เล่ห์รักหัวใจ ตกกระไดพลอนโจน ตอนที่ 13

ลมทะเลพัดปะทะใบหน้าของฉัน อย่างต่อเนื่อง เสียงคลื่นทะเลกับเสียงเรือด่วน ดังกระหึ่มจนฟังสามทหารหนุ่มที่คุยเล่นหัวกันไกลออกไปได้ไม่ถนัดนัก พันโทนายแพทย์จักรินทร์ในชุดทหารเต็มยศสีกากี เดินเข้ามาใกล้ กระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

"อีกประมาณสิบนาทีก็ถึงแล้วครับ"

"คุณตื่นเต้นไหมคะ ที่ได้กลับมาที่นี่อีก" ฉันมองหน้าเข้ม ที่มีรอยยิ้มระบายทั่วใบหน้า

"ครับผม เกาะหน้าเหมือนบ้านของผม เดี๋ยวไปถึงคุณจะรู้ว่าทำไม"

ไม่นานนัก เรือยนต์ทหารก็พาเราเข้าเทียบท่าเรือเกาะหน้า ที่ยื่นออกมาในทะเล โดยมีเรือยนต์ของทางราชการทหารหน่วยเกาะหน้า จอดลอยลำเทียบท่าอยู่ประมาณสิบลำ

"เกาะหน้าเป็นเกาะทหาร สมบัติของทางราชการทั้งเกาะครับ ทางด้านนี้เป็นท่าเรือเข้าออก รับส่งทหารไปกลับฐานทัพ และขนส่งลำเลียงข้าวของเครื่องใช้"

ผู้พันหมอเริ่มแนะนำสถานที่เมื่อเราทั้งห้า รวมไปถึงพลขับ เดินขึ้นท่าเรือ จ่าพร้อยกับพลขับ ทำหน้าที่ลำเลียงของในเรือ ที่เป็นอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องอุปโภคและบริโภคอื่นๆ รวมไปถึงยารักษาโรค และเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆ ส่งให้นายทหารสองนายที่มารอรับที่ท่าเรืออยู่ก่อนแล้ว

"จักร นายพาคุณหมอกไปที่พักก่อนก็ได้ ฉันจะอยู่จัดการกับของพวกนี้กับจ่าพร้อยเอง" ผู้กองพันวากล่าว

"เออขอบใจนะ" จักรินทร์ตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ ก่อนพาฉันเดินตามทางปูนลาดยาวไปจนถึงชายหาด

"ทางตอนเหนือของเกาะเป็นร่องน้ำลึก เราเอาไว้เป็นที่อู่ซ่อมแซมเรือใหญ่ และเป็นจุดเติมน้ำมัน ให้แก่เรือยนต์ และเรือหลวงต่างๆ ที่ออกตะเวนตรวจตราในระแวกนี้ อีกทั้งเป็นที่ตั้งของระบบไฟฟ้าน้ำประปา และสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยบนเกาะนี้ รวมถึงการบริหาร การทำงานของทหารทุกนายที่นี่"

ผู้พันหมอพาฉันไปหยุดที่ป้อมยามหน้าหาด ลงชื่อเขาและฉัน ในสมุดบันทึกการเข้าออก และแนะนำฉันให้นายทหารประจำยามได้รู้จัก

"เราจะมีการลงชื่อเข้าออกทุกครั้ง ที่มีการเข้าและออกจากเกาะ เราจะบันทึกว่าใคร ไปทำอะไร ที่ไหน และคาดว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เราอยู่กับน้ำ กับฟ้า ดินฟ้าอากาศแปรปรวนเสมอ ทหารยามจะทำหน้าที่คอยเช็กว่า ใครที่ออกเรือไป แล้วสมควรจะกลับมาเวลาไหน เมื่อถึงเวลากลับแล้ว หากยังไม่กลับมาสักที จะแจ้งหน่วยลาดตระเวนทันที ให้ออกไปค้นหา เผื่อว่าเรือจะเสียกลางทาง หรือจะประสบภัยเพราะเจอมรสุมพายุ"

