อุ้งมือเธอ.........2

กระทู้สนทนา
จากท้ายบทที่แล้ว

             หลังจากอาบน้ำอาบท่า ทานอาหารบนโต๊ะในห้องครัวเสร็จเรียบร้อย  ชายหนุ่มก็กลับมานั่งโซฟาตัวโปรดเปิดการ์ตูนดูรายการแมวกับหนูฆ่าเวลา  จนเวลาสามทุ่ม เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือกดหมายเลขออกไปหาสุธวัสเพื่อนสนิทรู้ใจกันที่สุด

             ...........................


             หลังจากพูดคุยกันพักหนึ่ง  ภีมนั่งดูการ์ตูนรอเวลาต่อไปอย่างคนเก็บกด อย่างน้อยเป็นเวลาสิบห้านาทีก่อนหลบเข้าห้องพักฉุกเฉินซึ่งอยู่ติดกับห้องนั่งเล่น เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าตามสบายไม่ซีเรียส ปิดไฟในห้อง เปิดประตูหลังบ้านอย่างระมัดระวัง เดินลัดเลาะออกไปตามเส้นทางส่วนตัว ที่วางทางเดินไว้หลบหลีกกล้องวงจรปิดโดยเฉพาะ  จนออกมาถึงถนนหน้าปากซอย รถเก๋งคันหนึ่งรออยู่แล้ว รับผู้โดยสารพิเศษ หลังจากนั้นรถคันดังกล่าวก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

             ห้องอาหารหรูแถวชานเมือง บรรยากาศจัดไฟแสงสีสลัว อาหารอร่อย ดนตรีไพเราะ พนักงานสาวสวยประดับใบหน้าด้วยรอยยิ้มและบรรจุตัวเองลงในชุดวาบหวิวชวนวูบไหวใจสั่น  ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยเที่ยวและวัยดึก ราวกับเป็นแหล่งหลบภัยพิบัติจากทางบ้าน  แต่บางคนก็คงออกมาดื่มกินโดยทางบ้านไม่มีปัญหา หรือไม่ก็คงหาเหตุผลให้กับความชอบธรรมของตัวเองก็เป็นได้ มนุษย์เรามีกลไกในการหาเหตุผลเข้าตัวเองได้เสมอ

             เพื่อนผู้แสนดีของภีม ลงทุนออกจากบ้านทั้งที่กำลังจะเข้านอน แต่ด้วยความเป็นหนุ่มโสดทำให้สุธวัสไม่มีปัญหาในการอกจากบ้านยามค่ำคืนเหมือนคนบางคน พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังออกอาการเก็บกดก็รีบบึ่งรถออกจากบ้านทันที  แน่นอนว่าพวกหนุ่มๆจะพากันไปพักผ่อนหย่อนใจที่ไหนได้ นอกจากแหล่งอโคจรตอนกลางคืน กับเครื่องดื่ม เสียงเพลง และแสงสีสวยงดงามยามราตรี โดยมี ‘อาหารสายตา’ บางอย่างเป็นกับแกล้มอีกต่างหาก ใครบ้างล่ะจะไม่อยากดูของสวยๆงามๆ

             เมืองกรุงไม่เคยหลับไหลจริงๆ

             “ภีม นายเหลือเวลาอีกชั่วโมงเดียว อย่าลืมก็แล้วกัน”

             สุธวัสเตือนเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมัวแต่จ้องมองการเคลื่อนที่ลีลาสวยของบรรดาพนักงานสาว ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่มีเบื่อหน่ายกับมวลสารมีชีวิตจิตใจน่าดูน่าชม  งานศิลปะแสนสวยไม่ใช่ภาพวาดหรือภาพเขียน แต่เป็นศิลปะชั้นสูงแทรกอยู่ในอิริยาบทแห่งการเคลื่อนไหว อย่างมีชีวิตชีวาแห่งเรือนกายนี่เอง

             “รู้น่า ยังไงนายก็ต้องไปส่งฉันอยู่ดี”

             หนุ่มหนีเมียพยักหน้ารับรู้  ก่อนรีบดื่มเหล้าในแก้วให้หมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะสาวน้อยดูแลโต๊ะกำลังโฉบมาพร้อมรอยยิ้มหวานจนทำให้หัวใจแทบละลายลงไปกองใต้โต๊ะ  ถ้าอยากพูดคุยกับพวกเธอต้องรีบดื่มเหล้าในแก้วให้หมด เพื่อสร้างโอกาสในการสื่อความหมายด้วยคำพูดและสายตา พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติแทบทั้งนั้น และมักจะมีครอบครัวกันหมดแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา  เพราะสองหนุ่มไม่ได้คิดอะไรไกลเกินมากไปกว่าความเหมาะสมทางจริยธรรม เพียงเห็นรอยยิ้มหวาน พูดคุยกันบ้างก็ผ่อนคลายแล้ว ไม่เคยคิดจะติดตามไปส่งถึงบ้านให้สยองศีรษะ

