เท่าที่ใจจะรักได้ (6)


.

โดย : ชลัน

                ๖
                ___________________________

               เมื่อคืนพวกเราเดินเที่ยวงานจนดึก มันสนุกมาก พี่ใหญ่ปล่อยให้นายภีมกับกัญญาสนุกด้วยกันเต็มที่ ทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันแม้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของพี่ใหญ่ก็ตาม ฉันว่าทั้งคู่พอใจ

              ผลพวงจากเมื่อคืนทำให้พวกเราสองพี่น้องตื่นสายเอามาก ๆ สิบเอ็ดนาฬิกากัญญาตื่นก่อนฉัน อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปซื้อข้าว ส่วนฉันตื่นหลังจากที่กัญญาลงไปข้างล่างได้ไม่นาน รีบอาบน้ำแต่งตัวรอทานข้าวกับน้องสาว ครู่เดียวกัญญาก็กลับมาพร้อมกับข้าวเต็มมือ

               "เธอไม่น่าออกไปซื้อให้เสียเวลา เดี๋ยวนี้เขามีบริการสั่งอออนไลน์และส่งถึงที่นะ" ฉันบอก

              "สั่งมันไม่ได้เลือก มีตัวเลือกน้อย แพงด้วย และญาอยากกินหลายอย่างน่ะ สั่งมาล่ะก้อเปลืองแย่" กัญญาบ่น ฉันพยักหน้าเข้าใจ "เออพี่ตาเราไปเที่ยวกันที่นี่มั้ย ทานข้าวเสร็จไปกันเลย น่าจะทันอยู่ ไปถึงไม่ค่ำหรอก" กัญญาชวน พร้อมให้ฉันดูสถานที่นั้นด้วย ฉันรู้ว่ามันคือที่ไหน มันสวยมาก ๆ และฉันก็ยังไม่เคยไป มีแผนว่าจะไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ยัง วันนี้มีโอกาส มีหรือฉันจะปฏิเสธ

              "คงไม่ใช่ไปกันแค่เราสองคนหรอกใช่มั้ย" ฉันถามและมองหน้าน้องสาว ฉันรู้ว่าที่กัญญาชวนไม่ใช่นึกอยากไปเฉย ๆ หรอก มันต้องมีเงื่อนงำ

                กัญญายิ้มอย่างยอมรับที่ฉันรู้ทัน หล่อนยักคิ้ว "ภีมชวน พี่ตาไปนะ ญาอยากไป อยากเที่ยวกับภีม พี่ตาก็รู้ว่าญาไม่กล้าทำอะไรเพราะพี่ใหญ่จับตามองอยู่ตลอด วันนี้มีพี่ตาอยู่เป็นโอกาสของญาที่จะได้เที่ยวกับภีม พี่ตาพาญาไปนะ" หล่อนอ้อนวอนฉัน

              "ย่ะ... ที่ฉันตกลงไปเนี่ย ไม่ได้เห็นด้วยหรือเปิดโอกาสให้พวกเธอสองคนได้ใกล้ชิดกันหรอกนะ แต่เพราะฉันเห็นว่าที่นั่นมันสวย และฉันก็กำลังอยากไปที่นั่นอยู่พอดี ชวนพี่ที่ทำงานหลายรอบละไม่มีใครว่างสักที เคไปก็ไป" ฉันตกลง กัญญายิ้มกว้าง

              "จ้า... มา ๆ ทานข้าวเถอะ เราจะได้รีบไป ภีมจะมารับนะ พี่ตาไม่ต้องเอารถไป"

              "อือ" ฉันเองก็ตกลงตามนั้น แล้วพวกเราก็ทานข้าวเช้ากัน พอทานเสร็จก็เก็บกระเป๋าไปเที่ยวกันเลย


                 นายภีมขับรถมารับพวกเราสองพี่น้องที่หอพัก เวลาอยู่กับฉันสังเกตว่านายภีมจะเป็นตัวของตัวเองที่สุด ทำตัวสบายที่สุด ก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะฉันไม่ใช่ก้างขวางคอชิ้นเบ้อเริ่มอย่างพี่ใหญ่สักหน่อย ฉันออกจะโอนอ่อนผ่อนปรนให้พวกเขาสองคนที่สุด

             "เชิญครับสองสาว" นายภีมผายมือไปยังรถเก๋งของตน กัญญานั่งข้างคนขับ ส่วนฉันนั่งข้างหลัง เรากำลังเดินทางไปที่ภูผาม่าน ฉันคิดว่าพวกเขาสองคนต้องมีแผนไปต่อแน่ ๆ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดจะขัดใจ ไปไหนไปกันอยู่แล้ว ไหน ๆ ก็ได้ออกจากบ้านมาเที่ยวแล้วนี่ วันอาทิตย์ก็กลับไปทำงานปกติ ฉันจึงไม่คัดค้าน จะพาฉันไปที่ไหนก็ไปเถอะ
             
