บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37170911
บทที่2
https://ppantip.com/topic/37174946
............
คำพูดของเขาพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก เต็มไปด้วยเหตุผล สายตาจ้องมองราวกับจะขอความเห็นใจ อรสินีเบิกตากว้างเหมือนไม่คาดคิดว่ากองกำลังติดอาวุธเล็กๆ เริ่มก่อกบฏภายในบ้าน หญิงสาวรอจนสามีหนุ่มพูดจบ ประกายตาพลันแวววาวไปด้วยความชื่นชม เดินเข้ามาใกล้พลางโอบกอดด้วยสองมือยื่นหน้ามาหอมแก้มชายหนุ่มก่อนบอกเสียงหวานใสว่า
“โอที่รัก คุณไปหัดพูดมาจากไหนคะ ฟังดูดีมากเลยค่ะ แต่คำพูดช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะคะ คนเราจะต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการกระทำ ลูกผู้ชายทำผิดแล้วก็ต้องยืดอกเชิดหน้ารับผิดอย่างกล้าหาญ อย่าลืมสิคะว่าภีมที่รักเพิ่งกระทำการร้ายแรง ด้วยการหนีออกจากบ้านไปเที่ยว ดีนะคะว่าอ้อเป็นคนใจเย็นและใจดี เป็นคนอื่นคุณอาจบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตไปแล้วนะคะ เรามาพูดถึงเรื่องการลงโทษกันก่อนอย่างอื่นดีไหมคะ”
ผู้เป็นสามีเจอไม้นี้เข้าไป สายน้ำเชี่ยวแรงกลับกลายเป็นบัวแล้งน้ำไปในทันที เปล่า...เขาไม่ได้กลัว แต่มีอะไรบางอย่างทำให้จำต้องยินยอม บางทีอาจเป็นเพราะบัญญัติหลายสิบประการที่ติดหรากลางห้องนั่งเล่นนั่นก็เป็นไปได้ เริ่มแรกทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่สุดท้าย กฏกติกาและข้อบังคับบนแผ่นป้ายกลับเป็นเรื่องถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง
ตามกฏหมายบ้าน ชายหนุ่มถูกลงโทษ โดยการถูกจำกัดบริเวณให้อยู่ในบ้านเป็นเวลาสองสัปดาห์ แต่เนื่องจากไม่เคยกระทำความผิดในกรณีนี้มาก่อนจึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือหนึ่งสัปดาห์ โดยไม่มีสิทธิ์ประกันตัว มันหมายถึงการที่เขาต้องยอมลาพักงานอย่างไม่มีทางเลือกและไม่มีข้อแม้ใดๆ อรสินีผู้เป็นประธานศาลและผู้พิพากษาไปในตัว แสดงความเห็นอกเห็นใจจำเลยบ้านอย่างสุดแสน แต่กฏก็ต้องเป็นกฏเพื่อความเป็นระบบระเบียบของสังคม
จะว่าไปแล้ว ภีมไม่ได้รู้สึกกังวลกับเรื่องการงานมากนัก ด้วยฐานะทางบ้านดี ขนาดว่าไม่ต้องทำงานก็มีเงินกินเงินใช้จากมรดกตกทอดและจากกองทุนสะสมส่วนตัว ให้อยู่อย่างสุขสบายตลอดชีวิต แต่การอยู่บ้านโดยไม่ได้ทำงาน เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในกรงขังไร้สภาพ ดีว่าขณะต้องอาญาภรรยาแสนสวยยังดูแลใส่ใจเขาเป็นอย่างดี ด้วยความรักความห่วงใยราวดูแลนกน้อยในกรงทอง
และในวันอาทิตย์ชายหนุ่มก็ตกตะลึงเมื่อสุธวัสเพื่อนรัก โผล่มาหาตั้งแต่เช้าพร้อมดอกกุหลาบช่อใหญ่ในมือกับการแต่งกายสุดเท่ ราวกับว่าจะไปออกเดทกับสาวๆ มันไม่แปลกอะไรกับพฤติกรรมของหนุ่มโสดผู้หล่อเหลาร่ำรวยจะถือดอกไม้ช่องามไปหาหญิงสาวสวย ถ้าไม่เพราะแต่สาวสวยที่ว่ากลับเป็นอรสินี
“แกลืมไปแล้วเหรอ ภีม ที่เราคุยกันร้าน” ผู้มาเยือนเมียเพื่อนกระซิบให้ระลึกถึงความหลัง เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางงงงันของหนุ่มเจ้าของบ้าน “ฉันทำตามที่ตกลงกันไว้ไง ฉันจะช่วยแกโดยการมาจีบคุณอ้อให้ติด นายอย่าห่วง รับรองได้ผลชัวร์”
