บทที่ 14
ร้านคาราโอเกะเล็กๆ มองจากด้านนอกแทบไม่รู้เพราะเป็นเพิงห้องแอร์ไม่กว้าง อยู่ติดกับอีกหลายร้านลักษณะไม่แตกต่างกันนัก ทว่าภายในร้านไม่ได้ดูคับแคบ มีโต๊ะประมาณสิบโต๊ะ จอโทรทัศน์ติดอยู่รอบด้านทั้งสี่ทิศ ทำให้ผู้ที่จับไมค์ร้องเพลงสามารถหันดูเนื้อและร้องตามได้
เอื้องคำแลดูสนิทสนมกับสถานที่แห่งนี้ เธอพาเขาไปที่โต๊ะด้านในชิดกำแพง แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ พิงตัวสบายในอ้อมแขนของเขา หันถามเงยหน้าแนบชิดเวลาสั่งอาหารและเครื่องดื่ม
ร้านนี้มีเบียร์ที่เธอชอบดื่ม แต่ไม่มีเหล้าฝรั่ง…ราคาไม่แพง
เหล้าขั้นต่ำสุดที่เขายอมดื่ม
เธอสั่งน้ำเปล่าและน้ำอัดลมให้เขาแทน
อาจเพราะที่นี่…ไม่ใช่สังคมของเขา หรือเพราะไฟสลัวมัวๆ มืด หรือเพราะลูกค้าที่ร้านมีเพียงสองโต๊ะ ทำให้การแสดงออกทางกายของเขาชัดเจนขึ้นไม่ว่าจะเป็นการจับมือ โอบกอด เย้ากระซิบ หรือดูแลเอาใจใส่เธอ
“งานดีนะคะคุณน้อง” หนึ่งในพนักงานที่เป็นหลานของเจ้าของกระซิบเมื่อหญิงสาวออกมาสูบบุหรี่ด้านนอก “หามาจากไหนนะแบบนี้ ผิวพรรณดี๊ดี ท่าทางก็ดี๊ดี คงเป็นผู้ดี มีตังค์ล่ะสิท่า ดูดีไปหมด”
“กว่าจะเจอ ก็เล่นเอาแทบตายเลยเจ้” เอื้องคำยิ้มกว้าง
อยากจะบอกว่า…กว่าเขาจะกลับมา ก็เล่นเอาเธอคิดถึงและคิดมากแทบตาย
“แหม…สวยขนาดหล่อน น่าจะหาไม่ยาก ถ้าขนาดหล่อนแทบตาย แล้วอย่างฉันล่ะ มิต้องรอไปอีกสิบชาติเหรอ”
การบอกของอีกฝ่ายทำให้เอื้องคำหัวเราะเบาๆ
ตุลย์คือความภูมิใจของเธอ การดูแลเอาใจใส่ของเขาที่ปฏิบัติต่อเธอในตอนนี้ทำให้สาวน้อยใหญ่ แท้เทียมในร้านต่างมองตาเป็นมัน
“ไม่ร้องบ้างล่ะ” เอื้องคำชวนหลังจากที่เธอร้องเพลงที่เลือกไว้จบทั้งสองเพลง
“ไม่ล่ะ เรากลัวเอื้องตกใจ” คำพูดติดตลก ใบหน้าที่ยื่นมาจนลมหายใจรดแก้ม เสียงลดลงออดอ้อน “เราอยากฟังเอื้องร้องมากกว่า เอื้องร้องเพราะราวนางสวรรค์เลย”
“รู้ด้วยเหรอว่านางสวรรค์เสียงเป็นยังไง”
“ไม่รู้หรอก แต่รู้ว่าไพเราะน้อยกว่าเอื้อง และสวยน้อยกว่าเอื้องของเราด้วย” วาจาของเขางดงาม หวานนัก ทำให้คนฟังเคลิ้มได้ไม่ยาก
ในเวลานี้เอื้องคำเคลิ้มหนัก อยู่ในห้วงภวังค์ที่มีแต่เขาและอ้อมแขนของเขา
อยู่ในสายตา เห็นรอยยิ้มของเขา
รสชาติของเบียร์แกล้มไส้หมูทอดของโปรดยังไม่อร่อยเท่ากับรอยสัมผัสจากร่างกายของเขาที่แนบชิด
