ตอนที่2. สืบข่าว
โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
เสียงรองเท้าย่ำไปตามโถงทางเดินก้องสะท้อนกลับไปกลับมา สถานที่อันมืดสลัวอึมครึม ยะเยือกเย็นและเต็มไปด้วยอักขระเลขยันต์ตลอดสองฝั่งของผนังและตามประตูห้องขังที่ถูกจานด้วยแป้งเป็นรูปยันต์สะกดนี้ สารวัตรเจษคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เขามาที่นี่บ่อยครั้ง ทั้งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกให้ควบคุมผู้ต้องหามายังห้องขัง และมาในฐานะของนายตำรวจที่ต้องการสอบถามข้อมูลกับผู้ต้องขังในนี้ ผู้ต้องขังเด็ดขาด ในฐานะ
จอมขมังเวทย์
“ถึงแล้วครับท่าน”
ผู้คุมนามว่า
หาญ หรือจ่าหาญ ซึ่งเดินนำทางด้วยความเงียบมาโดยตลอดกล่าวเสียงเรียบ ขณะเอื้อมมือจะไขกุญแจเพื่อเปิดห้องขังให้ สารวัตรเจษคว้าหมับจับข้อมือที่เต็มไปด้วยรอยสักอักขระเลขยันต์นั้นไว้ ก่อนที่เนื้อเหล็กของประตูบานใหญ่จะถูกสัมผัสด้วยมือของผู้ที่คิดว่าอาคมของตนเองก็แน่พอ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับท่าน อย่าลืมสิครับ ท่านเลือกผมมาเอง...ผมยังจำคำพูดในวันนั้นได้นะครับ 'ถ้าคุณไม่แกร่งพอ ผมจะไม่เลือกคุณมาทำงานนี้...' ฉะนั้น ในเมื่อตอนแรกเชื่อใจว่าผมและคนอื่น ๆ แกร่งพอ ก็ต้องเชื่อให้ถึงที่สุดสิครับ”
“ไม่ใช่ผมไม่เชื่อใจคุณนะจ่า” สารวัตรเจษอธิบายเสียงเรียบหน้าเครียด ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนารมณ์ผิด “เพียงแต่มีบางคนในนี้...ที่ความแข็งแกร่งของพวกคุณ มันไม่พอ”
พูดจบสารวัตรเจษก็พยักพเยิดให้อีกฝ่ายขยับออกห่างจากประตู ก่อนที่ตนเองจะยืนประนมมือสงบนิ่งรวมจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ
‘พุทธังเกราะอิติกุรังตัง พระพุทธ จงมาเป็นหนัง พระพุทธัง คงทรหด ตะโจ หนัง ธัมมังเกราะอิติกุรังตัง พระธัมมังจงมาเป็นเนื้อ พระธัมมัง คงทรหด มังสัง เนื้อ สังฆังเกราะ อิติกุรังตัง พระสังฆัง จงมาเป็นกระดูก พระสังฆัง ทรหด อัฏฐิ กระดูก อิสะวาสุคงคง ตรีเพชชะคงคง!’
สารวัตรเจษภาวนาคาถาเกราะแก้วในใจ ลืมตาแล้วเป่าพรวดใส่ประตูตรงหน้า พลันเกิดเสียงดังกึง! สนั่น ราวกับอะไรบางอย่างที่เกาะกุมอยู่กับประตูกระเด็นหลุดออก สารวัตรเจษเหลือบมองจ่าหาญ เป็นสัญญาณว่าตอนนี้เปิดประตูได้
อีกฝ่ายพยักหน้าและจัดการไขกุญแจให้ ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ผู้คุมคนนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง กลิ่นอายความเข้มขลังของอาคมชั่วร้ายแผ่ซ่านจนตนเองขนลุกไม่กล้าแม้แต่จะขยับเท้า
ต่างกับสารวัตรเจษที่ก้าวเข้าไปแบบไม่มีกริ่งเกรง กลางห้องอันมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย หญิงสาวนางหนึ่งนั่งก้มหน้านิ่ง รอบกายของเธอเต็มไปด้วยสัตว์มีพิษมากมายหลายชนิดเท่าที่มนุษย์จะรู้จัก บางตัวยังมีชีวิต บางตัวนิ่งสนิทตายเพราะกัดกันเอง หากคะเนเอาจากสายตาแล้ว...จำนวนมีไม่ต่ำกว่าพันเป็นแน่ เพราะมันเบียดเสียยัดเยียดอยู่เต็มพื้นห้อง ลามไปจนถึงหน้าประตูและหยุดอยู่แค่นั้น ไม่มีตัวใดกล้ำกรายเล็ดลอดออกมา
ทว่า...ทันทีที่สารวัตรเจษก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เหล่าสัตว์มีพิษทั้งหลายกระจายหายไปเป็นฝุ่นควัน หญิงสาวกลางห้องแค่นหัวเราะออกมาก่อนเงยหน้าขึ้นเหลือบตามองยิ้มน้อย ๆ
“สวัสดี...