ฟังแล้วอยากจะบ้าตาย ไม่นึกว่าเพื่อนตัวแสบจะกล้าทำจริง อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับว่าในอดีตสองคนเคยสนอกสนใจกันมาพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายชนะเกมรัก นี่เขาชักนำถ่านไฟเก่าเข้ามาในบ้านหรืออย่างไร อะไรก็ไม่ร้ายเท่าผู้เป็นภรรยาแสนรักมีท่าทางดีอกดีใจเป็นหนักหนาเมื่อมีหนุ่มหล่อมาเยือนถึงบ้าน ความห่างเหินระหว่างเพื่อนและภรรยาที่เคยมีลดช่องว่างลงอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นพูดคุยถูกคอกันแบบเหลือเชื่อ จนบางครั้งแทบลืมไปด้วยซ้ำว่า สามีคนดีที่หนึ่งยังนั่งหัวโด่อยู่ในบ้านอีกคน ทั้งสองท่าทีสีหน้ามีความสุขสนุกสนานราวรักแรกพบ
ไอ้เพื่อนเราเผาเรือน... ภีมได้แต่ขบกรามกรอด ทั้งที่คนชักนำศึกเข้าบ้านเป็นตัวเองแท้ๆ นี่ล่ะนะ...โบราณถึงว่า ‘อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจเพื่อน’
หลังจากนั้นเป็นต้นมา สุธวัสแวะมาบ้านทุกเย็นพร้อมของฝากติดไม้ติดมือมาทุกครั้ง ท่าทางของเพื่อนตัวแสบไม่รู้สึกรู้สมเลยว่ากำลังสร้างความหงุดหงิดกับหนุ่มเจ้าของบ้านมากขึ้นทุกที แถมยังมีสีหน้าท่าทางราวกับกำลังสละตัวเองเพื่อความสงบสุขของโลก จนทำให้สงสัยว่าแกล้งโง่ หรือทำไปด้วยความหวังดีกันแน่
และก่อนเที่ยงวันพุธ ภีมสังเกตว่าภรรยาของคนแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามเป็นพิเศษราวกับจะเตรียมตัวไปงานแต่งงาน แล้วคำตอบก็มาพร้อมกับสุธวัสผู้ทะลึ่งโผล่มาตั้งแต่ก่อนเที่ยงด้วยซ้ำ
“เราจะไปซื้อของกันค่ะ” อรสินีบอกด้วยน้ำเสียงแจ่มใสตาเป็นประกาย “ความจริงเราก็อยากให้ภีมไปช่วยถือข้าวถือของด้วยนะคะ แต่เสียใจว่าภีมยังต้องโทษจำบ้านอยู่ จนกว่าจะถึงวันเสาร์โน่นค่ะ ไว้วันนั้นค่อยว่ากันอีกทีนะคะ”
“ไปกับเจ้าสุนี่นะ...” ชายหนุ่มร้องอย่างไม่เชื่อ หันไปมองเพื่อนตัวแสบผู้ยืนพิงรถคันหรูผู้แอบยักคิ้วหลิ่วตาให้แล้วพาลเดือดปุดๆ เจ้าบ้านี่กล้าขนาดพามัยเพื่อนไปเที่ยวซื้อของด้วยกันสองต่อสอง มันจะมากไปแล้วนะ...แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเสียงหวานใสของภรรยาเจื้อยแจ้วต่อไปว่า
“ไม่ต้องห่วงอะไรนะคะ ถ้ากลับเย็นหน่อยแสดงว่าพวกเราไปทานข้าวแล้วอาจพากันดูหนังสักรอบ ฝากดูแลบ้านด้วยนะคะ”
ชายหนุ่มรู้สึกหูอื้อประสาทชาจนแทบฟังอะไรไม่รู้เรื่อง มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว หวังว่าเจ้าเพื่อนตัวแสบคงไม่ละเมิดสัญญาข้อตกลงที่เคยบอกว่า ห้ามแตะเนื้อต้องตัวเป็นอันขาด แต่จะไว้ใจได้อย่างไร หญิงชายไปทานข้าวด้วยกัน ไปซื้อข้าวซื้อของด้วยกัน ไปดูหนังและคงจะเป็นหนังรักแสนหวาน ดูไปดูมาคงต้องเคลิบเคลิ้มจับไม้จับมือกันในที่สุด และอาจถึงขนาดนั่งสนิทอิงแอบชิดแนบกันด้วยใครจะไปรู้ เมื่อบรรยากาศเป็นใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้
