อุ้งมือเธอ 1/2

กระทู้สนทนา
เป็นเรื่องสั้น สองบทจบ บทสุดท้ายจะวาง วันจันทร์ครับ^^



             “ภีม คุณกลับบ้านช้าไป ห้านาที มีอะไรจะแก้ตัวไหมคะ”

             เมื่อรถเก๋งสีขาวคันงามของหนุ่มนักธุรกิจชื่อดัง วิ่งเข้ามาหยุดนิ่งในลานกว้างข้างบ้าน อรสินีในชุดลำลองน่ารักผู้เป็นภรรยาสุดที่รักรออยู่แล้ว ยิงคำถามแรกระยะเผาขนชนิดไม่ให้ตั้งทันตัว แฟนหนุ่มยังก้าวเท้าไม่ทันจะพ้นรถเสียด้วยซ้ำ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่แสดงอาการมากไปกว่านั้นไม่ได้ นอกจากการตอบเสียงสุภาพว่า

             “รถมันติดนิดหน่อยน่ะอ้อ  อีกอย่าง...คุณก็ดูจากเครื่องติดตามรถอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย”

             “ก็ถูกค่ะ แต่การตรงเวลาเป็นข้อดีที่สุด ฝรั่งเขาถือเรื่องนี้มากนะคะ และอย่าลืมว่า  เวลาตั้งห้านาที   ผู้ชายมีเวลาถมเถ  กับการเหล่มองสาวๆสบายตาสบายใจเฉิบเลยนะคะ”

             “โธ่...ผมจะเอาเวลาไหนไปมองสาวกัน  “ ชายหนุ่มพยายามฝืนยิ้มแห้งแล้ง  ก่อนเดินถือกระเป๋าเอกสารลากขาเข้าบ้านอย่างอ่อนระโหย จากงานประจำทำเช้าจดเย็น  ทิ้งตัวลงโซฟาในห้องนั่งเล่นชั้นล่างของบ้านหรูก่อนบอกสั้นๆว่า“เลิกงานผมก็ตรงดิ่งกลับบ้านเลย”

            “ไม่รู้สิคะ พวกผู้ชายไว้ใจไม่ได้”

             ชายหนุ่มโคลงหัวอย่างเอือมระอา กับพฤติกรรมของคนรัก ถ้ามีการประกวดรางวัลภรรยาจอมหึง อรสินีจะต้องชนะเลิศถล่มทลายครองตำแหน่งชนะเลิศทุกเวทีเป็นแน่แท้ กับการหึงหวงไร้เทียมทานสยบฟ้าท้าแผ่นดิน   เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นเรื่องจริงเพราะมันยิ่งกว่านิยาย เธอมีเครื่องสแกนหาร่องรอยกลิ่นน้ำหอม หรือฟีโรโมนแปลกปลอมตามเสื้อผ้า หมาแมวตัวเมียในบ้านยกให้คนอื่นนำไปเลี้ยงจนหมด ภาพสาวสวยในหนังสือจะต้องไม่มีในบ้านอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นเป็นเรื่อง   เวลาดูทีวีด้วยกันถ้ารายการมีสาวสวยหุ่นดีออกมาปรากฏโฉม เธอจะต้องรีบกดรีโมทปิดภาพหรือไม่ก็เปลี่ยนช่องทันที แต่ว่าแฟนหนุ่มมักจะมีความสนใจสินค้าเป็นพิเศษ ทำให้เกิดศึกชิงรีโมทกันอยู่เป็นประจำ

             แม้แต่อยู่ในบ้านก็ไม่ปลอดภัย ความหวาดระแวงแผ่ซ่านไปทั่วทุกตารางนิ้ว บางครั้งกำลังอาบน้ำเพลิดเพลินจำเริญใจ อรสินีถือวิสาสะกระชากประตูห้องน้ำ เปิดกว้างออกสู่โลกภายนอกแบบไม่ให้ทันตั้งตัว พร้อมมีดปังตอคมวาววับในมือ  ทำเอาผู้เป็นสามีสะดุ้งผวาอกสั่นขวัญหายขวัญหนีดีฝ่อไปหลายครั้ง เป็นใครก็ตกใจ

            ‘เผื่อคุณจะแอบให้สาวๆ ลอบเข้ามาหาในบ้าน’ ...นั่นเป็นเหตุผลสุดแสนฟังขึ้นเสียเหลือเกิน  ไม่สนใจหนุ่มผู้น่าสงสาร ตัวสั่นงันงก เกือบสติแตกตายตาห้องน้ำ