สะบันงา...” สารวัตรเจษกล่าว
“ว่ายังไงคะคุณมือปราบจอมขมังเวทย์...มีอะไรให้สะบันงาผู้นี้รับใช้รึคะ? หึหึหึ...”
“ฉันมีข้อความมาบอกเธอ มันถึงเวลาแล้ว เขาต้องการให้เธอทำงานให้” สารวัตรเจษกล่าวหลังจากนั่งยอง ๆ ตรงหน้าสะบันงา ซึ่งบัดนี้อักขระเลขยันต์ทั้งหลายที่เคยมีเลือนหายไปเหลือเพียงผิวหนังเกลี้ยงเกลา “จากนายใหม่ของเธอ ฝากด้วยนะ...คน ๆ นั้นบอกมาแค่นี้”
“ได้สิคะ น้อมรับบัญชา...หึหึหึ”
“นี่มันหมายความว่ายังไงครับสารวัตร? ท่านจะปล่อยตัวนักโทษโดยพละการรึครับ?”
ผู้คุมได้ยินที่ทั้งคู่สนทนากันโดยไม่คิดจะปิดบังก็กระทำตามหน้าที่ จ้ำพรวดเข้าไปภายในห้องขังหมายจะทักท้วงหรือหักห้าม ทว่า กลับต้องสะดุ้งใจตัวเย็นวาบ เพราะทันทีที่พ้นประตูเข้าไป ด้านซ้ายมือกลับปรากฏร่างของใครคนหนึ่ง ยิ่งเห็นยิ่งเย็นวาบ เพราะที่ยืนอยู่ตรงนั้นมิใช่ใคร สารวัตรเจษ ที่ก็ยังมีอีกคนนั่งยอง ๆ หันหลังให้อยู่เบื้องหน้า
“นะ โน นะ อันตะรายา สารพัดจังงัง วินาสสันตุ!”
สารวัตรเจษที่ยืนอยู่ด้านข้างพร่ำพระคาถาอย่างรวดเร็วแล้วเป่าใส่หน้า พลันสติสัมปชัญญะของผู้คุมเกิดเลือนราง ยืนนิ่งดวงตาเหม่อลอยราวคนไร้วิญญาณ สารวัตรเจษที่นั่งยอง ๆ ลุกขึ้นหันกลับมาหาเขา ขณะเดียวกันสารวัตรเจษอีกคนก็ค่อย ๆ ถอยหลังหายเข้าไปในกำแพงห้องขังดั่งฝุ่นควัน
“สะ สิ มิ ระ...” เขาใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงหน้าผากผู้คุมคนนั้นว่าพระคาถาเบา ๆ สามครั้งก่อนเอ่ยบอกบางอย่างที่จะกลายเป็นคำสั่งและความทรงจำฝังหัวจนกว่ามนต์จะคลาย เมื่อเสร็จสิ้นก็หันมาทางสะบันงา
“ไปกันเถอะ ยิ่งชักช้าสถานการณ์ยิ่งแย่ลง” แล้วทั้งสามก็เดินออกจากที่นั่นไป ประตูห้องขังของสะบันงาถูกปิดสนิทเรียบร้อย มีไม่กี่คนที่รู้ว่าด้านในหาได้มีนักโทษถูกคุมขังอยู่ มันเป็นเพียงห้องขังว่าง ๆ สะบันงาถูกพาตัวออกไปแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง จากคำขอร้องกึ่งสั่งของผู้ที่เคยจัดการและจับเธอยัดเข้าตะรางอาคมแห่งนี้
เช้าวันต่อมา ผู้คุมอีกคนเดินมาเปลี่ยนกะเ เขาเอ่ยทักเพื่อนร่วมงานที่ถูกคัดเลือกมาเช่นเดียวกับตนอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวี่วัน
“เป็นไงวะไอ้หาญ? มีเรื่องอะไรวุ่นวายรึเปล่าเมื่อคืน?”
