงอน ขนาดแอบหนีออกจากบ้านกลางดึก หลังจากนั้นหน่วยสืบราชการลับของคุณพ่อก็ต้องมีงานเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง คือการสืบหาลูกเขยตัวดีแบบพลิกแผ่นดิน
เพราะความเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านนายพล คุ้นเคยกับระบบทหาร การควบคุม การออกคำสั่ง การเชื่อฟังโดยไม่ต้องถามเหตุผล เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยมาตลอดชีวิต คิดว่านั่นคือความถูกต้อง จนลืมนึกไปว่า โลกภายนอกวงการทหารยังมีระบบที่ซับซ้อนอ่อนไหวมากมาย มีหลายอย่างความแข็งกร้าวใช้ไม่ได้ เรื่องหลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลังกฏระเบียบบังคับ ระบบระเบียบไม่ใช่วิถีทางถูกต้องเสมอไป
ผนังห้องบริเวณเคยติดป้ายบัญญัติหลายสิบประการถูกปลดออกไปเผาทิ้ง และไม่คิดจะทำขึ้นมาใหม่ เธอคิดได้ว่านั่นไม่ใช่เครื่องมือในการผูกมัดชีวิตครอบครัวให้มั่นคง แต่มันคือสร้างมือในการสร้างรอยแยกอันน่ากลัวเส้นทางรักทีละน้อยต่างหาก การยอมของคนเราย่อมมีขีดจำกัด คนรักกันก็ต้องเชื่อใจกัน ภีมและเพื่อนก็ไม่เคยประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย นานๆไปดื่มแล้วก็กลับบ้าน ไม่เคยเตลิดไปที่อื่น
พยายามฝีนใจกินข้าว แต่น้ำตาเจ้ากรรมพาลไหลหยดรดอาบแก้ม
คนบ้า....พระบ้า...ทำไมต้องหนีไปบวชด้วย คนผีวัด...ด่าพระในใจบาปไหมนะ...อยากบวฃทรมานสังขารก็ให้หิวข้าวเย็นตายไปเลย แม้จะพยายามนึกต่อว่าหนักหนาปานใด ภาพในอดีตยังปรากฏในความคิดหลอกหลอนไม่สร่างซา
.
อุ้งมือเธอ......4 (บทสุดท้าย)
https://ppantip.com/topic/37170911
บทที่2
https://ppantip.com/topic/37174946
บทที่3
https://ppantip.com/topic/37185136
มีเกิดก็ต้องมีดับ เรื่องราวมากมายว่าจะดีหรือร้ายมันก็เป็นได้เพียงความทรงจำ
ภีมค้นหาลูกกุญแจรถยนตร์ส่วนตัว หลังจากนั้นไม่นาน ขณะเปิดประตูรั้วหน้าบ้านในเรียบร้อย มองบ้านแสนรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนก้าวขึ้นรถคู่ชีพ ขับออกไปสู่เส้นทางไร้จุดหมาย เพียงไปให้พ้นจากการตรวจจับ ไปให้พ้นจากหัวใจของตนเอง ไปให้ไกลแสนไกล.....
.......