             หลังการชงเหล้าให้อย่างชำนาญน่าดูน่าชม คำทักทายตามมารรยาทและรอยยิ้มมีความหมาย ก่อนพลิ้วกายย้ายร่างไปดูแลโต๊ะอื่น สุธวัสหนุ่มผู้รักเพื่อนขนาดยอมออกจากบ้าน พาเพื่อนมาดื่มกินเป็นการปลอบใจ ถามต่อไปว่า

             “นายจะทำยังไงต่อไป  อยู่ด้วยกันได้แน่เหรอเพื่อน”

             “ก็ต้องอยู่”  ภีมเปลี่ยนรอยยิ้มหวานหลงเหลือเป็นรอยแห้งแล้ง  “ทำไงได้ล่ะ ทะลึ่งแต่งงานไปแล้ว และที่สำคัญฉันเองก็ยังรักอ้ออยู่เสมอ”

             “ขนาดทำกับนายขนาดนี้น่ะนะ นายไม่ใช่สัตว์เลี้ยงแสนรักนะเฟ้ย”

             ”อื้อ...”

             สุธวัสฟังคำตอบแบบสั้นๆราวกับยอมรับชะตากรรมโดยดุษณี แล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร เพราะเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางที่เพื่อนรักของเขาเลือกทางเดินเอง โดยมีเขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เพื่อส่งเพื่อนไปสู่อุ้งมือเมีย นึกถึงอดีตเจ้าสาว อรสินีสาวสวยน่ารักมารยาทดีพูดจาเรียบร้อย ภาพฝันแสนงามเป็นที่หมายปองของหนุ่มทั้งหลาย ใครบ้างจะคิดว่าเธอจะกลับกลายเป็นฝันร้ายแห่งความเป็นจริงไปได้  แต่อะไรก็ไม่สำคัญว่าภีมยังมีความรักต่อศรีภรรยาอยู่อย่างเหนียวแน่น

             “ถึงร้ายก็รัก  มันคงเป็นเพราะชาติที่แล้วถ้ามีจริง ฉันคงโหดร้ายกับเธอมาก ไม่เป็นไร ทนได้ก็ทน...”

             “ทนไม่ได้ก็ปฏิวัติเลยเจ้าภีม”

             “ฉันกลัวว่าจะกลายเป็นพวกก่อกบฏ หรือพวกก่อการร้ายโดนประหารชีวิตว่ะเพื่อน”

            แล้วสองหนุ่มก็พากันหัวเราะเสียงดังชอบใจ เวลาอยู่กับภรรยาภีมไม่สามารถหัวเราะออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะอรสินีบอกว่า เขาหัวเราะไม่สวยงามไม่เก็บอาการ เวลาอารมณ์ดีอยากหัวเราะก็ต้องหัวเราะอย่างสุภาพเรียบร้อย ให้สมกับเป็นเขยนายทหารใหญ่ผู้มีหูตาเป็นสับปะรด ถ้าภาพเขยตัวดีหัวเราะปากกว้างกลืนโลก หลุดออกไปสู่สาธารณะชนย่อมเป็นที่เสื่อมเสียชื่อเสียง

             ทันใดนั้นเอง ภีมตบเข่าฉาด หันไปเขย่าบ่าเพื่อนเหมือนกับเพิ่งนึกอะไรออก พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

             “เอางี้ไหมเจ้าสุ   นายช่วยไปจีบอ้อหน่อย นายเองก็ยังโสด ถ้าจีบติดให้เธอหลงไหลได้ปลื้มหัวทิ่มหัวตำ ฉันจะได้เอาเป็นข้ออ้างยกเลิกบัญญัติหลายสิบประการในบ้าน  นึกว่าช่วยๆกันหน่อย รับรองว่าฉันจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เปิดโอกาสให้เต็มที่”

