เปลวพิศวาส (บทที่ 5) โดย มานัส

บทที่ 5

ฝีเท้าที่ก้าวผ่อนช้าลงแต่ใจไม่ได้สงบและความคิดก็ไม่หยุดนิ่ง รูปร่างสูงดูภูมิฐานย่อมเป็นที่ต้องตาของคนที่ได้เห็นคนที่ยิ้มง่าย ที่แม้หลายคราหน้านิ่งจมกับความคิด แต่รอยยิ้มก็มักจะฉายมาเสมอ


เพียงแต่ตอนนี้…ใบหน้าตึงเครียดคิ้วขมวด ดวงตาคมสีอำพันเข้มเป็นประกายโกรธแค้นการก้าวเท้าลงหนักรวดเร็วราวระเบิดปรมาณูที่พุ่งตรงไปทำลายล้างใครที่ไหนสักแห่ง

“ราศีอำมหิต”ธัญญากระซิบ ดึงแขนเพื่อนรุ่นน้องไว้ “เอ็งจะไปไหน”

“ก็เข้าไปทัก”เอื้องคำแจ้งง่ายๆ

“จะบ้าเหรอ!เวลาองค์ชายน้อยเป็นแบบนี้ อยากแหยมเชียว เข้าใจคำว่า ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมไหม”

“แต่เขาไม่ได้โกรธพวกเรานี่”อีกฝ่ายแย้ง มือกอดแฟ้มเอกสารที่ช่วยธัญญาถือไว้แน่น

“ปล่อยๆไปเถอะ” มือ…ปล่อยจากแขนอีกฝ่าย เสียงกระซิบลงหนัก “รีบกลับไปที่ร้านดีกว่าไม่อยากอยู่เจอหน้าญาติๆ เขา”

หากแม้ไม่อยากเจอก็ต้องได้เจอเมื่อคนกลุ่มนั้นเดินออกมาหน้าทางเข้าโรงแรม

ทั้งกำธรและภวัตอีกทั้งทนายความของเทวนิรมิต สองสาวต่างรู้จักดี ทว่าผู้หญิงคนนั้น…ใคร

“ใครเหรอเจ้สวยจัง” เอื้องคำสงสัย “สวยสง่าแบบประหลาดๆ”

“ช่างเถอะเรารีบไปกันดีกว่า”

การเดินจากโรงแรมกลับมายังร้านนิมมานนั้นไม่นานแต่สำหรับเอื้องคำ มันช่างนานแสนนาน โดยเฉพาะเมื่อเธอไม่เห็น…เขาคนนั้น

บทจะหายตัวเขาก็หายไปสองสามวันเว้นแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ คืนนั้น ที่เขาหายไปนับเดือน

ครั้งนี้หญิงสาวคลี่ยิ้มเมื่อเห็นร่างสูงเข้ามานั่งยังหนึ่งในเก้าอี้ทรงสูงที่รายล้อมอยู่รอบบาร์อิริยาบถง่ายๆ ช่างไหลลื่น ไม่ต่างจากสายตาที่มองหาเธอเกือบตลอดเวลา

และนั่นทำให้หญิงสาวยิ้มพรายเมื่อเดินเข้าไปหา

“มองหาพี่ธัญญาเหรอ”สีหน้าของแจ่มใส รู้ในคำตอบอยู่แล้ว

“มองทั่วๆไป” ตุลย์ยิ้มบอกต่อด้วยเสียงสนุก “เผื่อเจอคนที่เราอยากเจอ”

“แล้วเจอหรือยัง”

“เจอแล้ว” ดวงตาเป็นประกายแพรวพราวโน้มตัวเข้าไปหาคนที่ยืนใกล้ๆ “วันนี้เราเอาไวน์มา ของดีนะ ชิมหน่อยไหม”

การชวนเชิญทำให้อีกฝ่ายพยักหน้ามีอะไรที่เป็นขององค์ชายน้อยที่ไม่ดีบ้างล่ะ

“หมดแก้วนี้ก่อนนะ”เอื้องคำลากเสียงสนิทสนม จิบเบียร์ในแก้วที่ถือ

“ได้เราจะดื่มช้าๆ รอ”