“ไม่มี” จ่าหาญตอบสั้น ๆ สีหน้าเป็นปกติ มอบพวงกุญแจให้ ลงชื่อแล้วเดินจากไป...
เวลาเดียวกัน ณ บ้านของ
ตระกูลฤทัยเพชร ขณะที่ลดากำลังจะก้าวขึ้นรถเพราะเห็นว่าอีกชั่วโมงจะถึงเวลาเข้าเวร เธอถูกปลูกฝังจากดอกเตอร์เกริกไกรผู้เป็นบิดาว่า ในการทำงานไม่ว่าจะเป็นหน่วยไหน ราชการหรือเอกชน คำว่าตรงเวลาไม่มีอยู่จริง จะมีก็เพียงมาก่อนกับมาทีหลังเท่านั้น และมันฝังหัวจนเธอปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ยังเป็นเพียงนักเรียนนักศึกษา
ทว่า ยังไม่ทันได้ปิดประตูรถ ที่หน้าบ้านลดาแลเห็นจี๊ปทหารคันหนึ่งจอดนิ่งสนิทรออยู่ก่อนแล้ว ข้างรถมีทหารหญิงยืนนิ่งรออยู่ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
“อ้าว! มาแล้ว? ทำไมไม่เรียกล่ะนั่น”
“สวัสดีค่ะ ผู้กองให้ฉันรับส่งคุณลดาตั้งแต่วันนี้จนกว่าผู้กองจะกลับมา เชิญค่ะ” ทหารหญิงพูดเสียงดังฟังชัด เปิดประตูรถให้ลดาขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง
พยาบาลสาวหยุดนิดหนึ่งมองหน้าทหารหญิงที่คาดว่าคงเป็นลูกน้องคนใดคนหนึ่งที่สามีไว้ใจ คะเนจากอายุไม่น่าจะห่างจากตนเท่าใดนัก
“ฉันนั่งหน้าคู่กันไปก็ได้ค่ะ” พร้อมกันนั้นลดาก็ดันประตูให้ปิดสนิท
“แล้วก็...ฉันไม่ใช่ทหาร ไม่ต้องการความเข้มแข็งเคร่งครัด ต่อไปพูดกับฉันแบบธรรมดา ๆ เถอะค่ะ ตามประสาผู้หญิงด้วยกัน” ส่งยิ้มให้ ซึ่งเป็นยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจก่อนอ้อมไปยังอีกฝั่ง จัดแจงเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งยังเบาะข้างคนขับ ทหารหญิงยิ้มกับตนเองก่อนเปิดประตูก้าวขึ้นรถนั่งข้างกัน
“ถ้าไม่เสียมารยาทจนเกินไป ฉันขอถามชื่อกับอายุได้ไหมคะ? ขอแบบมนุษย์ทั่วไปเขาคุยกัน ผู้หญิงธรรมดาเขาคุยกัน ไม่เอาแบบเป็นทางการ...นะคะ” ลดาเป็นฝ่ายยิงคำถามก่อน
“อ๋อ..ค่ะ ฉันชื่อสะบันงา ปีนี้ก็สามสิบพอดี” ทหารหญิงหันมาตอบยิ้มน้อย ๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งวาบ เมื่อจู่ ๆ ลดาคว้าหมับจับมือของเธอเอาไว้
“ขอบคุณที่บอกความจริงนะคะคุณสะบันงา ไม่สิ ถ้าไม่รังเกียจขอเรียกสะบันงาเฉย ๆ ก็แล้วกันเพราะฉันก็อายุเท่ากัน” ลดายิ้ม ทว่าอีกฝ่ายกลับทำหน้านิ่ง แม้คำพูดจะดูไม่มีอะไรทว่าความนัยที่แฝงไว้นั้น มันบ่งบอกชัดเจนว่าลดารู้ทุกอย่าง
“ในเมื่อเราต้องอยู่ด้วยกันจนกว่าทะนงเขาจะกลับมา ฉันก็จะขอเปิดใจเลยก็แล้วกัน ฉันรู้ว่าเธอเป็นใคร รู้ว่าเธอเคยทำอะไรมาและรู้ด้วยว่าก่อนหน้านี้เธออยู่ที่ไหน ถ้าทะนงเขาใช้ให้เธอมาทำหน้าที่นี้จริง ๆ แสดงว่าเขาไว้ใจเธอ เขาไม่เคยทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล ฉะนั้น...สะบันงา ตั้งแต่วันนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ”
(มีต่อนะครับ)
ปฐพีเดือด ตอนที่2.
