อุ้งมือเธอ......4 (บทสุดท้าย)

กระทู้สนทนา
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37170911

บทที่2
https://ppantip.com/topic/37174946

บทที่3
https://ppantip.com/topic/37185136



               มีเกิดก็ต้องมีดับ เรื่องราวมากมายว่าจะดีหรือร้ายมันก็เป็นได้เพียงความทรงจำ

             ภีมค้นหาลูกกุญแจรถยนตร์ส่วนตัว หลังจากนั้นไม่นาน ขณะเปิดประตูรั้วหน้าบ้านในเรียบร้อย มองบ้านแสนรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนก้าวขึ้นรถคู่ชีพ ขับออกไปสู่เส้นทางไร้จุดหมาย เพียงไปให้พ้นจากการตรวจจับ ไปให้พ้นจากหัวใจของตนเอง ไปให้ไกลแสนไกล.....

.......



             วัดในชนบทห่างไกลจากเมืองหลวงหลายร้อยกิโลเมตร หลังเวลาฉันเพลไปสองสามชั่วโมง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ ไม่วุ่นวายแออัดผู้คนเหมือนในเมือง  บริเวณใต้ร่มเงาของต้นมะม่วงข้างอุโบสถ  พระบวชใหม่รูปหนึ่งกำลังก้มหน้ากวาดใบมะม่วงให้รวมกันเป็นกองอย่างตั้งใจ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมชวนเลื่อมใส แม้จะเพิ่งเข้าสู่ความร่มเย็นของกาสาวพัสตร์ไม่กี่วัน

             หลังจากวิ่งหนีหัวใจของตนเองมาเป็นเวลานับสัปดาห์ ยิ่งกว่าฆาตกรหลบหนีเงื้อมมือตำรวจ ภีม หนุ่มเมืองกรุงตัดสินใจบวชเป็นพระในที่สุด  แม้ว่าไม่แน่ใจเท่าไรก็ตาม เพราะไม่เคยสนใจรสพระธรรมมาก่อน แต่เมื่อเป็นทางเลือกสายหนึ่งก็ต้องลองเลือกดู เพื่อเข้าสู่หนทางดับทุกข์ อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ตัวเอง

             วัดในชนบทไม่ได้มีผู้คนแห่กันทำบุญมากมายจนกลายเป็นแหล่งการค้าบุญ หรือเส้นทางมาเฟียในวัดเหมือนวัดดังๆ อย่างเคยได้ยินได้ฟังมา นั่นคือสาเหตุหนึ่งทำให้เขาและเพื่อนๆ ไม่เคยเข้าวัดใหญ่ๆดังๆ เพราะความไม่ชอบบรรยากาศวุ่นวาย วัดในสภาพเดิมๆท่ามกลางธรรมชาติให้ความรู้สึกสงบอย่างประหลาด   วิถืทางของสงฆ์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพระมือใหม่ อาหารมื้อเย็นกลับกลายเป็นสิ่งคิดถึงคะนึงหาในวันแรก แต่เพื่อบรรลุหลักธรรมเขาก็ต้องจำทน

             วันแรกพระภีมฝันถึงร้านอาหาร มีอาหารน่าอร่อยลอยไปลอยมาอย่างเย้ายวน และพนักงานสาวสวยลอยไปลอยมา  แต่ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นพระ แม้จะอยู่ในความฝัน พระภีมยังโบกมือให้บรรดาสาวๆ ถอยห่างออกไป พลางภาวนาว่า  อนิจจา   ทุกขตา  อนัตตตา...  ยุบหนอ  พองหนอ...  แต่บางครั้งก็กลายเป็นหิวหนอ... การต่อสู้กับความอยากจึงเป็นเรื่องท้าทายทรมาน

             ลาก่อน...เส้นทางโลกอันเต็มไปด้วยมายาและการปรุงแต่ง  พระใหม่พยายามไม่นึกถึงเครื่องปรุงแต่งของก็วยเตี๋ยวปากซอยแสนอร่อย   ลาก่อนโลกลวงแห่งแสงสีเสียง  เส้นทางธรรมะเท่านั้นเป็นเส้นทางแห่งความสงบดีบทุกข์แท้จริง