“ตัวรอใครเป็นด้วยเหรอ”หางเสียงมีแววหยอกแกมประชด

“เป็น”เขาพยักหน้า อีกแล้วรอยยิ้มพราย “ก็ที่มานั่งรอที่นี่บ่อยๆ ไง ไม่งั้นก็กลับไปนอนแล้ว”

“กลับไปนอนจริงๆอ่ะ”

“จริ๊ง”ชายหนุ่มขึ้นเสียงสูง “แต่ถ้าไม่ได้มารอ ไม่ได้เห็นหน้า มันก็จะนอนไม่ค่อยหลับ”

ว่าแล้วเขาทำสัญญาณมือขอแก้วไวน์ให้เธอทุกท่าทางของเขาอยู่ในสายตาของหญิงสาวตลอด

ชายหนุ่มอายุสามสิบปลายๆในกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีเข้มทับด้วยสูทสีอ่อนตัวนอกผิวขาวอมเหลืองนั้นนวลละเอียดมากกว่าผิวของเธอเสียอีก เขายิ้มง่าย หรือมักจะอมยิ้มและแม้เวลาทำหน้านิ่ง ดวงตาก็มักจะเป็นประกายระยิบชวนมองเสมอ

เอื้องคำชอบดื่มกับเขาคุยกับเขา บางทีก็ทำค็อกเทลสีแดงทับทิมเข้มแสนอร่อยที่เขาชอบให้…พันเปลือกส้มที่เธอบรรจงปอกให้บางรอบลูกเชอร์รี่สีแดงด้วยความประณีตแล้วใช้ไม้กลัดอย่างระมัดระวัง

มันเป็นความสุขเล็กๆอันใหญ่หลวงในชีวิตของเธอตอนนี้

ทรมานใจเพราะเขามาหลายเดือนแล้วจู่ๆ เขาก็กลับมาให้เห็น ให้พบเจอ พูดคุย และเรียนรู้กันและกันจนสนิทสนมคุ้นเคยภายในระยะเวลายังไม่ถึงสามอาทิตย์ดี

สองเดือนที่เขา…ทิ้งเธอในคืนนั้นและอีกสามอาทิตย์หลังจากที่เขาโดนยิง บัดนี้ เขากลับมาหาเธอแล้ว

ใครอื่นที่เข้ามาก็ไม่เหมือนเขาจนทุกคราวหญิงสาวภาวนาให้เวลาหยุดเพียงชั่วขณะนี้ที่ราวว่าโลกทั้งโลกมีเพียงเราสองคน








“พี่ธัญญาจะไปดูเฮเวนส์เห็นว่าตัวจะไปส่งนี่”

เอื้องคำบอกเมื่อเดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“อือ…ก็เห็นว่ารถเสียและถ้าเอื้องจะกลับบ้านก่อนเราไปส่งก็ได้” เขาบอกหน้าตาเฉยเพียงแต่ว่าหญิงสาวดูลังเล จนเสียงเข้มเน้นถาม “มีอะไร”

“เอื้องจะไปร้านที่เคยบอก…”การเท้าความทำให้อีกฝ่ายนึก…บาร์เล็กๆในซอยตันแห่งนั้นที่หญิงสาวมักเล่าให้ฟังเสมอว่าไปบ่อยเพราะมีคนรู้จัก“ยังอยากดื่ม”

“ก็ไปสิเราไปดื่มด้วยคน”

“แต่ตัวจะนั่งได้เหรอ”ถ้าลังเลก็ตรงจุดนี้ ร้านเล็กๆ แออัดกับกลุ่มคนอีกประเภทจะเหมือนร้านหรูที่เขาไปประจำ หรือทั้งร้านและคลับของเครือเทวนิรมิตได้อย่างไร

“ทำไมจะไม่ได้”เขาบอกกลั้วหัวเราะ “แถวนั้นเราก็เคยไป แต่หลายปีมาแล้ว”

“ถ้าไม่ดีไม่สนุกห้ามว่า ห้ามบ่น”