เขาพาฉันลัดเลาะหาดทรายมาตามทางเดิน และมาหยุดที่ทางแยก

"เพื่อกันการหลง คุณหมอกจำป้อมยามไว้นะครับ เลี้ยวซ้ายไปบ้านพักนายทหาร เลี้ยวขวาไปหน่วยงานสำนักงานของผม" เขาพาฉันเลี้ยวซ้าย เดินมาสักระยะจะเป็นโรงจอดรถทหารสีเขียวจอดเรียงราย นายทหารประจำหน่วยวิ่งเยาะๆ มาทำความเคารพอย่างเคร่งครัด

"ผู้พันหมอครับผม ขอต้อนรับสู่เกาะหน้าครับผม"

"ขอบใจจ่าแสน ผมดีใจที่ได้กลับมาอีก" ผู้พันหมอแนะนำฉันให้จ่าแสน ที่ดูแลหน่วยยานยนต์และเรือยนต์ ให้ฉันได้รู้จักก่อนที่จะรับกุญแจเขา

"จากโรงรถไปถึงส่วนที่เป็นบ้านพักนายทหารไม่ไกลนัก แต่ถ้าเดินไปก็จะใช้เวลาพอสมควร"

เขาเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ระหว่างทางที่เราขับรถ มุ่งหน้าไปบ้านพักนายทหาร ซึ่งใช้เวลาไม่นานอย่างที่เขาบอก เราก็มาถึงหมู่บ้านพักนายทหาร เป็นอาคารยาวชั้นเดียว ก่อด้วยปูน ทาสีขาว มีอยู่แปดอาคาร แต่ละอาคารแบ่งเป็นแปดห้องด้วยกัน เขาขับรถตามทางผ่านอาคารพักนายทหาร ไปสุดทางรถเป็นเรือนไม้สองชั้น ชั้นล่างเปิดโล่ง แต่แบ่งสัดส่วนเป็นที่นั่งเล่น และลานโล่งอเนกประสงค์ เขาจอดรถหน้าเรือนไม้ที่ทาสีฟ้าอ่อน ก่อนที่จะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ฉัน

"ถึงแล้วครับบ้านของเรา" น้ำเสียงที่เขาพูด บ่งบอกถึงความรู้สึกที่เขามีต่อบ้านหลังนี้มากนัก ซึ่งมันช่างแตกต่างกันเมื่อเทียบกับวันที่เขาพาฉันไปที่ ..บ้านราชสีหะกรมม์..

ฉันมอง ..บ้าน.. ที่เหมือน บ้านพักอาศัยทั่วไป ที่ดูพื้นๆ ไม่มีอะไรหรูหราสะดุดตา เหมือนบ้านของคุณหญิงจารุวรรณ หรือแม้แต่บ้านพักผู้พันหมอที่ฐานทัพ แต่เมื่อได้เดินขึ้นบันไดเข้าตัวบ้านไป ด้านหน้าเปิดโล่งไปเป็นห้องนั่งเล่น และมีห้องครัวแบบฝรั่ง เครื่องตกแต่งภายในบ้านตั้งแต่โซฟา ที่นั่งและเครื่องเรือนต่างๆ เป็นแบบเรียบง่าย แต่สิ่งที่สะดุดตามากที่สุด คือภาพถ่ายใบใหญ่ เหนือโซฟาในห้องรับแขกคือภาพถ่ายของ บิดามารดา ของนาวาโทนายแพทย์จักรินทร์

"บ้านของพ่อกับแม่ของผม ท่านทั้งสองรักที่นี่มาก ท่านเลยขออนุญาตทางการ ขอสร้างที่พักส่วนตัวด้วยเงินส่วนตัวของท่านเอง ท่านตกแต่งแบบง่ายๆ เพราะท่านทั้งสองไม่ชอบความหรูหราอะไร คุณพ่ออยู่ที่นี่นานกว่าที่ไหน ส่วนคุณแม่ไม่เคยห่างคุณพ่อไปไหนเลย คุณแม่บอกว่าท่านอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ คุณพ่อก็พอ"

น้ำเสียงและแววตายามที่เขาพูดถึงบิดามารดาของเขานั้นอ่อนโยน และแสดงถึงความรักใคร่อย่างที่สุด