            “จะบ้าเหรอ”  สุธวัสแทบสำลักเหล้าในปาก  “มีที่ไหน จะให้ไปจีบเมียตัวเอง คิดได้ไงวะ อยู่ดีไม่ว่าดีหาต้นงิ้วให้เพื่อนปีนเล่นซะยังงั้น พ่อตาแกเล่นฉันตายแน่ ยังไม่อยากถูกอุ้มไปปรับทัศนคติโว้ย... ไม่มีทางหรอก...  และอย่าลืมว่าฉันมันมนุษย์หล่อ  เกิดคุณอ้อติดใจในความหล่อและคุณงามความดีของฉัน นายจะเสียใจร้องไห้ขี้มูกโป่ง ”

             “น่า...นึกว่าช่วยกันหน่อย”

             ภีมยังไม่ละความพยายามในการปลดแอก โดยอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนรัก เพราะเริ่มมองเห็นช่องทางแล้วว่ามีความเป็นไปได้ บางครั้งความร้ายกาจจะต้องแก้ด้วยความร้ายกาจยิ่งกว่า ผิดด้วยหรือกับการดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ  ชายหนุ่มไม่ใช่ต้องการหลบหนีไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว เพียงอยากปลดเปลื้องข้อตกลงแห่งบัญญัติหลายสิบประการออกไปบ้างเท่านั้น ก่อนจะบ้าตายทั้งเป็น เพราะอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ยังรักมั่นคงกับภรรยาอย่างไม่มีเสื่อมคลาย รอยยิ้มแสนหวานคำพูดนุ่มนวล เรือนกายหอมกรุ่นของเธอยังประทับตรึงตราติดใจไม่มีลืมเลือน

             “ฉันมีข้อแม้เพียงข้อเดียว นายจีบเธอได้ด้วยคำพูดเท่านั้น ห้ามแตะเนื้อต้องตัวเป็นอันขาด ยังไงอ้อก็เป็นเมียฉัน ถ้ามีอะไรเกินเลยฉันฆ่านายแน่”

             “อยางนี้มันก็ไม่สมจริงสมจังสิ ของพรรค์นี้ต้องปากว่ามือถึง”

             “ไอ้บ้า...” ภีมแยกเขี้ยวเงื้อกำปั้น อีกฝ่ายหัวเราะก๊าก

             “นั่นแน่...นายหึงเมียตัวเองแล้วใช่ไหมล่ะ”

             “จะบ้าเหรอ คนอย่างฉันจะหึงเมียตัวเองไปทำไม ฉันเป็นคนให้เกียรติและเชื่อใจอ้อเสมอ คำว่าหึงไม่เคยบรรจุอยู่ในพจนานุกรมส่วนตัวของฉัน ไม่มีทาง”

            “แน่ใจที่พูดนะ”  น้ำเสียงของสุธวัสเริ่มออกอาการความเจ้าเล่ห์ เป็นที่ทราบกันว่าครั้งหนึ่งในอดีต เขาเองก็เคยชอบเคยหลงอรสินีมาก่อน แต่เมื่อรู้ว่าเธอมีใจให้เพื่อนรักมากกว่า เขาก็ยอมตัดใจถอยหลังออกมาอย่างลูกผู้ชายไม่ยอมเป็นอุปสรรคขวางทางรักของใคร

             ขณะกำลังพูดคุยดื่มกินกันอย่างจริงจังในเรื่องสำคัญ บรรยากาศสวยงามวับแวมเปลี่ยนเป็นอึมครึมกะทันหัน เงาร่างทะมึนปรี่มาจากทิศทางใดไม่ทันสังเกต รู้ตัวก็ประชิดติดตัวเสียแล้ว

             “คุณภีมใช่ไหมครับ”

             หนึ่งในจำนวนสามคนเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น มองชุดสวมใส่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกสารวัตรทหาร ทั้งสองรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดที่ผิดทางอย่างไรชอบกล  สายตาเข้มคนถามจ้องมองภีมแน่วแน่ราวกับจะรู้มาก่อนแล้วว่าใครเป็นใคร เป็นการเอ่ยถามตามมารยาทเท่านั้น เพราะไม่ได้สนใจอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเลย

             “ผมเอง มีอะไรหรือครับ”   หนุ่มหนีเมียเที่ยวรับปากอย่างงุนงง จะว่าเป็นการระแคะระคายจากอรสินีก็ไม่น่าใช่ เพราะเขารู้นิสัยของเธอดีว่า ถ้าเข้าห้องนอนแล้วจะไม่ออกมาอีกเป็นอันขาด จนกว่าจะถึงรุ่งเช้า

             “มีคำสั่งลับเชิญคุณภีมไปปรับทัศนคติครับ”

             “เฮ้ย..จะมากไปแล้ว”