“ครับผม!”เสียงสนุก พร้อมหน้าทะเล้น องค์ชายน้อยก็ทำเป็นกับเขาด้วย

ซ้ำพออยู่กับธัญญาภายในรถยนต์คันงามเขาก็ทำท่าเหนื่อยแสนเหนื่อย จนธัญญายังบอก

“จริงๆปล่อยเอื้องมันลงตรงนี้แหละค่ะ ให้มันซ้อนวินแถวนี้ไปซ่าต่อ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้เรามีคุณคิมหันต์มาช่วยขับไม่เหนื่อยเท่าไหร่” ตุลย์บอกกับธัญญาที่เปิดประตูก้าวลงรถเมื่อถึงผับเฮเวนส์แล้ว“อย่าทำงานหนักนักล่ะ นี่เป็นคำสั่ง”

ไม่ต่างกับที่สั่งหญิงสาวที่นั่งข้างคนขับมาตลอดทางตั้งแต่ออกมาจากอาณาเขตเทวนิรมิต“เอื้องมานั่งข้างหลังนี่”

และคนถูกสั่งก็ทำตามไม่ลังเลเธอมานั่งในตอนหลังข้างเขาแทนที่ธัญญา เห็นหรอกว่าเขาขยับตัวเข้ามาใกล้นิดหนึ่งสั่งคนขับรถให้ไปที่บาร์เป้าหมาย

“เดี๋ยวเราไปส่งก่อนแล้วขอไปทำธุระแป๊ปเดียว”

“แล้วรู้จักร้านไปถูกเหรอ”

“เอาเบอร์มาถ้าหาไม่เจอ เดี๋ยวโทรฯ หา” เขากดเลขโทรศัพท์ตามที่หญิงสาวบอก แล้วโทรฯเข้าก่อนตัดสาย “นั่นเบอร์เรา”

“ไปนานไหม”เอื้องคำแตะมือใหญ่ที่วางบนเบาะนั่งทำจากหนังสีน้ำตาลแดง

“ไม่นานหรอก”เขาหันมายิ้ม ขยับมือประสานกับมือเล็กนั่น “ตรงนี้เอง”

“เอื้องนั่งรอข้างนอกร้านนะจะได้หาง่ายๆ”

“อือ”

สองมือจับแน่นจนกระทั่งรถยนต์สีขาวเข้ามาจอดหน้าซอยเล็กๆที่แน่นไปด้วยผับ บาร์ หลากหลาย หากผู้คนแลดูบางตาอาจเพราะว่านี่คือคืนวันอาทิตย์

“ถ้ามีอะไรก็โทรฯหาเรานะ” ตุลย์ย้ำก่อนคลายมือให้หญิงสาวลงจากรถ

รถยุโรปคันงามเคลื่อนไปอย่างเร็วบนท้องถนนใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาถึงหน้าร้านคาราโอเกะเล็กๆ

“ไม่ต้องดับเครื่อง”เขาสั่งคนขับรถ “ผมทำธุระไม่ถึงสิบนาที”

การก้าวของชายหนุ่มร่างสูงฉับไวและเร็วไม่สนใจบรรดาหญิงสาวในชุดเย้ายวนที่ต้องรับอยู่ด้านนอก

เขากระพริบตาสองสามทีให้ชินกับไฟสลัวภายในร้านและเพื่อมองหาคนที่เขามาพบ

“ได้ความว่ายังไงบ้าง”มือแตะบ่าถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว

“อาของแกได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของพี่ตุ๊กตาจริงๆ”คนผิวคล้ำจัดรูปร่างสันทัดส่ายหน้า “คงกะกินรวบของทั้งแม่แกและฝั่งโน้น”

“ไม่มีอะไรแปลกใหม่”เสียงหัวเราะเย้ยหยัน รู้แล้วว่ามันต้องออกมาอีรูปนี้“แล้วสืบอะไรได้เกี่ยวกับยัยอรดีอะไรนั่น”

“ไม่มี”นี่แหละที่ทำให้ประทีปประหลาดใจ “ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเลยอย่าว่าแต่บนโลกโซเชียล แม้แต่ตอนนี้ยังค้นหาทะเบียนราษฎร์นางไม่ได้ หรือว่าเกิดและโตที่เมืองนอกวะ”

“ไม่รู้”ตุลย์ถอนหายใจ “แล้วบ้านพักของนางที่กรุงเทพ”

“ไม่มีข้อมูล”

“อะไรวะ”คราวนี้เขาเริ่มหงุดหงิด

“หาอะไรไม่ได้เลยรู้เท่ากับที่แกรู้ว่าเจ้าสัวประวิตรเชื่อใจมาก แต่ไม่รู้ว่าเข้ามาสนิทกับเจ้าสัวตอนไหนยังไงขอเวลาสักสองอาทิตย์ เผื่อได้ข้อมูลอะไรใหม่ๆ”