เสียงรองเท้าย่ำไปตามโถงทางเดินก้องสะท้อนกลับไปกลับมา สถานที่อันมืดสลัวอึมครึม ยะเยือกเย็นและเต็มไปด้วยอักขระเลขยันต์ตลอดสองฝั่งของผนังและตามประตูห้องขังที่ถูกจานด้วยแป้งเป็นรูปยันต์สะกดนี้ สารวัตรเจษคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เขามาที่นี่บ่อยครั้ง ทั้งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกให้ควบคุมผู้ต้องหามายังห้องขัง และมาในฐานะของนายตำรวจที่ต้องการสอบถามข้อมูลกับผู้ต้องขังในนี้ ผู้ต้องขังเด็ดขาด ในฐานะ จอมขมังเวทย์
“ถึงแล้วครับท่าน”
ผู้คุมนามว่า หาญ หรือจ่าหาญ ซึ่งเดินนำทางด้วยความเงียบมาโดยตลอดกล่าวเสียงเรียบ ขณะเอื้อมมือจะไขกุญแจเพื่อเปิดห้องขังให้ สารวัตรเจษคว้าหมับจับข้อมือที่เต็มไปด้วยรอยสักอักขระเลขยันต์นั้นไว้ ก่อนที่เนื้อเหล็กของประตูบานใหญ่จะถูกสัมผัสด้วยมือของผู้ที่คิดว่าอาคมของตนเองก็แน่พอ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับท่าน อย่าลืมสิครับ ท่านเลือกผมมาเอง...ผมยังจำคำพูดในวันนั้นได้นะครับ 'ถ้าคุณไม่แกร่งพอ ผมจะไม่เลือกคุณมาทำงานนี้...' ฉะนั้น ในเมื่อตอนแรกเชื่อใจว่าผมและคนอื่น ๆ แกร่งพอ ก็ต้องเชื่อให้ถึงที่สุดสิครับ”
“ไม่ใช่ผมไม่เชื่อใจคุณนะจ่า” สารวัตรเจษอธิบายเสียงเรียบหน้าเครียด ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนารมณ์ผิด “เพียงแต่มีบางคนในนี้...ที่ความแข็งแกร่งของพวกคุณ มันไม่พอ”
พูดจบสารวัตรเจษก็พยักพเยิดให้อีกฝ่ายขยับออกห่างจากประตู ก่อนที่ตนเองจะยืนประนมมือสงบนิ่งรวมจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ
‘พุทธังเกราะอิติกุรังตัง พระพุทธ จงมาเป็นหนัง พระพุทธัง คงทรหด ตะโจ หนัง ธัมมังเกราะอิติกุรังตัง พระธัมมังจงมาเป็นเนื้อ พระธัมมัง คงทรหด มังสัง เนื้อ สังฆังเกราะ อิติกุรังตัง พระสังฆัง จงมาเป็นกระดูก พระสังฆัง ทรหด อัฏฐิ กระดูก อิสะวาสุคงคง ตรีเพชชะคงคง!’
สารวัตรเจษภาวนาคาถาเกราะแก้วในใจ ลืมตาแล้วเป่าพรวดใส่ประตูตรงหน้า พลันเกิดเสียงดังกึง! สนั่น ราวกับอะไรบางอย่างที่เกาะกุมอยู่กับประตูกระเด็นหลุดออก สารวัตรเจษเหลือบมองจ่าหาญ เป็นสัญญาณว่าตอนนี้เปิดประตูได้
อีกฝ่ายพยักหน้าและจัดการไขกุญแจให้ ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ผู้คุมคนนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง กลิ่นอายความเข้มขลังของอาคมชั่วร้ายแผ่ซ่านจนตนเองขนลุกไม่กล้าแม้แต่จะขยับเท้า
ต่างกับสารวัตรเจษที่ก้าวเข้าไปแบบไม่มีกริ่งเกรง กลางห้องอันมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย หญิงสาวนางหนึ่งนั่งก้มหน้านิ่ง รอบกายของเธอเต็มไปด้วยสัตว์มีพิษมากมายหลายชนิดเท่าที่มนุษย์จะรู้จัก บางตัวยังมีชีวิต บางตัวนิ่งสนิทตายเพราะกัดกันเอง หากคะเนเอาจากสายตาแล้ว...จำนวนมีไม่ต่ำกว่าพันเป็นแน่ เพราะมันเบียดเสียยัดเยียดอยู่เต็มพื้นห้อง ลามไปจนถึงหน้าประตูและหยุดอยู่แค่นั้น ไม่มีตัวใดกล้ำกรายเล็ดลอดออกมา
ทว่า...ทันทีที่สารวัตรเจษก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เหล่าสัตว์มีพิษทั้งหลายกระจายหายไปเป็นฝุ่นควัน หญิงสาวกลางห้องแค่นหัวเราะออกมาก่อนเงยหน้าขึ้นเหลือบตามองยิ้มน้อย ๆ
“สวัสดี...สะบันงา...” สารวัตรเจษกล่าว
“ว่ายังไงคะคุณมือปราบจอมขมังเวทย์...มีอะไรให้สะบันงาผู้นี้รับใช้รึคะ? หึหึหึ...”