หญิงสาวเบียดตัวเข้าหาสนิทแน่นพิงอกของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แขนของเขาโอบเอวของเธอให้ความวาบหวิว มือซ้ายของเธอที่ไม่ได้ถือไมค์วางบนต้นขาของเขา มีมือเขาประสาน กุมไว้ บางทีตุลย์ยกมือของเธอขึ้นไปหอมอย่างละมุนละไม หญิงสาวร้องเพลงอย่างสนุกสนาน หันมาส่งสายตาให้อีกฝ่ายไม่ขาดสาย
“ง่วงแล้วเหรอ” เธอหรี่ตามองคนที่พยายามกลบอาการหาว หัวเราะอย่างเอ็นดูเมื่อเขาส่ายหน้า “หมดแก้วนี้กลับกันนะ”
“อยู่ต่อได้ อยากอยู่กับเอื้อง” เสียงง๊องแง๊งราวงอแง มือลดลงมาแตะที่สะโพกและต้นขาของเธอ
“ตีสามแล้ว”
“ช่าง”
“ช่างอะไร…ดูตัวเองสิ ตาจะปิดแล้วนั่น” หญิงสาวหัวเราะ ใช้มือหนึ่งประคองใบหน้าที่ซบบนไหล่ของเธอ มองหน้าเขาเต็มตา ก่อนหอมแก้มฟอดใหญ่
คนง่วงตาฉ่ำ มองเธอกลับด้วยความเสน่หา ปนประกายแห่งความสุข รอยยิ้มละไมลึกซึ้งประจบประแจงอย่างที่ไม่เคยมีให้ผู้หญิงคนไหนมาก่อน
“เอื้องจ๋า” คำเรียกชื่ออ่อนหวาน
องค์ชายน้อยอ้อนหนักมาก และหัวใจของเธอก็เต้นแรงมาก
แรง…จนแทบขาดใจเสียให้ได้ตรงนี้
เอื้องคำพยายามบังคับแรงปรารถนา ตั้งแต่ที่เขาโอบเอวพาเธอเดินออกมาจากร้านจนขึ้นรถ หรือว่าในรถที่มือของทั้งคู่สอดประสานวางบนตักของหญิงสาวไปตลอดทางเช่นทุกครั้ง จนมาถึงหน้าตึกห้องพัก ตุลย์ก็ยังไม่ปล่อยมือ เขาหันมาทางคนที่นั่งข้างๆ ใช้หลังมือขวาแตะบนแก้มซ้ายลูบลงมาถึงเชิงคาง เห็นรอยยิ้มบางๆ ของเอื้องคำในความมืด นิ้วโป้งแตะริมฝีปากของเธอ แล้วยื่นหน้าประทับปากร้อนระอุบนแก้มนวล บรรจงจูบที่ลำคอไล่ลงมาถึงหัวไหล่เนียน ก้มลงแตะริมฝีปากบนเนื้อนวลที่เปิดให้เห็นเหนือเนินอก
มือของเอื้องคำอีกข้างที่ยังคงประสานกับเขานั้นบีบแน่น
“เอื้องหอมจัง” เสียงกระซิบแผ่วที่ข้างหูของอีกฝ่าย ไม่มีส่วนไหนที่เขาสัมผัสแล้วจะไม่หอม…กลิ่นหอมระรื่นชื่นจิตนัก ติดใจนักแล
ดอกไม้ไหนที่ว่าหอม ยังไม่หอมรัญจวนใจเท่ากลิ่นกายของเอื้องคำ
แม้ว่าเอื้องคำจะทำงานที่ร้านอาหาร เข้าออกครัวอยู่บ่อยในการทำงาน แต่ร่างของเธอไม่ติดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากครัว หรือจากการนั่งรถมอเตอร์ไซค์เลย ตรงกันข้ามเนื้อตัวของเธอที่แม้แค่เพียงเดินผ่านก็จะหอมหวาน หรือไม่ก็หอมเย็น และมักจะติดมือของเขาที่ได้สัมผัส
ความหอมจากตัวเอื้องคำเป็นหอมทนและหอมนาน
คืนนี้คงติดทั้งมือทั้งจมูก และติดสนิทแนบในดวงจิตพิศวาสเชียวล่ะ
หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้ หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูเรียมเอย
หอมกลิ่นกรุ่นครันหอมนั้นยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอยเราละเหนอฯ
[“ลาวดวงเดือน” พระนิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม]
“ห๊อมหอม” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ พยายามปรับเสียงไม่ให้สั่น ไม่แสดงอาการเกร็งไปทั้งตัวเพราะไฟเสน่หาให้เขาจับได้
“หอมเบียร์ห้าขวด” ตุลย์เย้าแหย่ ลมหายใจจรดลำคอของอีกฝ่าย จมูกและริมฝีปากไล้ขึ้นแตะติ่งหู “หอมไปหมดเลยเอื้องจ๋า”
มือข้างขวาของเขาค่อยๆ ดันให้ใบหน้าของเธอหันมา เพื่อริมฝีปากของเขาจะได้ทาบลงบนริมฝีปากละมุนได้สะดวก
สัมผัสของเขาอ่อนโยนและการสนองกลับของหญิงสาวก็ละไมนัก เพียงครู่ตุลย์จึงละริมฝีปาก ขยับตัวห่างออกมา หากมืออีกข้างยังคงกุมมือเอื้องคำไว้
“จะตีสี่แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะ มองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู พยายามระงับความปรารถนาทั้งปวง “ไปนอนเถอะ สงสาร…”
“ค่ะ” ลมหายใจถูกลอบระบาย ราวปลดปล่อยอารมณ์ที่ระอุขึ้น
ตุลย์จะรู้ไหมว่าเขาทำเธอแทบขาดใจอีกแล้ว
“พรุ่งนี้ที่บ้านมีทำบุญ รวมญาติ เราอาจมารับไปทำงานไม่ได้ หรือเราอาจให้คุณคิมหันต์มารับ”
“ไม่ต้องหรอก เอื้องไปเองได้ สบายมาก”
“รู้ว่าสบายมาก รู้ว่าเก่ง” เขายิ้มอย่างเอ็นดู บีบมือ…สู้ชีวิตเบาๆ “แต่เราเป็นห่วง อยากดูแลเอื้องนี่ อยากดูแลทุกอย่าง ดูแลให้ดีที่สุด อยากทำให้เอื้องมีความสุข”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยื่นหน้าไปหอมแก้มเขา…ชื่นใจนัก
“ไว้ตอนค่ำเราไปหาที่ร้านแล้วรอรับกลับนะ อยากดื่มเหล้าฝีมือเอื้องด้วย ใครทำให้ก็ไม่เหมือนที่เอื้องทำ ไม่อร่อย ไม่หอม ไม่หวานเท่า ไม่ถูกใจเลย ระหว่างนี้เราคงใจแทบขาดเพราะคิดถึงเอื้อง” สำนวนแฝงเลศนัยอย่างอื่นไว้ด้วย ดวงตาที่แลมามีแววลึกซึ้ง
“ปากหวานนะเนี่ย” จนเอื้องคำต้องแอบคิด…หวานแบบนี้มาแล้วกับกี่คน
“ก็มันจริงนี่ และเราก็หวานกับเอื้องคนเดียวแหละ” แม้เขาพูดเช่นนั้น แต่อีกฝ่ายก็อดคิดไม่ได้ แล้วกับมัทนาล่ะ…เขาเคยหวานเช่นนี้หรือเปล่า “ขึ้นไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวเช้าพอดี และก็อย่าลืมอาบน้ำก่อนนอนด้วยล่ะ”
“เจ้าคร่า” เอื้องคำลากเสียงยาว ยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาอีกฟอด
จะรุ่งสางแล้ว แต่เธอไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด แต่เขาสิ…ตาใกล้ปิดเต็มทีแล้ว อยากจะชวนให้เขาขึ้นไปงีบสักนิด แต่เอื้องคำไม่กล้า
ถ้าเป็นสมหวัง หรือแฟนคนก่อน หรือกับสามีของเธอ หญิงสาวเคย…กล้า แต่กับตุลย์ ดูเขาระมัดระวังนัก เธอไม่กล้ากับเขาเท่าไรหรอก
เอื้องคำไม่อยากให้เขามองว่าเธอ…ง่าย
หรือแค่เล่นๆ ไม่จริงจัง
อยากให้เขาจริงใจกับเธอเหมือน ใจ ที่เขามอบให้มัทนา
ความ…แปลกระหว่างตุลย์กับเอื้องคำนั้นปรากฏให้ธัญญาเห็นมาหลายเดือนก่อน และยิ่งประจักษ์ชัดเรื่อยๆ
กับเอื้องคำ…ตั้งแต่เวลาสายหลังจากคืนที่ช่วยกันหามตุลย์กลับไปที่ห้องพักของเธอ
ตื่นมาก็พบเอื้องคำสูบบุหรี่มวนต่อมวนอยู่ที่ระเบียง หากไม่พบตุลย์
‘กลับไปตั้งนานแล้ว’ เอื้องคำตอบ นัยน์ตาแดงกระพริบสองสามที
‘กลับยังไง’ คนที่เป็นเจ้าของบ้านเป็นห่วงเขา จนลืมนึกถึงว่า ทำไมเอื้องคำถึงตื่นเร็ว แล้วยังดวงตาแดงๆ นั่น
‘ไม่รู้’
‘ไม่รู้ได้ไง แกนอนเฝ้าอยู่ข้างโซฟา เขาหนีกลับแกก็ต้องรู้’
‘ก็หลับไม่รู้เรื่องไงเจ้’ คนตอบลดเสียงลงต่ำ ดับบุหรี่ในมือ ‘ขอนอนต่ออีกงีบนะ เดี๋ยวติดรถไปทำงานด้วย’
ในเวลานั้นธัญญาได้แต่มองตามหลังเพื่อนรุ่นน้องที่ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นข้างโซฟา ท่าทางเหนื่อยล้านั้นก็น่าจะเพราะวิ่งตามจับ รบกับคนเมาแล้วแผลงฤทธิ์อยู่หลายชั่วโมง
เอื้องคำเงียบ มีทีท่าเศร้าๆ ราวคิดถึงใคร คิดอะไรอยู่หลายอาทิตย์
หากเมื่อก่อนธัญญาและคนอื่นๆ มักเดาว่า ‘คิดถึงชัยพร’
แฟนเก่าที่คบกันไม่นานหลังจากที่เอ้องคำแยกทางกับอดีตสามี แล้วเลิกรากันไปทั้งๆ ที่เอื้องคำยังคงรักและไม่ลืม หรือไม่ก็วุ่นวายใจเพราะมีหนุ่มคนใหม่เข้ามาจีบ
น่าจะอย่างหลัง…เพราะไม่นานหลังจากนั้น เอื้องคำก็มีสมหวังมาเติมเต็มชีวิต
อาการเงียบเหงาเศร้าสร้อย ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ โดยมีแม่และพี่สาวที่แวะมาเยี่ยม หรืออาจเพราะเจ้าตัวได้ไปเยี่ยมหาลูกๆ ที่อยู่เชียงใหม่
แต่ไม่ว่าเพราะอะไร เอื้องคำก็ดูไม่น่าสงสัยเท่าตุลย์
สองเดือนกว่าที่เขาหายไปจากนิมมานและเทวนิรมิต จะกลับมาก็แค่บ้านใหญ่…ค้างคืนสองคืน แต่ไม่เคยแวะมาที่นิมมาน
ยุ่ง…ไม่ว่าง…เหนื่อย…ติดธุระ อยู่ต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง และอีกสารพัดข้ออ้างที่เขาจะสรรหามา