“ได้ๆเรื่องภายในเทวนิรมิต ฉันพอหาเรื่องยื้อเวลาได้”

“แต่จะได้นานแค่ไหน”คนเป็นเพื่อนและทนายท้วง

“นานเท่าที่ฉันสามารถทำได้”










คุยธุระกับประทีปใช้เวลาไม่นานและไม่ถึงสี่สิบนาทีเขาก็กลับมาที่ปากซอยแคบๆ ของบรรดาเหล่าสถานที่เที่ยวกลางคืน


ร่างสูงเดินตรงเข้าไปไม่สนใจแสงสีเสียงหรือคำยั่วยวนจากสองข้างทาง ใบหน้าขาวอมเหลืองนวลเหมือนแสงจันทร์กับท่าทางสบายๆ ดูอารมณ์ดี เป็นที่ต้องตาแก่คนที่ได้เห็นเพียงแต่สายตาของเขาจับอยู่ที่ผู้หญิงคนนั้นที่นั่งบนหนึ่งในสองเก้าอี้รอบโต๊ะกลมตัวเล็ก

รอยยิ้มของเขาคลี่ออกรับรอยยิ้มของเอื้องคำเห็นเธอวางโทรศัพท์ในมือลงหันไปพูดอะไรสองสามคำกับพนักงานชายร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดสีดำที่ลุกขึ้นไปจากเก้าอี้อีกตัว

“ดื่มไปกี่แก้วแล้ว”คำถามแกมหัวเราะ แล้วลงนั่งข้างๆ ยังเก้าอี้ว่าง

“เพิ่งเริ่มแก้วที่สองเอง”ดวงตาฉ่ำหยีจนเป็นสระอิมองเขา แซมแววหวานแกมเจ้าชู้หน่อยๆที่เพิ่มเสน่ห์ให้มากยิ่งขึ้น “นี่หาเจอได้ยังไง”

“ไม่ยากนี่ก็เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ”ตุลย์ยังคงมองหญิงสาวแม้เมื่อเขารับรายการเครื่องดื่มมาจากพนักงานชายคนนั้นที่จ้องเขาไม่วางตา

“เดินมาออร่าจับ”จะไม่ให้จับได้อย่างไร…ผู้ชายอะไร ผิวสวย รูปหน้างาม แล้วยังดวงตาสีอำพันเข้มนั่นแถมรอยยิ้มที่ราวว่าสร้างสรรค์มาให้ทุกอย่างมันลงตัว ท่าทางการเดินมั่นใจไม่มีลังเล ต่างจากผู้ชายทุกคนแถวนี้ หรือว่าแถวไหน “ดีไม่โดนสาวๆ จับไป”

การบอกมีเคล้าเง้างอนเพียงนิดที่ทำให้เสียงและนัยน์ตาของเขาเจือด้วยความเอ็นดู “ไม่ยอมให้ใครจับทั้งนั้นแหละถ้ายอมก็ยอมไปนานแล้ว ไม่เหลือมาจนป่านนี้หรอก”

และแม้เสียงของเขาจะเปลี่ยนเป็นทางการเวลาที่สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานชายร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดสีดำแต่น้ำเสียงทุ้มก็ยังคงความเป็นมิตร ความใจดีเช่นเดิม

“แล้วตกลงหนีไปไหนมา” เอื้องคำถามเมื่อบริกรคนนั้นหันไปสั่งอะไรกับเพื่อนร่วมงาน

“ไปแถวๆขนส่งฯ”

“ทำไมต้องไป”

“ไปหาคนแป๊ปเดียว” ตุลย์เห็นการหรี่ตาของอีกฝ่าย “เพื่อนที่เขาอยากให้เราช่วยเซ็นเอกสาร”

“เวลานี้น่ะนะ”

“ก็เวลานี้เพราะเวลาอื่นมัวแต่ไปเฝ้าใครก็ไม่รู้ที่นิมมาน” เขาบอกหน้าตาเฉย แววตาระยิบพรายอีกฝ่ายได้แต่อมยิ้มมองค้อน




(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่