“คนเราต้องไว้ใจกันนะคะ” นั่นเป็นคำพูดของผู้เป็นภรรยาก่อนหน้าระรื่นชื่นใจออกจากบ้านไปกับเพื่อนรัก ภีมได้แต่มึนงงกับชีวิต บอกว่าคนเราต้องไว้ใจกัน แต่ทำไมเขาไม่เคยได้รับความไว้ใจจากอีกฝ่ายเลย ทั้งที่หลังแต่งงานมาไม่ได้ไปนอกใจทำอะไรกับใคร
ออกไปดูโลกภายนอกเสียบ้างก็ดี....ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลปลอบใจตัวเอง จะได้รู้ว่าโลกภายนอกก้าวไปถึงไหนแล้ว ไม่บ่อยครั้งเลยกับการอยู่บ้านคนเดียว อย่างน้อยทำให้รู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาบ้าง ยืนมองแผ่นป้ายบัญญัติหลายสิบประการข้างผนังด้วยความไม่พอใจ ไม่คิดว่าการทำขึ้นมาเล่นๆจะกลายเป็นข้อบังคับเผด็จการไปได้
ไมโครชีพ....ใช่แล้ว ทำไมไม่ลองตรวจหาดูว่ามันถูกฝังไว้ที่ไหนกัน ถ้าตรวจหาเจออาจพอมีทางทำลาย แต่พอนึกดูแล้วก็ใจแป้ว เพราะถึงจะถูกทำลาย ภรรยาก็ต้องรู้อยู่ดีเมื่อสัญญานหายไปจากเครื่องรับ เธอจะต้องหาทางเล่นงานด้วยกฏหมายไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง
เจ้าเพื่อนตัวแสบเคยเล่าให้ฟังว่า ในวงการสินค้าตลาดมืด ระเบิดจิ๋วสามารถฝังไว้ในอวัยวะสำคัญ ควบคุมการทำงานด้วยระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าหากมีการใช้งานผิดประเภทพ้นออกไปจากรัศมีภายในบ้าน ระเบิดจิ๋วจะทำงานด้วยการระเบิดทำลายตัวเองและทำลายอวัยวะส่วนนั้นทันที ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่อย่างไร แต่ก็ทำให้อดร้อนๆหนาวๆไม่ได้ เริ่มไม่แน่ใจว่าในร่างกายโดนฝังระเบิดอันตรายหรือไม่ เพราะอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ตะวันบ่ายคล้อย กระทั่งความมืดเริ่มมาเยือน ทั้งสองคนยังไม่กลับมา ชายหนุ่มยิ่งทวีความหงุดหงิดเพราะรู้สึกว่ามันนานเกินไปแล้ว หลายครั้งเกือบจะยกโทรศัพท์กดเบอร์โทรถามข่าวคราวว่าไปถึงดาวดวงไหนแล้ว แต่นึกได้ว่าการถูกลงโทษหมายถึงการงดใช้เครื่องมือสื่อสารต่างๆ ไปด้วย ความหวังจึงดับวูบลง อย่างไรก็ตาม เพื่อนตัวแสบและภรรยากลับมาในตอนค่ำด้วยใบหน้ารื่นเริงแจ่มใสกันทั้งคู่ พร้อมข้าวของพะรุงพะรังเป็นบ้าหอบฟาง ด้วยท่าทางราวกับเป็นคู่รักมือใหม่ สุธวัสแอบหลิ่วตายักคิ้วให้เขา แต่ภีมไม่สามารถแปลความหมายรหัสพิสดารได้ อีกทั้งไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ จึงไม่รู้ความนัยแอบแฝง จะถามให้รู้เรื่องอรสินีก็พาเพื่อนรักไปส่งที่รถเสียแล้วด้วยทีท่าอำลาอาลัย
“ภีมทานข้าวเลยนะคะ อ้อทานข้าวมาเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายภรรยาสุดที่รักบอกด้วยความหวังดี เมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งรออยู่ในห้องอาหารพร้อมไข่เจียวที่อุตส่าห์ทำไว้รอ แน่ล่ะ...ข้าวไข่เจียวง่ายๆหรือจะสู้เมนูหลากหลายในภัตราคารร้านอาหารหรูหราได้ พ่อครัวจำเป็นเลยต้องนั่งทานข้าวคนเดียวอย่างฝืนๆ ใจหนึ่งอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าพากันไปไหนมาไหนทำอะไรมาบ้าง แต่อีกฝ่ายก็แวบหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านเสียแล้ว