วัดในชนบทห่างไกลจากเมืองหลวงหลายร้อยกิโลเมตร หลังเวลาฉันเพลไปสองสามชั่วโมง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ ไม่วุ่นวายแออัดผู้คนเหมือนในเมือง บริเวณใต้ร่มเงาของต้นมะม่วงข้างอุโบสถ พระบวชใหม่รูปหนึ่งกำลังก้มหน้ากวาดใบมะม่วงให้รวมกันเป็นกองอย่างตั้งใจ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมชวนเลื่อมใส แม้จะเพิ่งเข้าสู่ความร่มเย็นของกาสาวพัสตร์ไม่กี่วัน
หลังจากวิ่งหนีหัวใจของตนเองมาเป็นเวลานับสัปดาห์ ยิ่งกว่าฆาตกรหลบหนีเงื้อมมือตำรวจ ภีม หนุ่มเมืองกรุงตัดสินใจบวชเป็นพระในที่สุด แม้ว่าไม่แน่ใจเท่าไรก็ตาม เพราะไม่เคยสนใจรสพระธรรมมาก่อน แต่เมื่อเป็นทางเลือกสายหนึ่งก็ต้องลองเลือกดู เพื่อเข้าสู่หนทางดับทุกข์ อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ตัวเอง
วัดในชนบทไม่ได้มีผู้คนแห่กันทำบุญมากมายจนกลายเป็นแหล่งการค้าบุญ หรือเส้นทางมาเฟียในวัดเหมือนวัดดังๆ อย่างเคยได้ยินได้ฟังมา นั่นคือสาเหตุหนึ่งทำให้เขาและเพื่อนๆ ไม่เคยเข้าวัดใหญ่ๆดังๆ เพราะความไม่ชอบบรรยากาศวุ่นวาย วัดในสภาพเดิมๆท่ามกลางธรรมชาติให้ความรู้สึกสงบอย่างประหลาด วิถืทางของสงฆ์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพระมือใหม่ อาหารมื้อเย็นกลับกลายเป็นสิ่งคิดถึงคะนึงหาในวันแรก แต่เพื่อบรรลุหลักธรรมเขาก็ต้องจำทน
วันแรกพระภีมฝันถึงร้านอาหาร มีอาหารน่าอร่อยลอยไปลอยมาอย่างเย้ายวน และพนักงานสาวสวยลอยไปลอยมา แต่ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นพระ แม้จะอยู่ในความฝัน พระภีมยังโบกมือให้บรรดาสาวๆ ถอยห่างออกไป พลางภาวนาว่า อนิจจา ทุกขตา อนัตตตา... ยุบหนอ พองหนอ... แต่บางครั้งก็กลายเป็นหิวหนอ... การต่อสู้กับความอยากจึงเป็นเรื่องท้าทายทรมาน
ลาก่อน...เส้นทางโลกอันเต็มไปด้วยมายาและการปรุงแต่ง พระใหม่พยายามไม่นึกถึงเครื่องปรุงแต่งของก็วยเตี๋ยวปากซอยแสนอร่อย ลาก่อนโลกลวงแห่งแสงสีเสียง เส้นทางธรรมะเท่านั้นเป็นเส้นทางแห่งความสงบดีบทุกข์แท้จริง
แต่เส้นทางแห่งความสงบเวลานี้ถูกรบกวนด้วยเสียงของรถเก๋งคันงามวิ่งเข้ามาในบริเวณวัดอย่างรีบร้อน
มารบกวนวิถีธรรมะ พระภีมลอนถอนใจเมื่อจำได้ว่า เป็นรถของโยมเพื่อน และคนนั่งข้างมาด้วยกันก็ไม่ใช้ใครที่ไหน อรสินีนั่นเอง ทั้งสองตามมาเจอจนได้ พระภีมทำท่าจะเดินหลบไปเพราะอายศีรษะของตัวเอง ที่ดูไม่หล่อเท่อย่างเก่า แต่เมื่อนึกได้ว่าเป็นพระไม่ควรอาย เพราะความอายน่าจะเป็นนิวรณ์อย่างหนึ่ง จึงก้มหน้าสงบจิตบรรจงกวาดใบไม้ตามเดิม พลางท่องในใจว่า ไม่อายหนอ ไม่อายหนอ...เป็นพระห้ามอาย
ผู้มาเยือนพากันมองดูพระภีมด้วยสายตา ราวกับดูมนุษย์ต่างดาวตกลงมาจากฟากฟ้าหรือไม่ก็มองดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เพราะการเข้าหาพระหาเจ้าเป็นเรื่องไม่เป็นเอาเสียเลย ไม่รู้จะพูดจาวางตัวอย่างไร สุธวัสเหมือนคนพยายามกลั้นเสียงหัวเราะสุดชีวิตเมื่อเห็นเพื่อนรักกลับกลายเป็นผู้ทรงศีล พระภีมมองเห็น เมื่อเป็นพระก็ต้องรักษาความสงบเพื่อสยบความเคลื่อนไหว แต่เมื่อเห็นผู้มาเยือนยังรีๆรอๆ จึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า