             คนลุกพรวดพรวดขึ้นยืนก่อนกลับเป็นสุธวัส เข้าจ้องมองหน้าสารวัตรทหารแบบไม่เกรงกลัวกับร่างสูงใหญ่  “เราแค่มานั่งดื่มกินเท่านั้น ไม่ได้ไปปล้นฆ่าใคร ไม่ใช่พวกผู้ก่อการร้ายจะมาอุ้มกันง่ายๆแบบนี้เหรอ”

             “เป็นคำสั่งลับครับ โปรดให้ความร่วมมือด้วย กรุณาอย่าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เลยครับ  รับรองว่าไม่มีอะไรร้ายแรง”

             มือแข็งแรงกึ่งดันกึ่งบังคับให้สุธวัสต้องยอมนั่งลงไปอย่างไม่เต็มใจ ชายหนุ่มฉลาดพอจะรู้ว่าไม่ควรใจร้อน โต้ตอบกับกลุ่มทหารผู้มีกำลังเหนือกว่า ทหารเป็นพวกชำนาญในการต่อสู้ มีหรือคนธรรมดาอย่างเขาจะไปต่อกรด้วยแบบซึ่งหน้า ทั้งยังอาจมีอาวุธร้ายติดตัวมาด้วยก็ได้ ภีมเห็นท่าไม่ดีรีบหันไปยกมือเป็นเชิงห้ามปรามเพื่อน ก่อนลุกขึ้นยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องอะไร บอกว่า

             “ไม่เป็นไรเพื่อน ไม่มีอะไร นายกลับบ้านไปก่อนมีอะไรฉันจะติดต่อเอง ไม่ต้องห่วง”

             “แน่ใจนะเพื่อน”

             “น่า ไม่มีอะไร”

               พูดจบชายหนุ่มรีบก้าวเท้าเดินนำหน้าออกจากร้านอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวเพื่อนรักจะเปลี่ยนใจเพราะความเป็นคนไม่ยอมคนและใจร้อน ดูสถานการณ์แล้วไม่มีอะไรร้ายแรง  จะอุ้มไปนั่งยางก็ให้รู้ไปมีพยานรู้เห็นมากมายหลายคน เพียงสงสัยว่าทำไมถึงถูกพวกสารวัตรทหารรู้ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ได้เท่านั้นเอง

             ดีว่าไม่มีการใส่กุญแจมือ คลุมศีรษะ ปิดตาด้วยผ้าดำ พวกทหารปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพแต่เด็ดขาด ตามแบบฉบับของนักรบ และในที่สุดชายหนุ่มก็ต้องฝืนยิ้มเมื่อเริ่มรู้ว่าปลายทางไม่ได้อยู่ในค่ายทหาร แต่เป็นบ้านของเขานั่นเอง

             และที่ทำให้ใจหายวาบคือ เมื่อประตูบ้านเปิดออก อรสินียืนรออยู่หน้าบ้านกลางแสงไฟราวนางฟ้าสวยประหาร

             เป็นครั้งแรกกับการทำผิดไปจากปกติวิสัย เพราะเธอไม่เคยออกจากห้องนอนเลยเมื่อเข้าห้องนอนไปแล้ว เพียงวันนี้มีบางอย่างไม่ธรรมดา สีหน้าท่าทางของหญิงสาวไม่ได้มีแววอำมหิตคิดร้ายหรือแผ่รังสีแห่งการฆ่าฟันเลยสักนิด ใบหน้างามยังคงมีรอยยิ้มนุ่มนวลชวนฝันอย่างปกติ  แต่ในความสงบราบเรียบไร้วี่แววของพลังแห่งการทำลายล้าง กลับทำให้ชายหนุ่มใจหายอย่างบอกไม่ถูก เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พวกสารวัตรทหารจะต้องเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กับการบุกอุ้มเขาออกจากแหล่งอโคจรกะทันหัน

             พวกสารวัตรทหารรายงานผลปฏิบัติงานอย่างนอบน้อมกับนายหญิงสามัญประจำบ้าน และล่าถอยออกไปอย่างมีระบบระเบียบ ภรรยาของเขาคงทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้อยู่เบื้องหลัง และจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคุณพ่อตาผู้ทรงบารมีนั่นเอง ถึงมีบารมีสามารถสั่งให้พวกสารวัตรทหารดำเนินการ ‘อุ้มสายฟ้า’ เป็นผลสำเร็จ

             ภีมเดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าท่าทางไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก ความรู้สึกผิด อับอาย เสียเชิง ผสมผสานกันอยู่ในสีหน้าและแววตา เมื่อแผนการหนีเมียไร้เงาครั้งแรกก็ถูกจับได้เสียแล้วแบบสิ้นท่า



.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่