             แต่เส้นทางแห่งความสงบเวลานี้ถูกรบกวนด้วยเสียงของรถเก๋งคันงามวิ่งเข้ามาในบริเวณวัดอย่างรีบร้อน

             มารบกวนวิถีธรรมะ  พระภีมลอนถอนใจเมื่อจำได้ว่า เป็นรถของโยมเพื่อน  และคนนั่งข้างมาด้วยกันก็ไม่ใช้ใครที่ไหน อรสินีนั่นเอง  ทั้งสองตามมาเจอจนได้   พระภีมทำท่าจะเดินหลบไปเพราะอายศีรษะของตัวเอง ที่ดูไม่หล่อเท่อย่างเก่า  แต่เมื่อนึกได้ว่าเป็นพระไม่ควรอาย เพราะความอายน่าจะเป็นนิวรณ์อย่างหนึ่ง จึงก้มหน้าสงบจิตบรรจงกวาดใบไม้ตามเดิม พลางท่องในใจว่า ไม่อายหนอ ไม่อายหนอ...เป็นพระห้ามอาย

             ผู้มาเยือนพากันมองดูพระภีมด้วยสายตา ราวกับดูมนุษย์ต่างดาวตกลงมาจากฟากฟ้าหรือไม่ก็มองดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลก    เพราะการเข้าหาพระหาเจ้าเป็นเรื่องไม่เป็นเอาเสียเลย ไม่รู้จะพูดจาวางตัวอย่างไร สุธวัสเหมือนคนพยายามกลั้นเสียงหัวเราะสุดชีวิตเมื่อเห็นเพื่อนรักกลับกลายเป็นผู้ทรงศีล   พระภีมมองเห็น เมื่อเป็นพระก็ต้องรักษาความสงบเพื่อสยบความเคลื่อนไหว  แต่เมื่อเห็นผู้มาเยือนยังรีๆรอๆ จึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า

             “มีอะไรก็เข้ามาพูดจากัน พระไม่เตะหรอก”

             สุธวัชฟังแล้วสะดุ้งเฮือก นึกในใจว่า นี่ขนาดเป็นพระนะ ยังปากคอขนาดนี้ ส่วนอรสีนีทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ   มองหน้าเพื่อนร่วมทางอย่างขอความเห็น แต่ในที่สุดตัดสินใจเดินตรงเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ในแบบที่คิดว่าถูกต้องตามแบบแผน

             “สองโยมมีธุระอะไรเหรอ”  พระบวชใหม่เองก็มีปัญหาในการพูดจากับฆราวาสเหมือนกันเพราะเพิ่งบวชได้ไม่กี่วัน

             “ผมมาตามหลวง...เอ่อ  หลวงเพื่อนกลับบ้านครับ”  สุธวัสพยายามใช้คำพูดให้ถูกต้อง พลางนึกเสียใจสมัยเรียนวิชาพระพุทธศาสนาชอบหนีเรียนเป็นประจำ จนไม่รู้ขนบธรรมเนียมในการติดต่อสื่อสารทางตรงกับพระสงฆ์

             ส่วนผู้มาเยือนฝ่ายหญิง ได้แต่จ้องมองนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจแปลกใจระคนกัน ภาพคนรักอยู่ในจีวรสีเหลืองดูมีสง่าราศีจนไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดช คล้ายมีกำแพงมองไม่เห็นชนิดหนึ่งมากั้นขวาง แถมเป็นกำแพงศักด์สิทธิ์เสียด้วย

             “อาตมามีบ้านแล้ว  บ้านธรรมะแห่งความร่มเย็น ตัดซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ยังจะให้อาตมาไปบ้านใดอีก”