“ฉันมีข้อความมาบอกเธอ มันถึงเวลาแล้ว เขาต้องการให้เธอทำงานให้” สารวัตรเจษกล่าวหลังจากนั่งยอง ๆ ตรงหน้าสะบันงา ซึ่งบัดนี้อักขระเลขยันต์ทั้งหลายที่เคยมีเลือนหายไปเหลือเพียงผิวหนังเกลี้ยงเกลา “จากนายใหม่ของเธอ ฝากด้วยนะ...คน ๆ นั้นบอกมาแค่นี้”
“ได้สิคะ น้อมรับบัญชา...หึหึหึ”
“นี่มันหมายความว่ายังไงครับสารวัตร? ท่านจะปล่อยตัวนักโทษโดยพละการรึครับ?”
ผู้คุมได้ยินที่ทั้งคู่สนทนากันโดยไม่คิดจะปิดบังก็กระทำตามหน้าที่ จ้ำพรวดเข้าไปภายในห้องขังหมายจะทักท้วงหรือหักห้าม ทว่า กลับต้องสะดุ้งใจตัวเย็นวาบ เพราะทันทีที่พ้นประตูเข้าไป ด้านซ้ายมือกลับปรากฏร่างของใครคนหนึ่ง ยิ่งเห็นยิ่งเย็นวาบ เพราะที่ยืนอยู่ตรงนั้นมิใช่ใคร สารวัตรเจษ ที่ก็ยังมีอีกคนนั่งยอง ๆ หันหลังให้อยู่เบื้องหน้า
“นะ โน นะ อันตะรายา สารพัดจังงัง วินาสสันตุ!”
สารวัตรเจษที่ยืนอยู่ด้านข้างพร่ำพระคาถาอย่างรวดเร็วแล้วเป่าใส่หน้า พลันสติสัมปชัญญะของผู้คุมเกิดเลือนราง ยืนนิ่งดวงตาเหม่อลอยราวคนไร้วิญญาณ สารวัตรเจษที่นั่งยอง ๆ ลุกขึ้นหันกลับมาหาเขา ขณะเดียวกันสารวัตรเจษอีกคนก็ค่อย ๆ ถอยหลังหายเข้าไปในกำแพงห้องขังดั่งฝุ่นควัน
“สะ สิ มิ ระ...” เขาใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงหน้าผากผู้คุมคนนั้นว่าพระคาถาเบา ๆ สามครั้งก่อนเอ่ยบอกบางอย่างที่จะกลายเป็นคำสั่งและความทรงจำฝังหัวจนกว่ามนต์จะคลาย เมื่อเสร็จสิ้นก็หันมาทางสะบันงา
“ไปกันเถอะ ยิ่งชักช้าสถานการณ์ยิ่งแย่ลง” แล้วทั้งสามก็เดินออกจากที่นั่นไป ประตูห้องขังของสะบันงาถูกปิดสนิทเรียบร้อย มีไม่กี่คนที่รู้ว่าด้านในหาได้มีนักโทษถูกคุมขังอยู่ มันเป็นเพียงห้องขังว่าง ๆ สะบันงาถูกพาตัวออกไปแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง จากคำขอร้องกึ่งสั่งของผู้ที่เคยจัดการและจับเธอยัดเข้าตะรางอาคมแห่งนี้
เช้าวันต่อมา ผู้คุมอีกคนเดินมาเปลี่ยนกะเ เขาเอ่ยทักเพื่อนร่วมงานที่ถูกคัดเลือกมาเช่นเดียวกับตนอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวี่วัน
“เป็นไงวะไอ้หาญ? มีเรื่องอะไรวุ่นวายรึเปล่าเมื่อคืน?”