              พวกเราขับรถออกมาไกลพอสมควรพี่ใหญ่ก็โทรหาฉัน นายภีมเบาเสียงเพลงลงให้ฉันคุยโทรศัพท์ กัญญาหันมามองฉันที่เบาะหลัง สายตาที่มองมากำลังถามฉันว่าใครโทรมาหรือ ฉันเข้าใจสายตาคู่นั้นของน้องสาวจึงบอกไปแบบไม่ปิดบัง

             "เงียบ ๆ ก่อนนะ พี่ใหญ่โทรมา" ฉันบอกกับทั้งสองคน จากนั้นจึงกดรับสาย

              "ตื่นกันยังเนี่ย วันนี้ไปไหนกันเปล่า" พี่ใหญ่ถามหลังจากที่ฉันกดรับสาย วันเสาร์พี่ใหญ่น่าจะหยุด น่าจะไม่ได้อยู่เวรถึงได้โทรมาถามแบบนี้ หรืออาจจะตั้งใจหยุดแล้วพาพวกฉันไปเที่ยวก็ได้ ฉันทำอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี และรู้สึกผิดนิด ๆ กับพี่ชายที่พวกเราพากันแอบหนีเที่ยวไม่ชวนไปด้วย

             "ตื่นแล้ว ออกมาข้างนอก" ฉันตอบ

              "ออกไปข้างนอก!  ไปไหนกัน เที่ยวเหรอ"

               "อือ..." ฉันตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่

                "คงไม่ได้ไปกันสองคนล่ะสิท่า ฉันรู้นะ! กัญตาเธอนี่ให้ท้ายกันตลอดเลย คอยดูถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา พี่จะให้เธอมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย" พี่ใหญ่พูดน้ำเสียงราวกับไม่พอใจ ผิดไปจากเมื่อครู่นี้นัก ฉันยิ้มแหย ๆ กะไว้แล้วเชียวว่าต้องโดนดุ กัญญาหันมามองหน้าฉัน ส่วนนายภีมขับรถและคอยฟังฉันคุยโทรศัพท์อยู่เงียบ ๆ

                "โถ่พี่ใหญ่ ตาแค่อยากทานกาแฟ ก็เลยชวนกัญญาออกมา แค่ไปร้านคาเฟ่เอง จะอะไรนักหนา" ฉันทำเป็นค้อนคืนกลับไปเบา ๆ

               "มันจะไม่อะไรเลยถ้าไปกันสองคนพี่น้อง" พี่ใหญ่สวนกลับ

               "ไม่เป็นไรหรอก ตาไปด้วยทั้งคน รับรองกัญญากับนายภีมอยู่ในสายตาตลอด ไม่ต้องห่วง! ว่าแต่คนอื่น ตัวเองน่ะพ่อแม่ฝ่ายหญิงเขารู้เรื่องหรือเปล่าว่าอยู่ด้วยกันแล้วน่ะ หึ" ฉันอดไม่ได้ที่จะต่อว่าแทนน้องสาว ไม่มีข้ออ้างใดก็ยกเอาว่าที่พี่สะใภ้นั่นแหละมาอ้าง

              "เข้าข้างกันเข้าไป! แล้วกรณีของฉันมันไม่เหมือนกัน ฉันกับเฟิร์นเราทำงานกันแล้ว อาชีพฉันก็มีและมั่นคง ถึงฉันจะทำอะไรเฟิร์นก็มีปัญญารับผิดชอบ"

               "ค่า! มีปัญญารับผิดชอบก็ดี ส่วนวันนี้รับรอง ตาเอาหัวเป็นประกัน รับรองไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นายภีมพี่ใหญ่จะห้ามแบบนี้มั้ย" ฉันถามจากใจจริง

               "ห้าม! กับใครก็ห้าม ยิ่งเป็นนายภีมยิ่งต้องห้ามใหญ่ เราก็รู้ว่าคุณแม่ไม่มีทางให้พวกเขาได้รักกันหรอก เธออย่าพยายามช่วยพวกเขาเลย ไม่สงสารคุณแม่เราเหรอ" พี่ใหญ่กล่าว คราวนี้น้ำเสียงดูอ่อนลง ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจปัญหานี้ที่สุด

              "พี่ใหญ่ ถ้าสมมุติพวกเขาทั้งสองคนทำให้คุณแม่ยอมรับได้ พี่ใหญ่จะยอมมั้ย" ฉันถามแทนทั้งคู่อีก

               "ไม่รู้! แต่ที่แน่ ๆ คุณแม่คงไม่มีวันยอมรับหรอก"