คีนนั้นชายหนุ่มนั่งดูการ์ตูนด้วยความรู้สึกไม่สงบสุข หลับๆตื่นๆ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกับฝันร้ายฝันสยองรบกวนจิตใจตลอดเวลา จนทำให้รุ่งเช้าของวันพฤหัสมีอาการโผเผสะลึมสะลืออย่างเห็นได้ชัด เมื่อคืนฝันว่าเห็นป้ายบัญญัติหลายสิบประการกระโดดลงมาจากผนังห้องนั่งเล่น กลับเป็นปีศาจไล่ล่าทั้งคืน อะไรก็ไม่ร้ายเท่าปีศาจในความฝันมีสองหัว ใบหน้าเหมือนเพื่อนรักและภรรยาไม่มีผิด พอตื่นขึ้นมาจากความฝัน ยังมีอาการใจสั่นไม่หาย
ชายหนุ่มพยายามปลงตกไม่คิดอะไร แต่เหตุการณ์เหมือนเลวร้ายลงไปอีก เมื่อช่วงสายของวันพฤหัส สุธวิสโผล่หน้ามาอีกแทบจะเป็นเวลาเดียวกับอรสินีโฉบลงมาจากห้องนอนในชุดสวยงาม ราวกับนัดกันไว้ก่อน
“คุณสุรับปากจะพาอ้อไปทำธุระต่างจังหวัด ภีมอยู่บ้านดีๆนะคะ ที่จริงอ้อจะชวนคุณไปแต่บังเอิญว่าภีมต้องอาญาอยู่ เลยอดไป ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ต้องห่วง อ้อดูแลตัวเองได้ โดยเฉพาะไปกับผุ้ช่วยนางเอกอย่างคุณสุ ยิ่งไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ฝากดูแลบ้านด้วยนะคะ”
ภีมอ้าปากค้าง
ไม่เกรงอกเกรงใจกันบ้างหรืออย่างไร สุธวัสแอบขยิบตาให้ราวกับส่งส่งรหัสบางอย่าง แต่เป็นรหัสลึกลับไม่เข้าใจเอาเสียเลย เพราะสามารถแปลไปได้ทั้งเชิงบวกเชิงลบ เพื่อนรักอาจจะรักษาสัญญาก็ได้ หรือในทางตรงกันกันข้าม....เมียแกเสร็จฉันล่ะ
มีคำพูดมากมายที่ยังไม่ได้พูด แต่ทุกคำพูดกลืนหายเข้าไปในลำคอ ได้แต่มองรถเก๋งคันงามพาภรรยาสาวสวยออกจากบ้านไปด้วยหัวใจอันสับสนเจ็บปวด
เป็นไปได้ไหมว่า ถ่านไฟเก่าจะครุกรุ่น
สุธวัสเป็นผู้ชายในฝันของบรรดาสาวๆ เพราะคุณสมบัติเพรียบพร้อมทุกอย่าง หล่อ รวย การงานดีมีหน้าตาชื่อเสียง ไม่เป็นเกย์ อรสินีเป็นคนสวยน่ารัก จะว่าไปแล้วทั้งคู่เหมาะสมกันเหลือเกิน เป็นไปได้ไหมว่า เธอเลือกผิด มาแต่งงานกับเขา ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ตัวเองรู้สึกเพื่อนและภรรยามากแค่ไหน ทำไมยิ่งคิดคนทั้งสองกลับคล้ายดูคนแปลกหน้ามากขึ้นทุกที ขนาดชวนคิดไปว่าอีกไม่กี่วันถ้าเดินสวนทางกันคงไม่เอ่ยปากทักทาย กลายเป็นคนแปลกหน้า
ถ้าเป็นจริงอย่างที่คิดล่ะ
ไม่...เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรรุนแรง สำหรับชายหนุ่มแล้ว ความรักคือความรัก ไม่มีต้องให้คำนิยามและไม่ทำร้ายใคร แม้จะอดทนฝืนใจอย่างไรเขาคงต้องยินยอมสละหัวใจตัวเอง
...ด้วยเขาเป็นเพื่อน ร่วมคำสาบานของพี่
น้ำใจเขานั้นช่างดี สมที่จะครองน้องได้
อย่าได้คิด และห่วงพี่นะดวงใจ
จะขอเจอะกันชาติใหม่ ชาตินี้พี่ต้องขอลา...
ถึงจะเศร้าซึมปานใด ชายหนุ่มยังอดร้องเพลง ผู้เสียละ ของสายัณคนเก่า พี่เป้าคนเดิม ไม่ได้
... ...ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์
น้ำสังข์จะหลั่งลงพลัน ด้วยมือพี่หลั่งรดให้
ไปสู่เรือนหอ ที่สร้างรอรับดวงใจ
ชาตินี้พี่จำจากไกล สู่แดนแห่งรสพระธรรม...
สู่แดนแห่งรสพระธรรมเหรอ เฮ้ย....พอร้องจบท่อนนี้ชายหนุ่มถึงกับผวา คิดในใจว่า ตูข้าจะออกบวชเมื่อไร... อารมณ์เตลิดกับบทเพลงมากไปหน่อย จนเคลิ้มนึกไปว่าตัวเองจะออกบวช ค่อยยังชั่ว.. แหม...ใจหายหมด...เป็นแค่เพลง ขืนบวชก็อดดูการ์ตูนเป็นแน่แท้
.