             หนึ่งปีผ่านไป กับความรักหวานชื่นราวภาพฝันเพริดแพร้ววันสวย หลังจากนั้นเงามืดมหันตภัยร้ายอันเกิดจากเพชรหึงหวงเริ่มก่อตัวอย่างน่าสยองขวัญ  อรสินีผู้ยอมออกจากงานประจำ เริ่มมีอาการหวาดระแวงผู้เป็นสามีขึ้นมาทีละน้อย  แช่มช้าแต่มั่นคงเลือดเย็น... ไม่มีผู้ใดระบุสาเหตุอันแน่ชัดได้ เพียงแต่บรรดาเพื่อนผู้สันทัดกรณีบางคนบอกว่า อาจเป็น ‘โรควัยท้อง’ ก็เป็นได้ โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ‘ โรควัยท้อง’  หมายถึงโรคที่ผู้หญิงมักเป็นเมื่อถึงวัยอันควรในการตั้งครรภ์ แต่พอไม่มีการตั้งครรภ์ เลยทำให้ฮอร์โมนเพศทำงานผิดปกติ ส่งผลถึงสภาพจิตใจชนิดนึกไม่ถึง

             “เคยมีแต่โรควัยทอง ไมใช่โรควัยท้อง”  เขาเคยเถียงเพื่อนผู้สันทัดกรณีอย่างไม่เชื่อ มีที่ไหนกันโรควัยท้อง

             “มันมีจริงโรควัยท้อง”

              เจ้าเพื่อนผู้สันทัดกรณีไม่เลิกล้มการบรรยายพิเศษช่วงพักเที่ยง เป็นการเสริมความรู้ให้พนักงานทางอ้อม  “เพียงแต่โรคนี้มักไม่แสดงออกให้เห็นเด่นชัด แต่เราจะสังเกตได้จากอาการ หวาดระแวง  คิดมาก คิดเอง เออเอง เชื่อเอง คิดนั่น คิดนี่ ระแวงนั่น ระแวงนี่  แล้วก็เชื่อเอง เชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดเป็นตุเป็นตะ นั่นล่ะ... และเชื่อแบบฝังรูปฝังรอยจิตฝังใจไม่โยกคลอนตามแรงลมปากใคร ใจสั่นเป็นพักๆ หงุดหงิดง่าย มองโลกในแง่ร้าย ปวดหัวตัวร้อน เป็นไข้ กินเก่ง...อ้วน... ถ้าอาหารหนักอาจถึงขั้นลงมือทำร้ายสามีได้ ระวังให้ดีเถอะ”

             นึกถึงคำพูดของเพื่อนแล้ว ภีมต้องทำคอย่นเย็นสันหลังวาบ อะไรก็เป็นได้ทั้งนั้น

             หลังจากผ่านการสแกนด้วยเครื่องตรวจวัดสิ่งแปลกปลอมความไวสูงหลายครั้ง  ผู้เป็นสามียังไม่ได้มีโอกาสผ่อนลมหายใจ ภรรยาสาวจู่โจมละลอกสองอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว   เธอยื่นมือถือมาให้ดูภาพหน้าจอ  มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นภาพห้องทำงานของบริษัท เขากำลังนั่งทำงานอยู่เด่นชัดถนัดตา  มีสายลับแทรกซึมเข้าไปถึงหน่วยงานแล้วหรือ  ภีมคิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่ก็ไม่ได้กังวลเพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง

             “อ้อ คุณได้รูปนี้มาจากไหน”  เขาถามอย่างสุภาพ คนถูกถามยิ้มมุมปากอย่างผู้เหนือกว่า เน้นเสียงตอบช้าๆราวกับจะให้ซึมซับเข้าไปในความรู้สึกของอีกฝ่าย

             “ไม่สำคัญหรอกค่ะ อย่าลืมว่าคุณพ่ออ้อเคยอยู่หน่วยข่าวกรองสืบราชการลับ  ฉะนั้นคุณไม่ต้องสนใจหรอกว่าใครเป็นคนถ่ายภาพ เอาเป็นว่าคุณดูภาพสาวคนนี้ดีกว่า”

             ว่าพลางชี้นิ้วเรียวสวยให้ดูภาพผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่ห่างจากไปจากโต๊ะของเขาพอประมาณ แต่ก็ไม่ไกลเกินกล้องจะจับภาพให้ทั้งสองอยู่ในเฟรมเดียวกันได้

             “คุณเคยพูดกับผู้หญิงคนนี้ไหม”

             “อ้าว....ก็เคยสิครับ  เราเป็นเพื่อนร่วมงานเดียวกัน ไม่เคยก็แปลกแล้ว”

             “นั่นไง นึกแล้วเชียว”  หญิงสาวร้องอย่างผู้ชนะ สายตาคมวาวจับจ้องมองอย่างเอาเรื่องราวพยัคฆ์ร้ายกำลังเตรียมกระโจนหาเหยื่อ

             “ สงสัยคงนั่งทำงานไป ส่งสายตาไปมาหากันสู่กันอยู่ล่ะสิ ทำตาเล็กตาน้อย ถ้ามองตากันแล้วท้องได้แบบปลากัด เจ้าหล่อนคงตั้งครรค์ไปหลายรอบแล้ว ใช่ไหมคะภีม รับมาซะดีๆ อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่คิดอะไรกับหล่อน”

             “จะบ้าเหรอ อ้อ ผมไม่....”