                "อืม แค่นี้นะคะ ไม่ต้องห่วงตาจะดูแลน้องเป็นอย่างดี และก็ขอโทษด้วยที่พี่ใหญ่จะโทรมาชวนออกไปข้างนอกด้วย แล้วตาไม่ได้ไป เอ่อ... พี่ใหญ่อย่าพูดเรื่องวันนี้กับคุณแม่ได้มั้ย ตากลับไปไม่อยากเป็นผู้ต้องหาให้คุณแม่เค้นน่ะ นะ... นะคะ" ฉันอ้อนวอน
                
                "ไม่รู้เว้ย! แค่นี้แหละ ขับรถดี ๆ ด้วย ระมัดระวัง"
                
                "ค่า..." ฉันตอบพี่ชายและยกมือทำโอเคให้น้องสาว สื่อว่าผ่านฉลุยไม่ต้องคิดมาก จากนั้นก็วางสาย และบรรยากาศในรถก็กลับมาครึกครื้นสดใสอีกครั้ง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยไว้ใจพี่ใหญ่เรื่องนำความไปฟ้องคุณแม่ก็ตาม นั่นมันเรื่องของอนาคต นาทีนี้ไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัว สนุกกับการเที่ยวในวันหยุดจะดีกว่า

              "พี่ใหญ่บ่นผมล่ะสิ" ญาติผู้น้องของฉันถาม ขณะขับรถอยู่

               "ก็ไม่เชิง ก็เป็นเหมือนเคยเป็นแหละ อย่าไปถือสาพี่ใหญ่เลย แกก็เป็นของแกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าพวกเธอคบกัน" ฉันตอบนายภีม ครั้นจะต่อว่าพี่ชายตัวเองก็ไม่ควร ยิ่งจะดูเป็นการเข้าข้างนายภีมไปกันใหญ่

               "ผมเข้าใจ" ญาติผู้น้องของฉันตอบยิ้ม ๆ

              "ช่างเขาเถอะ มาคุยถึงสถานที่ที่พวกเราจะไปกันดีกว่า พี่ไม่เคยไปเลย เห็นแต่ในเพจน่ะ ไม่รู้สถานที่จริงจะสวยเปล่า" ฉันชวนเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อยากซีเรียสกับเรื่องของพี่ใหญ่ หมดความสนุกกันพอดี พอคุยกันก็ทราบว่าทุกคนต่างก็ยังไม่เคยไปเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้นต่างก็ไปลุ้นเอาว่าสถานที่จริงจะสวยแค่ไหน หรือว่าจะเสียเวลาเปล่าที่ดั้นด้นมาตั้งไกล ฉันนั่งอยู่เบาะหลังเงียบ ๆ ปล่อยให้ทั้งสองคนพูดหยอกเย้ากระหนุงกระหนิงกันได้ตามสบาย ฉันฟังทั้งสองคุยกันจนผล็อยหลับไป

           และแล้วพวกเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เป็นร้านกาแฟและโฮมสเตย์ไปในตัว พวกเราจองห้อวพักสองหลัง หลังแรกฉันนอนกับกัญญา ส่วนอีกหลังเป็นของนายภีม สุดท้ายพวกเราก็ตกลงกันจะนอนค้างที่นี่สักคืน ค่อยกลับพรุ่งนี้ตอนสาย ๆ

              ฉันชอบบรรยากาศยามเย็นของที่นี่มาก สงบ ร่มเย็น มีทิวทัศน์เป็นภูเขาหินสูงตระหง่าน ซึ่งเป็นฉากหลังเหมาะสําหรับถ่ายรูปมาก ๆ ที่นี่นอกจากพวกฉันสามคนแล้ว ยังมีคนอื่น ๆ อีกมากมายที่มาเที่ยวพักผ่อนกัน

              ฉันกับกัญญาเราเพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูปกันมาก ๆ เพราะบรรยากาศมันดีเหลือเกิน มุมเก็บภาพถ่ายรูปก็เยอะละลานตา ส่วนคนที่ทำหน้าที่เป็นตากล้องก็หนีไม่พ้นนายภีมผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่มเรา ฉันกับกัญญาเราต่างเรียกใช้นายภีมอย่างไม่เกรงใจสักนิด และเจ้าตัวก็เต็มใจพร้อมทำงานให้พวกเราอย่างที่สุด

                "กัญญา ภีม มาพี่ถ่ายรูปให้" ฉันนึกขึ้นได้ว่าทั้งสองควรจะมีรูปคู่กัน อุตส่าห์ได้ออกมาเที่ยวด้วยกันขนาดนี้