"ผมต่างหากที่ไม่ได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ท่านทั้งสองเท่าไหร่" ดวงตาที่อ่อนโยนปรับเปลี่ยนแวววับ อย่างประหลาด แต่เพียงพักเดียวก็หายไป

"คุณจักรมาพักที่นี่นานแล้วหรือคะ" ฉันมองดูรูปภาพต่างๆ ในกรอบรูปขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ที่ส่วนใหญ่เป็นรูปของเขาที่ระดับอายุแตกต่างกันไป

"รูปคุณเยอะมากเลยค่ะ ดูรูปนี้สิ อายุคงยังไม่ถึงขวบเลยมั้ง ตอนเด็กๆ แก้มคุณล้นมากเลยนะคุณ" ฉันหยิบภาพเด็กชายแก้มห้อยย้อยสีแดงก่ำราวกับตำลึงสุกขึ้นมาดู

"อายุแปดเดือนครับ ภาพนี้ถ่ายหลังจากที่คุณย่าจะมารับผมไปอยู่ที่กรุงเทพแล้ว"

น้ำเสียงมีแววเคียดเจือปนทำให้ฉันต้องหันไปมองชายหนุ่ม ที่ดวงหน้ามองไปยังทางหน้าต่าง ดวงตาเคร่งเครียดเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง
ฉันมองผู้ชายตรงหน้า จักรินทร์ หมอทหารที่รักยิ่งในหน้าที่ และอาชีพของเขา ชายหนุ่มที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่เนืองนิจ ชายหนุ่มที่นับวันจะทำให้ฉันใจอ่อน และ.. หลงรัก.. เขามากยิ่งขึ้นทุกวันที่ได้อยู่ใกล้เขา

แต่ชายอีกคนหนึ่ง ที่ใครๆ นิยามเขาว่า "ไอ้เสือยิ้มยาก" คนที่มีอารมณ์ และแววตาเคียดแค้น ซึ่งฉันเองไม่เข้าใจว่าเขาโกรธ หรือแค้นเคืองใจใครบ้าง ในบางครั้งฉันก็สงสัยว่า ที่จริงแล้วฉันรู้จักชายตรงหน้า ที่ขึ้นชื่อว่าสามีเพียงใด

"ผู้พันหมอขา" เสียงใสดังมาจากหน้าบ้าน ก่อนที่เจ้าของเสียงจะถือวิสาสะเดินเข้ามาก่อนที่ เจ้าของบ้านจะเชื้อเชิญ

"พ่อบอกว่าผู้พันหมอมาถึงแล้ว สวยเลยรีบมาหาค่ะ เผื่อว่าผู้พันหมอจะมีอะไรให้สวยรับใช้"

สาววัยยี่สิบกว่าๆ ยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มที่หันมามอง แต่รอยยิ้มของเธอก็หดหายเมื่อเธอปรายตามามองฉัน

"นังสวย แม่บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งเข้ามาข้างใน ผู้พันหมอกับคุณนายเพิ่งมาถึง ท่านทั้งสองคงอยากจะพักกัน"

หญิงวัยกลางคน อาจจะอ่อนกว่าแม่ของฉันไม่กี่ปี เดินตามเข้ามาคว้าตัวหญิงสาวไว้ เมื่อเห็นเธอทำท่าจะวิ่งถลาเข้าหาผู้พันหมอ

"สวัสดีค่ะผู้พันหมอ" คนสูงวัยกว่าเอ่ยทักพร้อมยกมือไหว้เขาแล้วหันมาทางฉันพร้อมยกมือไหว้ แบบเดียวกัน

"สวัสดีค่ะคุณนาย"

"สวัสดีค่ะ" ฉันยกมือรับไหว้อย่างตกใจ

"เรียกหมอกก็ได้ค่ะคุณน้า"

"น้าแจ่ม เมียจ่าแสน แล้วนี่สวย สาวิกา เธอเป็นลูกสาว" ผู้พันหมอแนะนำ

"เขามาช่วยดูแลบ้านให้"