“มีอะไรก็เข้ามาพูดจากัน พระไม่เตะหรอก”
สุธวัชฟังแล้วสะดุ้งเฮือก นึกในใจว่า นี่ขนาดเป็นพระนะ ยังปากคอขนาดนี้ ส่วนอรสีนีทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ มองหน้าเพื่อนร่วมทางอย่างขอความเห็น แต่ในที่สุดตัดสินใจเดินตรงเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ในแบบที่คิดว่าถูกต้องตามแบบแผน
“สองโยมมีธุระอะไรเหรอ” พระบวชใหม่เองก็มีปัญหาในการพูดจากับฆราวาสเหมือนกันเพราะเพิ่งบวชได้ไม่กี่วัน
“ผมมาตามหลวง...เอ่อ หลวงเพื่อนกลับบ้านครับ” สุธวัสพยายามใช้คำพูดให้ถูกต้อง พลางนึกเสียใจสมัยเรียนวิชาพระพุทธศาสนาชอบหนีเรียนเป็นประจำ จนไม่รู้ขนบธรรมเนียมในการติดต่อสื่อสารทางตรงกับพระสงฆ์
ส่วนผู้มาเยือนฝ่ายหญิง ได้แต่จ้องมองนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจแปลกใจระคนกัน ภาพคนรักอยู่ในจีวรสีเหลืองดูมีสง่าราศีจนไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดช คล้ายมีกำแพงมองไม่เห็นชนิดหนึ่งมากั้นขวาง แถมเป็นกำแพงศักด์สิทธิ์เสียด้วย
“อาตมามีบ้านแล้ว บ้านธรรมะแห่งความร่มเย็น ตัดซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ยังจะให้อาตมาไปบ้านใดอีก”
“หลวงเพื่อนอย่าพูดแบบหลวงจีนวัดเส้าหลินแบบนี้สิ อ้อเขาตามหาหลวงเพื่อนแทบพลิกแผ่นดินไม่สงสารเธอบ้างหรือครับ ถูดผิดอย่างไรหันหน้าพูดคุยกันดีๆ”
พูดพลางพยักหน้าไปยังหญิงสาวราวกับจะยึนยันคำพูดของตัวเอง
“หลวงเพื่อนมาบวชคนเดียวไม่บอกใครไม่ได้นะครับ ตามหลักสากลคนจะบวชได้ต้องได้รับความยินยอมจากภรรยาเสียก่อน ถึงจะถูก ดังนั้นถือว่าการบวชโมฆะนะขอรับท่าน”
“สายไปเสียแล้วโยม” สายตาของภิกษุใหม่จ้องมองไปยังเส้นทางแสนไกลด้วยแววตามุ่งมั่นแนวแน่ สูดลมหายใจลึกบอกว่า
“อาตมาบวชเสียแล้วไม่อาจไปยุ่งกับทางโลกได้อีกต่อไป เชิญโยมทั้งสองกลับไปครองรักครองเรือนกัน มีความสุขกันไปตามเส้นทางโลกเถิด เส้นทางฆราวาสเป็นที่คับแคบ เป็นทางไปแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง อาตมาเลือกแล้ว”
“เตะพระสักทีมันบาปหนักไหมนี่” สุธวัชชักสีหน้าขึ้นเสียงอย่างคนเริ่มอารมณ์คุกรุ่น “ข้า เอ้ย กระผมกับอ้อไม่ได้มีอะไรกัน เข้าใจอะไรผิดไปไม่ดีนา พูดแบบนี้อาบัตินะครับ”
พระภีมหันขวับไปมองหน้าทันทีราวกับจะค้นหาความจริง ก่อนถอนใจยาวพูดเสียงเนิบนาบว่า
“บาปไม่บาปอาตมาไม่รู้ แต่พระมีมือมีเท้าเหมือนกันนะโยม ไม้กวาดก็อยู่ในมือ ดังนั้นอย่าดีกว่า และเรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ปล่อยเลยตามเลย อาตมาตัดสินใจมุ่งหน้าดินแดนแห่งรสพระธรรมแล้ว เส้นทางแห่งความสงบรออยู่ ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์ “