             “หลวงเพื่อนอย่าพูดแบบหลวงจีนวัดเส้าหลินแบบนี้สิ อ้อเขาตามหาหลวงเพื่อนแทบพลิกแผ่นดินไม่สงสารเธอบ้างหรือครับ ถูดผิดอย่างไรหันหน้าพูดคุยกันดีๆ”

             พูดพลางพยักหน้าไปยังหญิงสาวราวกับจะยึนยันคำพูดของตัวเอง

             “หลวงเพื่อนมาบวชคนเดียวไม่บอกใครไม่ได้นะครับ ตามหลักสากลคนจะบวชได้ต้องได้รับความยินยอมจากภรรยาเสียก่อน ถึงจะถูก ดังนั้นถือว่าการบวชโมฆะนะขอรับท่าน”

             “สายไปเสียแล้วโยม”  สายตาของภิกษุใหม่จ้องมองไปยังเส้นทางแสนไกลด้วยแววตามุ่งมั่นแนวแน่  สูดลมหายใจลึกบอกว่า

             “อาตมาบวชเสียแล้วไม่อาจไปยุ่งกับทางโลกได้อีกต่อไป เชิญโยมทั้งสองกลับไปครองรักครองเรือนกัน  มีความสุขกันไปตามเส้นทางโลกเถิด   เส้นทางฆราวาสเป็นที่คับแคบ เป็นทางไปแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง อาตมาเลือกแล้ว”

             “เตะพระสักทีมันบาปหนักไหมนี่”    สุธวัชชักสีหน้าขึ้นเสียงอย่างคนเริ่มอารมณ์คุกรุ่น  “ข้า เอ้ย  กระผมกับอ้อไม่ได้มีอะไรกัน  เข้าใจอะไรผิดไปไม่ดีนา พูดแบบนี้อาบัตินะครับ”

             พระภีมหันขวับไปมองหน้าทันทีราวกับจะค้นหาความจริง ก่อนถอนใจยาวพูดเสียงเนิบนาบว่า

             “บาปไม่บาปอาตมาไม่รู้  แต่พระมีมือมีเท้าเหมือนกันนะโยม ไม้กวาดก็อยู่ในมือ ดังนั้นอย่าดีกว่า และเรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ปล่อยเลยตามเลย อาตมาตัดสินใจมุ่งหน้าดินแดนแห่งรสพระธรรมแล้ว เส้นทางแห่งความสงบรออยู่ ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์ “

             “เรากลับกันเถอะค่ะ”   อรสินีดึงแขนเสื้อฆราวาสเอาไว้ก่อนมีจะเกิดศึกในวัด  มองหน้าพระใหม่ด้วยใบหน้าเศร้า น้ำตาไหลรินเป็นทาง ทั้งผิดหวังทั้งเสียใจ

             “เราอย่าไปขัดขวางเส้นทางแห่งรสพระธรรมเลยค่ะ ไม่มีประโยชน์อะไร   จะเป็นบาปกรรมสียเปล่า”

             "ท่านจะกลับหรือไม่กลับ  สึกหรือไม่สึก"   สุธวัสให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย

             "ไม่กลับ  ไม่สึก"

             สุธวัสพยักหน้ารับรู้  เดินรี่ตรงเข้าไปหาพระใหม่ พระภีมยกไม้กวาดเตรียมพร้อมพอชิตมาร แต่อีกฝ่ายยักคิ้วก่อนยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูพูดอะไรบางอย่างแล้ว ถอยกลับมาตะโกนดังๆ

             “ไปก็ได้วะ  ขอเชิญหลวงเพื่อนบรรลุจนเหาะลอยขึ้นท้องฟ้าออกนอกโลกไปเลย ว่าแต่วันหน้าอย่ามาง้อก็แล้วกัน  อย่าสึกออกมาเชียว  สึกวันไหนจะมาดักรอเตะทิดสึกใหม่หน้าวัดเลย ไม่เชื่อคอยดู ดีนะว่าเป็นพระ ไม่งั้นมีเจ็บ”