“ไม่มี” จ่าหาญตอบสั้น ๆ สีหน้าเป็นปกติ มอบพวงกุญแจให้ ลงชื่อแล้วเดินจากไป...
เวลาเดียวกัน ณ บ้านของตระกูลฤทัยเพชร ขณะที่ลดากำลังจะก้าวขึ้นรถเพราะเห็นว่าอีกชั่วโมงจะถึงเวลาเข้าเวร เธอถูกปลูกฝังจากดอกเตอร์เกริกไกรผู้เป็นบิดาว่า ในการทำงานไม่ว่าจะเป็นหน่วยไหน ราชการหรือเอกชน คำว่าตรงเวลาไม่มีอยู่จริง จะมีก็เพียงมาก่อนกับมาทีหลังเท่านั้น และมันฝังหัวจนเธอปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ยังเป็นเพียงนักเรียนนักศึกษา
ทว่า ยังไม่ทันได้ปิดประตูรถ ที่หน้าบ้านลดาแลเห็นจี๊ปทหารคันหนึ่งจอดนิ่งสนิทรออยู่ก่อนแล้ว ข้างรถมีทหารหญิงยืนนิ่งรออยู่ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
“อ้าว! มาแล้ว? ทำไมไม่เรียกล่ะนั่น”
“สวัสดีค่ะ ผู้กองให้ฉันรับส่งคุณลดาตั้งแต่วันนี้จนกว่าผู้กองจะกลับมา เชิญค่ะ” ทหารหญิงพูดเสียงดังฟังชัด เปิดประตูรถให้ลดาขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง
พยาบาลสาวหยุดนิดหนึ่งมองหน้าทหารหญิงที่คาดว่าคงเป็นลูกน้องคนใดคนหนึ่งที่สามีไว้ใจ คะเนจากอายุไม่น่าจะห่างจากตนเท่าใดนัก
“ฉันนั่งหน้าคู่กันไปก็ได้ค่ะ” พร้อมกันนั้นลดาก็ดันประตูให้ปิดสนิท
“แล้วก็...ฉันไม่ใช่ทหาร ไม่ต้องการความเข้มแข็งเคร่งครัด ต่อไปพูดกับฉันแบบธรรมดา ๆ เถอะค่ะ ตามประสาผู้หญิงด้วยกัน” ส่งยิ้มให้ ซึ่งเป็นยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจก่อนอ้อมไปยังอีกฝั่ง จัดแจงเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งยังเบาะข้างคนขับ ทหารหญิงยิ้มกับตนเองก่อนเปิดประตูก้าวขึ้นรถนั่งข้างกัน
“ถ้าไม่เสียมารยาทจนเกินไป ฉันขอถามชื่อกับอายุได้ไหมคะ? ขอแบบมนุษย์ทั่วไปเขาคุยกัน ผู้หญิงธรรมดาเขาคุยกัน ไม่เอาแบบเป็นทางการ...นะคะ” ลดาเป็นฝ่ายยิงคำถามก่อน
“อ๋อ..ค่ะ ฉันชื่อสะบันงา ปีนี้ก็สามสิบพอดี” ทหารหญิงหันมาตอบยิ้มน้อย ๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งวาบ เมื่อจู่ ๆ ลดาคว้าหมับจับมือของเธอเอาไว้
“ขอบคุณที่บอกความจริงนะคะคุณสะบันงา ไม่สิ ถ้าไม่รังเกียจขอเรียกสะบันงาเฉย ๆ ก็แล้วกันเพราะฉันก็อายุเท่ากัน” ลดายิ้ม ทว่าอีกฝ่ายกลับทำหน้านิ่ง แม้คำพูดจะดูไม่มีอะไรทว่าความนัยที่แฝงไว้นั้น มันบ่งบอกชัดเจนว่าลดารู้ทุกอย่าง
“ในเมื่อเราต้องอยู่ด้วยกันจนกว่าทะนงเขาจะกลับมา ฉันก็จะขอเปิดใจเลยก็แล้วกัน ฉันรู้ว่าเธอเป็นใคร รู้ว่าเธอเคยทำอะไรมาและรู้ด้วยว่าก่อนหน้านี้เธออยู่ที่ไหน ถ้าทะนงเขาใช้ให้เธอมาทำหน้าที่นี้จริง ๆ แสดงว่าเขาไว้ใจเธอ เขาไม่เคยทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล ฉะนั้น...สะบันงา ตั้งแต่วันนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ”
(มีต่อนะครับ)