“เรากลับกันเถอะค่ะ” อรสินีดึงแขนเสื้อฆราวาสเอาไว้ก่อนมีจะเกิดศึกในวัด มองหน้าพระใหม่ด้วยใบหน้าเศร้า น้ำตาไหลรินเป็นทาง ทั้งผิดหวังทั้งเสียใจ
“เราอย่าไปขัดขวางเส้นทางแห่งรสพระธรรมเลยค่ะ ไม่มีประโยชน์อะไร จะเป็นบาปกรรมสียเปล่า”
"ท่านจะกลับหรือไม่กลับ สึกหรือไม่สึก" สุธวัสให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย
"ไม่กลับ ไม่สึก"
สุธวัสพยักหน้ารับรู้ เดินรี่ตรงเข้าไปหาพระใหม่ พระภีมยกไม้กวาดเตรียมพร้อมพอชิตมาร แต่อีกฝ่ายยักคิ้วก่อนยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูพูดอะไรบางอย่างแล้ว ถอยกลับมาตะโกนดังๆ
“ไปก็ได้วะ ขอเชิญหลวงเพื่อนบรรลุจนเหาะลอยขึ้นท้องฟ้าออกนอกโลกไปเลย ว่าแต่วันหน้าอย่ามาง้อก็แล้วกัน อย่าสึกออกมาเชียว สึกวันไหนจะมาดักรอเตะทิดสึกใหม่หน้าวัดเลย ไม่เชื่อคอยดู ดีนะว่าเป็นพระ ไม่งั้นมีเจ็บ”
ขณะทั้งคู่หันหลังกลับ พระภีมร้องเรียกเอาไว้เพื่อถามบางอย่างที่คับข้องใจมานาน
“เดี๋ยวก่อนโยมอ้อ ไหนๆอาตมาก็บวชแล้ว บอกได้หรือยังว่าฝังไมโครชีพไว้ตรงไหนของอาตมา นึกว่าบอกพระเอาบุญก็แล้วกันนะโยม”
“ตรงนั้นล่ะหลวงเพื่อน” เสียงกวนๆของโยมเพื่อนแว่วมา ทำเอาภิกษุหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากกับวิบากกรรม โยมอ้อของพระ หันมาแค่นหัวเราะทั้งน้ำตาบอกว่า
“เรื่องแบบนั้นมีที่ไหนกัน ไม่มีหรอกค่ะท่าน ที่รู้ความเคลื่อนไหวของหลวงพี่ก็เพราะหูตาคนของพ่ออ้อ เอ้ย...พ่อดิฉันเท่านั้นค่ะ”
สาธุ...นี่เป็นกุศลกรรมแห่งการบวช พระภีมนึกในใจพลางยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นจรดหน้าอกด้วยความโล่งใจ ดูไปคล้ายท่วงท่าหลวงจีนวัดเส้าหลินไม่มีผิด ขนาดเพิ่งบวชไม่กี่วันยังส่งผลขนาดนี้ ถ้าบวชไปนานจะขนาดไหน
อาหารบนโต๊ะวางเรียงรายเรียบร้อย อรสินีกลับนั่งเหม่อมองด้วยท่าทางเศร้าซึม
ชีวิตเมื่อขาดสามีไปแบบกู่ไม่กลับ มันช่างเงียบเหงาอ้างว้างเหลือเกิน หลายวันผ่านไปด้วยความรู้สึกเหมือนร่างกายและวิญญาณอยู่ด้วยกันอย่างซังกะตาย ภาพแห่งความทรงจำปรากฏอยู่ในบ้านทุกสถานที่
โซฟาในห้องนั่งเล่นบัดนี้ไม่มีชายหนุ่มนั่งดูการ์ตูนให้เห็นอีกต่อไป ไม่มีเสียงหัวเราะขอบใจเหมือนเด็กน้อยเมื่อดูการ์ตูนฉากขำๆ ถึงจะถูกกำหนดให้ดูเฉพาะการ์ตูนภีมก็ยอมรับและมีความสุขกับมัน ไม่มีสัมผัสละมุนบอกราตรีสวัสดิ์ ยามนอนข้างกายมีเพียงหมอนข้างไร้ชีวิตชีวา ใบหน้ายิ้มกวน ๆ ของภีมปรากฏในความรู้สึกทุกลมหายใจ อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารโปรดของสามีทั้งนั้น เธอชอบมองดูเขากินข้าวปลาอาหารด้วยรอยยิ้มดีอกดีใจ เมื่อทานอาหารโปรด ชายผู้ไม่เคยใช้ความรุนแรงใดๆไม่ว่าทั้งร่างกายและจิตใจไม่อยู่เสียแล้ว เขาเคยบอกเสมอว่าคนรักกันจริงๆ ไม่มีวันทำร้ายกัน ในบ้านเต็มไปด้วยความอ้างว้างเยือกเย็น ภีมคะ.. คุณไม่ทำร้ายแต่เล่นหนีไปเฉยๆ