             “อ้ะๆ อย่าพูดจาหยาบคาย  คุณลืม ‘กฏข้อที่ห้า’ แล้วหรือคะ”  ภรรยาสาวสวนคำขึ้นก่อนสามีจะพูดจบ พลางชี้นิ้วให้ดูแผ่นป้ายขนาดใหญ่เกือบเท่าโต๊ะทำงานติดข้างผนังในห้องนั่งเล่น ทำมาจากวัสดุอย่างดีมีราคา แต่ข้อความสีแดงขนาดมองชัดถนัดตาหลายสิบข้อ  ไล่เรียงบนป้ายต่างหาก ทำให้ท่วงท่าของชายหนุ่มชะงัก

             “อ่านข้อห้าให้ฟังหน่อยสิคะ”

             “ผมรู้อยู่แล้วน่า”   สามีหนุ่มพยายามนับหนึ่งถึงสิบสุดชีวิตพลางนึกถึงวันสิ้นโลกถูกทำลายล้างด้วยอุกกาบาต

             “อ้อขอให้คุณอ่านค่ะ”

             เสียงราบเรียบแต่เด็ดขาดบอกย้ำอย่างไม่ยินยอม   ภีมสูดลมหายใจหันมาไปทางป้ายบัญญัติหลายสิบประการ แล้วสะกดใจอ่านออกเสียงราวกับเด็กอนุบาลอยู่ต่อหน้าครูปกครอง

             “ข้อที่ห้า นายภีม สุนทรพล ผู้เป็นสามีถูกต้องโดยนิตินัยและพฤตินัย ของนางอรสินี สุนทรพล จะต้องไม่พูดจาหยาบคาย ใช้อารมณ์รุนแรง ออกกิริยาท่าทางไม่เหมาะสม  หรือใช้กำลังทางกาย กับผู้เป็นภรรยาอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าในกรณีใดๆ  ถ้าจะโต้เถียงก็เมื่อจำเป็นถึงขีดสุดเท่านั้น และวาจาโต้เถียงต้องสุภาพอ่อนหวาน มีเหตุมีผล ปราศจากอคติ    โดยไม่มีข้อแม้ใดทั้งสิ้น”

             “ดีมากค่ะ ทีนี้อ่านข้อสิบสองสิคะ”

             “ข้อสิบสอง ถ้านางอรสินี บอกให้อ่านกฏประจำบ้าน ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์หรือสถานการณ์ใด ก็ต้องอ่านเสียงดังฟังชัด อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น”

            ขณะอ่านอย่างตั้งใจ ภีมต้องพยายามอดทนไม่ได้น้ำเสียงมีอารมณ์หลุดลอด เพราะรู้ว่าในบ้านมีกล้องวงจรปิด บันทึกภาพและเสียงไว้อย่างชัดเจน  มันเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ในการหลวมตัวมาแต่งงานกับนางฟ้าจากแดนสรวงเมื่อสามปีก่อน  เพราะอยากแต่งงานกับสาวสวย  จึงทำให้รับปากรับคำกฏทุกอย่าง โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ และหลังจากนั้นนางฟ้าก็ค่อยปลดปีกนางฟ้า สะบัดชุดแต่งานขาวสะอาดออกจากร่าง ปล่อยวงแหวนเรืองแรงรัศมีบนศีรษะออกอย่างนุ่มนวล พลางหันไปหาม่านดำแห่งความมืด  แต่ชายหนุ่มก็ต้องทนเพราะความรัก

             รักคือรัก ถึงร้ายก็รัก แน่นอนว่า คนอย่างเขาไม่เคยคิดจะทำร้ายคนที่ตนเองรัก ไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม เพียงไม่เข้าใจว่าทำไมภรรยาถึงแปรสภาพไปได้ขนาดนี้  

             “เอาล่ะ มาว่ากันต่อ”   อรสินีลากมืออีกฝ่ายให้มานั่งลงบนโซฟาตัวโปรด แต่หล่อนไม่ยอมนั่งด้วย เดินอ้อไปทางด้านหลัง โน้มตัวลงมาเอามือเกาะบ่าสามีแล้วกระซิบข้างหูเสียงอ่อนหวาน

             “บอกอ้อมาได้หรือยังคะ  ว่าเคยยิ้มให้กันไหมคะ”

             “เคยครับ คนอยู่ในห้องทำงานเดียวกัน จะยิ้มจะทักทายกันบ้างมันแปลกตรงไหนครับ”

             “นั่นไง...นึกแล้วเชียว  พอยิ้มให้กัน ความสนิทชิดใกล้ก็จะขยับเข้าไปหากันอีกขั้นหนึ่ง  ว่าแต่ภีมกับเธอเคยไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ”

             “ผมจะเอาเวลาที่ไหน....”