อุ้งมือเธอ.........3
https://ppantip.com/topic/37170911
บทที่2
https://ppantip.com/topic/37174946
............
คำพูดของเขาพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก เต็มไปด้วยเหตุผล สายตาจ้องมองราวกับจะขอความเห็นใจ อรสินีเบิกตากว้างเหมือนไม่คาดคิดว่ากองกำลังติดอาวุธเล็กๆ เริ่มก่อกบฏภายในบ้าน หญิงสาวรอจนสามีหนุ่มพูดจบ ประกายตาพลันแวววาวไปด้วยความชื่นชม เดินเข้ามาใกล้พลางโอบกอดด้วยสองมือยื่นหน้ามาหอมแก้มชายหนุ่มก่อนบอกเสียงหวานใสว่า
“โอที่รัก คุณไปหัดพูดมาจากไหนคะ ฟังดูดีมากเลยค่ะ แต่คำพูดช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะคะ คนเราจะต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการกระทำ ลูกผู้ชายทำผิดแล้วก็ต้องยืดอกเชิดหน้ารับผิดอย่างกล้าหาญ อย่าลืมสิคะว่าภีมที่รักเพิ่งกระทำการร้ายแรง ด้วยการหนีออกจากบ้านไปเที่ยว ดีนะคะว่าอ้อเป็นคนใจเย็นและใจดี เป็นคนอื่นคุณอาจบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตไปแล้วนะคะ เรามาพูดถึงเรื่องการลงโทษกันก่อนอย่างอื่นดีไหมคะ”
ผู้เป็นสามีเจอไม้นี้เข้าไป สายน้ำเชี่ยวแรงกลับกลายเป็นบัวแล้งน้ำไปในทันที เปล่า...เขาไม่ได้กลัว แต่มีอะไรบางอย่างทำให้จำต้องยินยอม บางทีอาจเป็นเพราะบัญญัติหลายสิบประการที่ติดหรากลางห้องนั่งเล่นนั่นก็เป็นไปได้ เริ่มแรกทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่สุดท้าย กฏกติกาและข้อบังคับบนแผ่นป้ายกลับเป็นเรื่องถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง
ตามกฏหมายบ้าน ชายหนุ่มถูกลงโทษ โดยการถูกจำกัดบริเวณให้อยู่ในบ้านเป็นเวลาสองสัปดาห์ แต่เนื่องจากไม่เคยกระทำความผิดในกรณีนี้มาก่อนจึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือหนึ่งสัปดาห์ โดยไม่มีสิทธิ์ประกันตัว มันหมายถึงการที่เขาต้องยอมลาพักงานอย่างไม่มีทางเลือกและไม่มีข้อแม้ใดๆ อรสินีผู้เป็นประธานศาลและผู้พิพากษาไปในตัว แสดงความเห็นอกเห็นใจจำเลยบ้านอย่างสุดแสน แต่กฏก็ต้องเป็นกฏเพื่อความเป็นระบบระเบียบของสังคม
จะว่าไปแล้ว ภีมไม่ได้รู้สึกกังวลกับเรื่องการงานมากนัก ด้วยฐานะทางบ้านดี ขนาดว่าไม่ต้องทำงานก็มีเงินกินเงินใช้จากมรดกตกทอดและจากกองทุนสะสมส่วนตัว ให้อยู่อย่างสุขสบายตลอดชีวิต แต่การอยู่บ้านโดยไม่ได้ทำงาน เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในกรงขังไร้สภาพ ดีว่าขณะต้องอาญาภรรยาแสนสวยยังดูแลใส่ใจเขาเป็นอย่างดี ด้วยความรักความห่วงใยราวดูแลนกน้อยในกรงทอง
และในวันอาทิตย์ชายหนุ่มก็ตกตะลึงเมื่อสุธวัสเพื่อนรัก โผล่มาหาตั้งแต่เช้าพร้อมดอกกุหลาบช่อใหญ่ในมือกับการแต่งกายสุดเท่ ราวกับว่าจะไปออกเดทกับสาวๆ มันไม่แปลกอะไรกับพฤติกรรมของหนุ่มโสดผู้หล่อเหลาร่ำรวยจะถือดอกไม้ช่องามไปหาหญิงสาวสวย ถ้าไม่เพราะแต่สาวสวยที่ว่ากลับเป็นอรสินี
“แกลืมไปแล้วเหรอ ภีม ที่เราคุยกันร้าน” ผู้มาเยือนเมียเพื่อนกระซิบให้ระลึกถึงความหลัง เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางงงงันของหนุ่มเจ้าของบ้าน “ฉันทำตามที่ตกลงกันไว้ไง ฉันจะช่วยแกโดยการมาจีบคุณอ้อให้ติด นายอย่าห่วง รับรองได้ผลชัวร์”