นึกถึงวันที่เธอร้องไห้กลับบ้านวันนั้น ใครบ้างจะคิดว่าสุธวัสเพื่อนรักของสามีจะอบรมสั่งสอนเธอในร้านอาหารเป็นการใหญ่ ด้วยแม่น้ำทั้งห้า เกี่ยวกับชีวิตรักครองเรือน ทั้งที่คนพูดยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน ชีวิตของลูกสาวนายพลมีแต่คนเอาใจ ไปไหนมาไหนมีแต่คนตามใจ ไม่เคยคิดว่าจะถูกสั่งสอนขนานใหญ่แบบไม่ตั้งตัว
ความรักก็เหมือนละครชีวิตหรือภาพฝันวิวสวย...สุธวิทเคยอบรมสั่งสอนอย่างนี้...ความหึงหวงก็เหมือนม่านหมอกประดับเวทีรัก ถ้าปล่อยออกมาให้พอดี ภาพสวยเวทีฝันก็จะมีควันขาวลอยสร้างเสริมบรรยากาศสวยงาม แต่ถ้าหึงหวงมากไปก็จะกลายเป็นม่านดำมืดปกคลุมบรรยากาศสวยจนหมดสิ้น แล้วผีร้ายจากจิตใจจะก่อเกิดขึ้นมาจากหมอกดำ ออกมากัดกินภาพฝันอันสวยงาม จนหมดสิ้น
เราเองที่สร้างปีศาจ
ครั้งแรกอรสินีไม่เข้าใจคำพูดนั้น จนกลายเป็นการถกเถียงกันรุนแรง แต่เวลาดูจะขัดเกลาความคิดให้ทะลุม่านหมอกดำไม่มากก็น้อย แต่ก็ช้าเกินไป
เธอผิดเองที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้ภีมรับรู้ เพราะกำลังเสียใจตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเกิด และไม่คิดว่าเพื่อนสามีจะกล้าอบรมสั่งสอน คนอย่างอรสินีมีแต่เคยชี้นิ้วสั่งคนอื่นตลอดมา เพราะเป็นลูกนายทหารใหญ่ ใครก็ตามใจ ไม่คิดว่าคนรักจะกล้าขนาดงอน ขนาดแอบหนีออกจากบ้านกลางดึก หลังจากนั้นหน่วยสืบราชการลับของคุณพ่อก็ต้องมีงานเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง คือการสืบหาลูกเขยตัวดีแบบพลิกแผ่นดิน
เพราะความเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านนายพล คุ้นเคยกับระบบทหาร การควบคุม การออกคำสั่ง การเชื่อฟังโดยไม่ต้องถามเหตุผล เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยมาตลอดชีวิต คิดว่านั่นคือความถูกต้อง จนลืมนึกไปว่า โลกภายนอกวงการทหารยังมีระบบที่ซับซ้อนอ่อนไหวมากมาย มีหลายอย่างความแข็งกร้าวใช้ไม่ได้ เรื่องหลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลังกฏระเบียบบังคับ ระบบระเบียบไม่ใช่วิถีทางถูกต้องเสมอไป
ผนังห้องบริเวณเคยติดป้ายบัญญัติหลายสิบประการถูกปลดออกไปเผาทิ้ง และไม่คิดจะทำขึ้นมาใหม่ เธอคิดได้ว่านั่นไม่ใช่เครื่องมือในการผูกมัดชีวิตครอบครัวให้มั่นคง แต่มันคือสร้างมือในการสร้างรอยแยกอันน่ากลัวเส้นทางรักทีละน้อยต่างหาก การยอมของคนเราย่อมมีขีดจำกัด คนรักกันก็ต้องเชื่อใจกัน ภีมและเพื่อนก็ไม่เคยประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย นานๆไปดื่มแล้วก็กลับบ้าน ไม่เคยเตลิดไปที่อื่น
พยายามฝีนใจกินข้าว แต่น้ำตาเจ้ากรรมพาลไหลหยดรดอาบแก้ม
คนบ้า....พระบ้า...ทำไมต้องหนีไปบวชด้วย คนผีวัด...ด่าพระในใจบาปไหมนะ...อยากบวฃทรมานสังขารก็ให้หิวข้าวเย็นตายไปเลย แม้จะพยายามนึกต่อว่าหนักหนาปานใด ภาพในอดีตยังปรากฏในความคิดหลอกหลอนไม่สร่างซา
.