             ขณะทั้งคู่หันหลังกลับ  พระภีมร้องเรียกเอาไว้เพื่อถามบางอย่างที่คับข้องใจมานาน

             “เดี๋ยวก่อนโยมอ้อ   ไหนๆอาตมาก็บวชแล้ว  บอกได้หรือยังว่าฝังไมโครชีพไว้ตรงไหนของอาตมา นึกว่าบอกพระเอาบุญก็แล้วกันนะโยม”

             “ตรงนั้นล่ะหลวงเพื่อน”   เสียงกวนๆของโยมเพื่อนแว่วมา ทำเอาภิกษุหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากกับวิบากกรรม  โยมอ้อของพระ หันมาแค่นหัวเราะทั้งน้ำตาบอกว่า

             “เรื่องแบบนั้นมีที่ไหนกัน ไม่มีหรอกค่ะท่าน  ที่รู้ความเคลื่อนไหวของหลวงพี่ก็เพราะหูตาคนของพ่ออ้อ เอ้ย...พ่อดิฉันเท่านั้นค่ะ”
สาธุ...นี่เป็นกุศลกรรมแห่งการบวช  พระภีมนึกในใจพลางยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นจรดหน้าอกด้วยความโล่งใจ ดูไปคล้ายท่วงท่าหลวงจีนวัดเส้าหลินไม่มีผิด ขนาดเพิ่งบวชไม่กี่วันยังส่งผลขนาดนี้ ถ้าบวชไปนานจะขนาดไหน


             อาหารบนโต๊ะวางเรียงรายเรียบร้อย   อรสินีกลับนั่งเหม่อมองด้วยท่าทางเศร้าซึม

             ชีวิตเมื่อขาดสามีไปแบบกู่ไม่กลับ มันช่างเงียบเหงาอ้างว้างเหลือเกิน หลายวันผ่านไปด้วยความรู้สึกเหมือนร่างกายและวิญญาณอยู่ด้วยกันอย่างซังกะตาย ภาพแห่งความทรงจำปรากฏอยู่ในบ้านทุกสถานที่

             โซฟาในห้องนั่งเล่นบัดนี้ไม่มีชายหนุ่มนั่งดูการ์ตูนให้เห็นอีกต่อไป  ไม่มีเสียงหัวเราะขอบใจเหมือนเด็กน้อยเมื่อดูการ์ตูนฉากขำๆ ถึงจะถูกกำหนดให้ดูเฉพาะการ์ตูนภีมก็ยอมรับและมีความสุขกับมัน  ไม่มีสัมผัสละมุนบอกราตรีสวัสดิ์ ยามนอนข้างกายมีเพียงหมอนข้างไร้ชีวิตชีวา ใบหน้ายิ้มกวน ๆ ของภีมปรากฏในความรู้สึกทุกลมหายใจ  อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารโปรดของสามีทั้งนั้น เธอชอบมองดูเขากินข้าวปลาอาหารด้วยรอยยิ้มดีอกดีใจ เมื่อทานอาหารโปรด ชายผู้ไม่เคยใช้ความรุนแรงใดๆไม่ว่าทั้งร่างกายและจิตใจไม่อยู่เสียแล้ว เขาเคยบอกเสมอว่าคนรักกันจริงๆ ไม่มีวันทำร้ายกัน  ในบ้านเต็มไปด้วยความอ้างว้างเยือกเย็น ภีมคะ..  คุณไม่ทำร้ายแต่เล่นหนีไปเฉยๆ

             นึกถึงวันที่เธอร้องไห้กลับบ้านวันนั้น ใครบ้างจะคิดว่าสุธวัสเพื่อนรักของสามีจะอบรมสั่งสอนเธอในร้านอาหารเป็นการใหญ่ ด้วยแม่น้ำทั้งห้า เกี่ยวกับชีวิตรักครองเรือน ทั้งที่คนพูดยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน  ชีวิตของลูกสาวนายพลมีแต่คนเอาใจ ไปไหนมาไหนมีแต่คนตามใจ ไม่เคยคิดว่าจะถูกสั่งสอนขนานใหญ่แบบไม่ตั้งตัว