ฟังแล้วอยากจะบ้าตาย ไม่นึกว่าเพื่อนตัวแสบจะกล้าทำจริง อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับว่าในอดีตสองคนเคยสนอกสนใจกันมาพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายชนะเกมรัก นี่เขาชักนำถ่านไฟเก่าเข้ามาในบ้านหรืออย่างไร อะไรก็ไม่ร้ายเท่าผู้เป็นภรรยาแสนรักมีท่าทางดีอกดีใจเป็นหนักหนาเมื่อมีหนุ่มหล่อมาเยือนถึงบ้าน ความห่างเหินระหว่างเพื่อนและภรรยาที่เคยมีลดช่องว่างลงอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นพูดคุยถูกคอกันแบบเหลือเชื่อ จนบางครั้งแทบลืมไปด้วยซ้ำว่า สามีคนดีที่หนึ่งยังนั่งหัวโด่อยู่ในบ้านอีกคน ทั้งสองท่าทีสีหน้ามีความสุขสนุกสนานราวรักแรกพบ
ไอ้เพื่อนเราเผาเรือน... ภีมได้แต่ขบกรามกรอด ทั้งที่คนชักนำศึกเข้าบ้านเป็นตัวเองแท้ๆ นี่ล่ะนะ...โบราณถึงว่า ‘อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจเพื่อน’
หลังจากนั้นเป็นต้นมา สุธวัสแวะมาบ้านทุกเย็นพร้อมของฝากติดไม้ติดมือมาทุกครั้ง ท่าทางของเพื่อนตัวแสบไม่รู้สึกรู้สมเลยว่ากำลังสร้างความหงุดหงิดกับหนุ่มเจ้าของบ้านมากขึ้นทุกที แถมยังมีสีหน้าท่าทางราวกับกำลังสละตัวเองเพื่อความสงบสุขของโลก จนทำให้สงสัยว่าแกล้งโง่ หรือทำไปด้วยความหวังดีกันแน่
และก่อนเที่ยงวันพุธ ภีมสังเกตว่าภรรยาของคนแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามเป็นพิเศษราวกับจะเตรียมตัวไปงานแต่งงาน แล้วคำตอบก็มาพร้อมกับสุธวัสผู้ทะลึ่งโผล่มาตั้งแต่ก่อนเที่ยงด้วยซ้ำ
“เราจะไปซื้อของกันค่ะ” อรสินีบอกด้วยน้ำเสียงแจ่มใสตาเป็นประกาย “ความจริงเราก็อยากให้ภีมไปช่วยถือข้าวถือของด้วยนะคะ แต่เสียใจว่าภีมยังต้องโทษจำบ้านอยู่ จนกว่าจะถึงวันเสาร์โน่นค่ะ ไว้วันนั้นค่อยว่ากันอีกทีนะคะ”
“ไปกับเจ้าสุนี่นะ...” ชายหนุ่มร้องอย่างไม่เชื่อ หันไปมองเพื่อนตัวแสบผู้ยืนพิงรถคันหรูผู้แอบยักคิ้วหลิ่วตาให้แล้วพาลเดือดปุดๆ เจ้าบ้านี่กล้าขนาดพามัยเพื่อนไปเที่ยวซื้อของด้วยกันสองต่อสอง มันจะมากไปแล้วนะ...แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเสียงหวานใสของภรรยาเจื้อยแจ้วต่อไปว่า
“ไม่ต้องห่วงอะไรนะคะ ถ้ากลับเย็นหน่อยแสดงว่าพวกเราไปทานข้าวแล้วอาจพากันดูหนังสักรอบ ฝากดูแลบ้านด้วยนะคะ”
ชายหนุ่มรู้สึกหูอื้อประสาทชาจนแทบฟังอะไรไม่รู้เรื่อง มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว หวังว่าเจ้าเพื่อนตัวแสบคงไม่ละเมิดสัญญาข้อตกลงที่เคยบอกว่า ห้ามแตะเนื้อต้องตัวเป็นอันขาด แต่จะไว้ใจได้อย่างไร หญิงชายไปทานข้าวด้วยกัน ไปซื้อข้าวซื้อของด้วยกัน ไปดูหนังและคงจะเป็นหนังรักแสนหวาน ดูไปดูมาคงต้องเคลิบเคลิ้มจับไม้จับมือกันในที่สุด และอาจถึงขนาดนั่งสนิทอิงแอบชิดแนบกันด้วยใครจะไปรู้ เมื่อบรรยากาศเป็นใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้