ฉันมองผู้เป็นแม่ที่มองฉันเป็นมิตร และนอบน้อมถ่อมตัว มากกว่าลูกสาวมากนัก ที่มองฉันด้วยสายตาเหมือนจะเกลียดชังกันมาแต่ชาติปางก่อน

"ไปนังสวย ทีหลังจะเข้าจะออกเรือนผู้พันหมอ รอให้ท่านกะคุณนายเรียกใช้ก่อนเข้าใจไหม" คนเป็นแม่ตักเตือน ก่อนที่จะพาลูกสาวที่เถียงออดๆ แอดๆ และค้อนฉันวงใหญ่ก่อนที่จะยอมเดินตามแม่ออกไป

"เด็กสวยนี่อายุเท่าไหร่ค่ะ ท่าจะเป็นแฟนคลับของคุณ" เขาหัวเราะพรืด เมื่อฉันกล่าวจบ

"ยี่สิบกว่าแล้วมั้ง อีกอย่างเขาไม่ได้เป็นแฟนคลับอะไรของผมด้วย" เขาหัวเราะก่อนที่จะเดินมาโอบไหล่ฉัน

"ดูท่าทางน่าเธอจะปลื้มคุณเอามากๆ เลยนะคะ"

"ผมเห็นสวยมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ จ่าแสนกับน้าแจ๋มทำงานให้คุณพ่อของผมมาตั้งนานแล้ว พอตอนที่ผมมาประจำการที่นี่ใหม่ๆ ผมคุ้นเคยกับครอบครัวของคนที่นี่ดี แต่ใครจะเป็นแฟนคลับของผม หรือไม่ ผมไม่สนใจหรอก แค่มีคุณคนเดียวก็พอแล้ว" เขาหยอดคำหวานจนฉันต้องผละตัวออกเพราะความเขินอาย
"ที่นี่เขาอนุญาตให้พาครอบครัวมาอยู่ได้ด้วยหรือคะ"

ฉันเดินไปมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่ด้านหลังบ้านเป็นเนินเขาสูง และป่าละเมาะ ต้นไม้สูงต่ำสลับกันไปยาวไปถึงสันเขาอีกลูกหนึ่ง ฉันเสียดายวิวทะเลสีฟ้าของบ้านในกรม แต่วิวเนินเขาเขียวขจีก็ทำให้สดชื่นไปอีกแบบ

"ได้ครับ แต่ก็มีไม่กี่ครอบครัวที่จะอยู่กันครบพ่อแม่ลูก ส่วนใหญ่คนเป็นเมียกับลูกๆ จะอยู่กันในกรม หรือบ้านตัวเองในเมือง เพราะเกาะหน้า นี่เป็นเกาะทหารไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของพลเรือนมากนัก อีกอย่างเด็กๆ ก็ต้องเรียนหนังสือ และที่นี่ไม่ไมีโรงเรียนให้เด็กๆ เรียนเสียด้วย ทหารส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะกลับบ้านในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์มากกว่า"

"อ้าวแล้วเด็กสาวิกา เขาเรียนจบชั้นไหนคะ"

"เห็นว่าจบแค่ ป. 6 พอจ่าแสงถูกย้ายมาทำงานที่นี่ เลยตัดสินใจพาเมีย พาลูกมาอยู่ด้วยเพราะไม่อยากทิ้งไว้ในเมืองสองคนตามลำพังแม่ลูก"

"น่าสงสาร เธอน่าจะได้เรียนโรงเรียนชั้นสูงๆ นะคะ ถ้าอยู่ในเมืองคงจบมหาวิทยาลัยไปแล้ว"

"คนเราบางทีมันก็ไม่มีทางเลือกมากนักหรอกครับ"

"เอาอย่างนี้ไหมคะ ฉันจะลองหาทางดูเผื่อว่าจะช่วยให้สาวิกา และเด็กๆ ที่นี่ได้เรียนต่อด้วยการสมัครเรียนกับก.ศ.น ดีไหมคะ"

"ก็ดีเหมือนกันครับ อีกอย่างคุณจะได้มีอะไรทำและก็ไม่เบื่อกับการติดเกาะที่นี่กับผม"

______________
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่