             “อ๊ะๆ...”  หญิงสาวเอามือแตะริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงปรามเมื่อจับน้ำเสียงเริ่มมีอารมณ์สามีได้  “อย่าลืมกฏข้อห้าสิคะที่รัก อ้อเพียงถามดีๆ เท่านั้น  คุณอย่าตอบคำถามด้วยคำถามสิคะ ไม่น่ารักเลย   ตอบว่าชัดๆว่า  เคย หรือ ไม่เคย เท่านั้นค่ะ”

             “เคยขอรับกระผม พ่ะย่ะค่ะ”

             “อย่าประชดสิคะ  อ้อเตือนไว้ก่อนว่ามันผิดกฏข้อสิบเก้านะคะ ในฐานะคนรักกันอ้อให้อภัยครั้งนี้ได้ แต่ครั้งหน้า อย่าหาว่าอ้อไม่เตือนนะคะ”

             มันอะไรกันหนักกันหนา...ชายหนุ่มนั่งหลังยืดตัวตรงใบหน้าสงบนิ่งก็จริง    แต่จิตใจวิ่งเตลิดเปิดเปิงออกไปแบบสุดฤทธิ์สุดเดช ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นวันแรก  แต่เจอมามากมายหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน เพียงแต่ต่างกรรมต่างวาระกันเท่านั้น  นึกถึงภาพตัวเองกำลังวิ่ง...  และวิ่งไปให้ไกลแม้จะรู้สึกว่ากำลังวิ่งหนีออกไปจากหัวใจของตนเองก็ตาม  แต่บางครั้งเมื่อคนเราไม่รู้ว่าจะทำอะไร การลุกขึ้นมาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตก็ดีกว่าไปฆ่าใครสักคน เห็นหุบเหวลึกกระโจนลงไปในความเวิ้งว้างอย่างไม่ต้องเรื่องมาก เห็นภูเขาสูงวิ่งเอาหัวชนเข้าไปให้มันรู้แล้วรู้รอด สะใจดีพิลึก

             “อย่าใจลอยสิคะที่รัก”

             มือข้างภรรยาสุดหัวใจตบแก้มเบาๆอย่างเอ็นดู ทำให้การวิ่งในความคิดหายดับลับไปกะทันหัน ไม่วิ่ง เอ้ย... ไม่ใจลอยก็ได้ครับ  เขาคิดในใจอย่างสุภาพ เพราะสัญญาก็คือสัญญา ไม่อยากทำผิดทางใจ  ฟังเสียงหวานใสของอีกฝ่ายข้างหูต่อไป ทำให้จำใจฟังอย่างจนตรอก

             “เอาเป็นว่าอ้อเข้าใจว่า วันนี้ยังไม่มีอะไรกัน แต่วันหน้ามีความเป็นไปได้ว่า คุณกับสาวคนนั้นจะต้องมีโอกาสไปทานข้าวด้วยกันอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว  เพราะทำงานอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนเอาแมวกับปลาย่างมาไว้ด้วยกันล่ะค่ะ ถึงปลาย่างและแมวต่างมีเจ้าของ แต่เมื่อโอกาสเป็นใจ แมวก็ต้องกินปลาย่าง  ทีนี้พอภีมกับเธอไปทานข้าวด้วยกัน ต่างคนก็ต้องเปิดปากระบายความทุกข์ของแต่ละฝ่าย  แน่นอนว่ามันก็คือขั้นแรกของความสงสารเห็นใจ และจะพัฒนาไปเป็นความรักความใคร่ในที่สุด ใช่ไหมคะ”

             “คุณคิดมากไปแล้ว”   ชายหนุ่มทำท่าเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาทับ แต่ก็ต้องรีบสะกดใจอย่างยากลำบาก พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนหวานตามข้อตกลงว่า

             “ทุกอย่างที่คุณพูดมา มันยังไม่เกิดขึ้น และจะไม่มีทางเกิดขึ้น ผมไม่ใช่แมว คุณขวัญก็ไม่ใช่ปลาย่าง เธอมีครอบครัวแล้ว และที่สำคัญคือผมกับเธอไม่ได้สนิทสนมกันมากมายอะไรเลย”



.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่