“คนเราต้องไว้ใจกันนะคะ” นั่นเป็นคำพูดของผู้เป็นภรรยาก่อนหน้าระรื่นชื่นใจออกจากบ้านไปกับเพื่อนรัก ภีมได้แต่มึนงงกับชีวิต บอกว่าคนเราต้องไว้ใจกัน แต่ทำไมเขาไม่เคยได้รับความไว้ใจจากอีกฝ่ายเลย ทั้งที่หลังแต่งงานมาไม่ได้ไปนอกใจทำอะไรกับใคร
ออกไปดูโลกภายนอกเสียบ้างก็ดี....ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลปลอบใจตัวเอง จะได้รู้ว่าโลกภายนอกก้าวไปถึงไหนแล้ว ไม่บ่อยครั้งเลยกับการอยู่บ้านคนเดียว อย่างน้อยทำให้รู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาบ้าง ยืนมองแผ่นป้ายบัญญัติหลายสิบประการข้างผนังด้วยความไม่พอใจ ไม่คิดว่าการทำขึ้นมาเล่นๆจะกลายเป็นข้อบังคับเผด็จการไปได้
ไมโครชีพ....ใช่แล้ว ทำไมไม่ลองตรวจหาดูว่ามันถูกฝังไว้ที่ไหนกัน ถ้าตรวจหาเจออาจพอมีทางทำลาย แต่พอนึกดูแล้วก็ใจแป้ว เพราะถึงจะถูกทำลาย ภรรยาก็ต้องรู้อยู่ดีเมื่อสัญญานหายไปจากเครื่องรับ เธอจะต้องหาทางเล่นงานด้วยกฏหมายไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง
เจ้าเพื่อนตัวแสบเคยเล่าให้ฟังว่า ในวงการสินค้าตลาดมืด ระเบิดจิ๋วสามารถฝังไว้ในอวัยวะสำคัญ ควบคุมการทำงานด้วยระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าหากมีการใช้งานผิดประเภทพ้นออกไปจากรัศมีภายในบ้าน ระเบิดจิ๋วจะทำงานด้วยการระเบิดทำลายตัวเองและทำลายอวัยวะส่วนนั้นทันที ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่อย่างไร แต่ก็ทำให้อดร้อนๆหนาวๆไม่ได้ เริ่มไม่แน่ใจว่าในร่างกายโดนฝังระเบิดอันตรายหรือไม่ เพราะอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ตะวันบ่ายคล้อย กระทั่งความมืดเริ่มมาเยือน ทั้งสองคนยังไม่กลับมา ชายหนุ่มยิ่งทวีความหงุดหงิดเพราะรู้สึกว่ามันนานเกินไปแล้ว หลายครั้งเกือบจะยกโทรศัพท์กดเบอร์โทรถามข่าวคราวว่าไปถึงดาวดวงไหนแล้ว แต่นึกได้ว่าการถูกลงโทษหมายถึงการงดใช้เครื่องมือสื่อสารต่างๆ ไปด้วย ความหวังจึงดับวูบลง อย่างไรก็ตาม เพื่อนตัวแสบและภรรยากลับมาในตอนค่ำด้วยใบหน้ารื่นเริงแจ่มใสกันทั้งคู่ พร้อมข้าวของพะรุงพะรังเป็นบ้าหอบฟาง ด้วยท่าทางราวกับเป็นคู่รักมือใหม่ สุธวัสแอบหลิ่วตายักคิ้วให้เขา แต่ภีมไม่สามารถแปลความหมายรหัสพิสดารได้ อีกทั้งไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ จึงไม่รู้ความนัยแอบแฝง จะถามให้รู้เรื่องอรสินีก็พาเพื่อนรักไปส่งที่รถเสียแล้วด้วยทีท่าอำลาอาลัย
“ภีมทานข้าวเลยนะคะ อ้อทานข้าวมาเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายภรรยาสุดที่รักบอกด้วยความหวังดี เมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งรออยู่ในห้องอาหารพร้อมไข่เจียวที่อุตส่าห์ทำไว้รอ แน่ล่ะ...ข้าวไข่เจียวง่ายๆหรือจะสู้เมนูหลากหลายในภัตราคารร้านอาหารหรูหราได้ พ่อครัวจำเป็นเลยต้องนั่งทานข้าวคนเดียวอย่างฝืนๆ ใจหนึ่งอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าพากันไปไหนมาไหนทำอะไรมาบ้าง แต่อีกฝ่ายก็แวบหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านเสียแล้ว