             ความรักก็เหมือนละครชีวิตหรือภาพฝันวิวสวย...สุธวิทเคยอบรมสั่งสอนอย่างนี้...ความหึงหวงก็เหมือนม่านหมอกประดับเวทีรัก   ถ้าปล่อยออกมาให้พอดี  ภาพสวยเวทีฝันก็จะมีควันขาวลอยสร้างเสริมบรรยากาศสวยงาม  แต่ถ้าหึงหวงมากไปก็จะกลายเป็นม่านดำมืดปกคลุมบรรยากาศสวยจนหมดสิ้น  แล้วผีร้ายจากจิตใจจะก่อเกิดขึ้นมาจากหมอกดำ ออกมากัดกินภาพฝันอันสวยงาม จนหมดสิ้น

             เราเองที่สร้างปีศาจ

             ครั้งแรกอรสินีไม่เข้าใจคำพูดนั้น จนกลายเป็นการถกเถียงกันรุนแรง  แต่เวลาดูจะขัดเกลาความคิดให้ทะลุม่านหมอกดำไม่มากก็น้อย แต่ก็ช้าเกินไป

             เธอผิดเองที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้ภีมรับรู้ เพราะกำลังเสียใจตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเกิด และไม่คิดว่าเพื่อนสามีจะกล้าอบรมสั่งสอน คนอย่างอรสินีมีแต่เคยชี้นิ้วสั่งคนอื่นตลอดมา  เพราะเป็นลูกนายทหารใหญ่ ใครก็ตามใจ ไม่คิดว่าคนรักจะกล้าขนาดงอน ขนาดแอบหนีออกจากบ้านกลางดึก หลังจากนั้นหน่วยสืบราชการลับของคุณพ่อก็ต้องมีงานเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง คือการสืบหาลูกเขยตัวดีแบบพลิกแผ่นดิน

             เพราะความเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านนายพล คุ้นเคยกับระบบทหาร การควบคุม การออกคำสั่ง การเชื่อฟังโดยไม่ต้องถามเหตุผล เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยมาตลอดชีวิต  คิดว่านั่นคือความถูกต้อง  จนลืมนึกไปว่า โลกภายนอกวงการทหารยังมีระบบที่ซับซ้อนอ่อนไหวมากมาย มีหลายอย่างความแข็งกร้าวใช้ไม่ได้  เรื่องหลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลังกฏระเบียบบังคับ ระบบระเบียบไม่ใช่วิถีทางถูกต้องเสมอไป

             ผนังห้องบริเวณเคยติดป้ายบัญญัติหลายสิบประการถูกปลดออกไปเผาทิ้ง และไม่คิดจะทำขึ้นมาใหม่  เธอคิดได้ว่านั่นไม่ใช่เครื่องมือในการผูกมัดชีวิตครอบครัวให้มั่นคง  แต่มันคือสร้างมือในการสร้างรอยแยกอันน่ากลัวเส้นทางรักทีละน้อยต่างหาก  การยอมของคนเราย่อมมีขีดจำกัด คนรักกันก็ต้องเชื่อใจกัน ภีมและเพื่อนก็ไม่เคยประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย นานๆไปดื่มแล้วก็กลับบ้าน ไม่เคยเตลิดไปที่อื่น
พยายามฝีนใจกินข้าว แต่น้ำตาเจ้ากรรมพาลไหลหยดรดอาบแก้ม

             คนบ้า....พระบ้า...ทำไมต้องหนีไปบวชด้วย คนผีวัด...ด่าพระในใจบาปไหมนะ...อยากบวฃทรมานสังขารก็ให้หิวข้าวเย็นตายไปเลย   แม้จะพยายามนึกต่อว่าหนักหนาปานใด ภาพในอดีตยังปรากฏในความคิดหลอกหลอนไม่สร่างซา  




.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่