              "หึ ถึงถ่ายไปก็ไม่มีสิทธิ์ได้ลงอวดใคร" กัญญาพูดแง่งอน ก็จริงดังว่า กัญญาไม่ใช่คนหัวดื้อที่จะทำอะไรขัดใจคุณแม่และพี่ใหญ่ เป็นเด็กในโอวาทมาโดยตลอด แตกต่างกับฉันนัก ที่ค่อนข้างจะหัวดื้ออยู่ไม่น้อย นายภีมก็เหมือนจะเห็นด้วยกับกัญญา

               "เถอะน่า... เก็บไว้ให้ตัวเองดูไง อุตส่าห์มาเที่ยวด้วย จะได้มีความทรงจำร่วมกัน ถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ต้องลงก็ได้ นำไปล้างอัดใส่กรอบรูปไว้ก็ได้นี่นา เก็บไว้ดูกันเองจริงมั้ยล่ะ มา ๆ อย่าพูดมาก พี่เป็นตากล้องให้เอง" ฉันบังคับทั้งสองคน จัดการถ่ายรูปคู่ให้ทั้งสองคนไปหลายฉาก หลายมุม และหลายท่ามากเลยทีเดียว จากนั้นพวกเราก็ไปนั่งร้านกาแฟกัน

                 บ่ายแก่แบบนี้ฉันไม่ทานกาแฟเพราะเลยเวลามาแล้ว เกรงว่าจะนอนไม่หลับ จึงสั่งชาปั่นพร้อมขนมเค้ก ทั้งกัญญาและนายภีมต่างก็ไม่มีใครสั่งกาแฟสักคน เพราะเลยเวลามาแล้วนั่นเอง พวกเรานั่งพักและคุยสัพเพเหระกันไป เสียดายที่พรุ่งนี้ฉันต้องกลับมาทำงาน ถ้าเป็นวันหยุดยาว พวกเราว่าจะไปต่อกันที่เชียงคานให้ได้

               ระหว่างที่นั่งคุยกันโทรศัพท์ของฉันก็มีสายเข้า ฉันหยิบขึ้นมาดูว่าใครโทรหา ต้องขมวดคิ้วเป็นปมใหญ่ พี่ทีรุฒน์โทรหาฉันทำไมกัน วันนี้วันเสาร์ วันหยุดแบบนี้เขาควรจะอยู่กับครอบครัว อยู่กับพี่อุ่นผู้เป็นภรรยา แล้วเขาโทรหาฉันทำไม ถึงกระนั้นฉันก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับสายเขา

                "กัญตาว่างมั้ย พี่คุยด้วยได้หรือเปล่า" เขาถามหลังจากฉันกดรับสายแล้วกล่าวฮัลโหลออกไป

                 "ว่างค่ะ พี่รุฒน์โทรหาตามีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ" ถามเพราะสงสัย แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรที่เขาโทรมา

                  "ต้องมีธุระเหรอ พี่ถึงจะโทรหาตาได้น่ะ..." น้ำเสียงเหมือนงอนฉัน ฉันหัวเราะเขา และตอบปฏิเสธว่าไม่ใช่อย่างนั้น

             "ตาแค่สงสัยว่าไม่ได้อยู่กับพี่อุ่นเหรอคะ ทำไมโทรหาตาได้ ไม่กลัวเมียงอนหรือไง เมื่อคืนก็ทีนึงแล้ว" ฉันพูดไปตามตรง แต่ปนตลก

               "พี่ออกมาข้างนอกน่ะ ถึงอยู่ด้วยกันอุ่นเขาก็ไม่สนใจพี่หรอก เราสองคนไม่เหมือนผัวเมียคู่อื่นเขาหรอกนะ" พี่ทีรุฒน์พูด ฉันรู้ว่าเขาพยายามจะสื่ออะไรกับฉัน แต่สำหรับฉัน ยังไงพวกเขาก็คือสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันอย่างถูกต้องตามประเพณีและกฎหมาย ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังจะเป็นอย่างไรก็ตาม
               
                 ปัจจุบันฉากหน้าพวกเขาคือสามีภรรยาที่รักกันมาก แม้แต่งงานมาหลายปีแล้วยังไม่มีโซ่ทองคล้องใจก็ตาม นั่นมันคงไม่ใช่ปัญญาใหญ่ เพราะหลายคู่ก็ไม่มีเหมือนกัน ทว่าฉันก็ได้ยินพี่ทีรุฒน์บ่น ๆ เรื่องอยากมีลูกให้ฟังอยู่เป็นประจำ
               
              "ก็โทรมาว่าจะคุยเรื่องนี้แหละ เมื่อคืนพี่ขอโทษแทนอุ่นด้วยนะ ที่เกือบจะเสียมารยาทกับตาน่ะ อุ่นเขาไม่เข้าใจ" พี่ทีรุฒน์บอกกับฉัน

               "ไม่เป็นไรค่ะ ตาเข้าใจพี่อุ่น ถ้าตาเป็นพี่อุ่นตาก็ต้องคิด" ฉันพูดเจือรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่