คีนนั้นชายหนุ่มนั่งดูการ์ตูนด้วยความรู้สึกไม่สงบสุข หลับๆตื่นๆ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกับฝันร้ายฝันสยองรบกวนจิตใจตลอดเวลา จนทำให้รุ่งเช้าของวันพฤหัสมีอาการโผเผสะลึมสะลืออย่างเห็นได้ชัด เมื่อคืนฝันว่าเห็นป้ายบัญญัติหลายสิบประการกระโดดลงมาจากผนังห้องนั่งเล่น กลับเป็นปีศาจไล่ล่าทั้งคืน อะไรก็ไม่ร้ายเท่าปีศาจในความฝันมีสองหัว ใบหน้าเหมือนเพื่อนรักและภรรยาไม่มีผิด พอตื่นขึ้นมาจากความฝัน ยังมีอาการใจสั่นไม่หาย
ชายหนุ่มพยายามปลงตกไม่คิดอะไร แต่เหตุการณ์เหมือนเลวร้ายลงไปอีก เมื่อช่วงสายของวันพฤหัส สุธวิสโผล่หน้ามาอีกแทบจะเป็นเวลาเดียวกับอรสินีโฉบลงมาจากห้องนอนในชุดสวยงาม ราวกับนัดกันไว้ก่อน
“คุณสุรับปากจะพาอ้อไปทำธุระต่างจังหวัด ภีมอยู่บ้านดีๆนะคะ ที่จริงอ้อจะชวนคุณไปแต่บังเอิญว่าภีมต้องอาญาอยู่ เลยอดไป ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ต้องห่วง อ้อดูแลตัวเองได้ โดยเฉพาะไปกับผุ้ช่วยนางเอกอย่างคุณสุ ยิ่งไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ฝากดูแลบ้านด้วยนะคะ”
ภีมอ้าปากค้าง
ไม่เกรงอกเกรงใจกันบ้างหรืออย่างไร สุธวัสแอบขยิบตาให้ราวกับส่งส่งรหัสบางอย่าง แต่เป็นรหัสลึกลับไม่เข้าใจเอาเสียเลย เพราะสามารถแปลไปได้ทั้งเชิงบวกเชิงลบ เพื่อนรักอาจจะรักษาสัญญาก็ได้ หรือในทางตรงกันกันข้าม....เมียแกเสร็จฉันล่ะ
มีคำพูดมากมายที่ยังไม่ได้พูด แต่ทุกคำพูดกลืนหายเข้าไปในลำคอ ได้แต่มองรถเก๋งคันงามพาภรรยาสาวสวยออกจากบ้านไปด้วยหัวใจอันสับสนเจ็บปวด
เป็นไปได้ไหมว่า ถ่านไฟเก่าจะครุกรุ่น
สุธวัสเป็นผู้ชายในฝันของบรรดาสาวๆ เพราะคุณสมบัติเพรียบพร้อมทุกอย่าง หล่อ รวย การงานดีมีหน้าตาชื่อเสียง ไม่เป็นเกย์ อรสินีเป็นคนสวยน่ารัก จะว่าไปแล้วทั้งคู่เหมาะสมกันเหลือเกิน เป็นไปได้ไหมว่า เธอเลือกผิด มาแต่งงานกับเขา ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ตัวเองรู้สึกเพื่อนและภรรยามากแค่ไหน ทำไมยิ่งคิดคนทั้งสองกลับคล้ายดูคนแปลกหน้ามากขึ้นทุกที ขนาดชวนคิดไปว่าอีกไม่กี่วันถ้าเดินสวนทางกันคงไม่เอ่ยปากทักทาย กลายเป็นคนแปลกหน้า
ถ้าเป็นจริงอย่างที่คิดล่ะ
ไม่...เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรรุนแรง สำหรับชายหนุ่มแล้ว ความรักคือความรัก ไม่มีต้องให้คำนิยามและไม่ทำร้ายใคร แม้จะอดทนฝืนใจอย่างไรเขาคงต้องยินยอมสละหัวใจตัวเอง
...ด้วยเขาเป็นเพื่อน ร่วมคำสาบานของพี่
น้ำใจเขานั้นช่างดี สมที่จะครองน้องได้
อย่าได้คิด และห่วงพี่นะดวงใจ
จะขอเจอะกันชาติใหม่ ชาตินี้พี่ต้องขอลา...
ถึงจะเศร้าซึมปานใด ชายหนุ่มยังอดร้องเพลง ผู้เสียละ ของสายัณคนเก่า พี่เป้าคนเดิม ไม่ได้
... ...ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์
น้ำสังข์จะหลั่งลงพลัน ด้วยมือพี่หลั่งรดให้
ไปสู่เรือนหอ ที่สร้างรอรับดวงใจ
ชาตินี้พี่จำจากไกล สู่แดนแห่งรสพระธรรม...
สู่แดนแห่งรสพระธรรมเหรอ เฮ้ย....พอร้องจบท่อนนี้ชายหนุ่มถึงกับผวา คิดในใจว่า ตูข้าจะออกบวชเมื่อไร... อารมณ์เตลิดกับบทเพลงมากไปหน่อย จนเคลิ้มนึกไปว่าตัวเองจะออกบวช ค่อยยังชั่ว.. แหม...ใจหายหมด...เป็นแค่เพลง ขืนบวชก็อดดูการ์ตูนเป็นแน่แท้
.