แม้แต่เวลาที่นิมมานจัดงานพิเศษเพื่อดึงลูกค้า ตุลย์ผู้ที่มักแวะมาเป็นกำลังใจสำคัญให้เธอและให้พี่ชายของเขาทุกครั้งก็หายไป ไม่มาเลย
จนกระทั่งคืนนั้นหลังจากที่เขาเริ่มหายดีจากบาดแผลที่โดนยิง
กลับมาพร้อมความแปลก…คนที่ชอบนั่งข้างในกลับนั่งข้างนอก
และเขาก็เงียบแปลกๆ แม้เธอเข้าไปนั่งคุย นั่งเป็นเพื่อนเขาเป็นชั่วโมง สายตาของตุลย์เหมือนมองหาอะไร หรือใครตลอดเวลา
ธัญญาเคยคิด…เพราะเขาเพิ่งสูญเสียพี่ชายและพี่สะใภ้ อีกทั้งอาการบาดเจ็บนั่นอีก เพียงแต่อะไรบางอย่างบอกเธอว่า…ไม่ใช่
‘ไปตามเอื้องมา’ เธอสั่งหนึ่งในบรรดาลูกน้องเช่นนั้น เมื่อตุลย์รั้นที่จะดื่มเหล้าเป็นแก้วที่ห้าที่หก
เอื้องคำจะพูดหรือช่วยอะไรได้…เพราะขนาดเธอที่สนิทกับเขายังไม่สามารถปรามได้ เพียงแต่…ไม่ลองไม่รู้ อย่างน้อย เขาอาจจะเกรงใจเอื้องคำที่ช่วยหามเขากลับเมื่อเดือนก่อนโน้น
รอยยิ้มเป็นประกายสนุกของตุลย์ยังฉาบใบหน้าเมื่อเอื้องคำเข้ามานั่งหน้าตึงปั้นเคร่ง หันข้างไม่มองเขา และการมองของเขานั่นอีก…ชำเลืองมองเอื้องคำอย่างกล้าๆ เกรงๆ
และยอม…ฟังในที่สุด
‘เอ็งกับพี่ตุลย์เป็นอะไร มีอะไรหรือเปล่า’ ธัญญาถามลูกน้องคนสนิทเมื่อเลิกงานกลับออกมาพร้อมกัน
‘จะมีอะไรล่ะเจ้’
‘ก็ท่าทางของเขาและของเอ็งมันแปลกๆ ปรกติพี่ตุลย์ยอมใครง่ายๆ เสียที่ไหน มีบ้างกับพี่เตชน์ที่พอเอาอยู่ แต่ก็มีหลายทีที่เอาไม่อยู่’
‘เขาก็อาจจะอยากกลับไปนอน’ เอื้องคำอ้าง
‘ฉันพูดจนน้ำลายหมดปาก ยังไม่ฟัง เอ็งไปนั่งปั้นหน้าแป๊ปๆ เขาฟัง’
หลายอาทิตย์หลังจากนั้น ธัญญาพยายามสังเกตอาการของคนทั้งคู่ มีหลายอย่างน่าสงสัย แต่ไม่เคยจับได้จังๆ เสียที
การที่เขานั่งดื่มจนดึกแล้วส่งเอื้องคำกลับบ้านก็ดูปรกตินัก ตุลย์…ใจดี การอาสาไปส่งจึงไม่แปลก และบางทีเขาก็ให้คิมหันต์ไปส่งทั้งเธอและเอื้องคำ
ความสนิทสนมระหว่างเอื้องคำกับตุลย์มีมากขึ้น แต่นั่นอาจเพราะความคุ้นเคยจากที่ตุลย์มานั่งที่นิมมานแทบทุกวัน และการที่เอื้องคำดูแลเขาตามที่ได้รับมอบหมาย
ดูแล…ไม่ขาด แต่หลายคราอาจจะเกินเลย ทว่าตุลย์ไม่เคยว่า หรือตำหนิ
หรือวันนั้นที่ตุลย์พาเธอและเอื้องคำไปเลี้ยงข้าวต้นรอบดึก ธัญญาเลือกที่จะนั่งตรงข้ามคนทั้งสอง คอยสังเกต
ตุลย์คุยไปเรื่อยในแบบฉบับของเขา คุยได้ทุกเรื่อง กับทุกคน ตามใจเธอกับเอื้องคำในการสั่งอาหาร
เอื้องคำจิบเบียร์ นิ่ง เงียบ ผิดปรกติ แทบไม่หันไปทางคนที่นั่งข้างๆ จะมีแต่ตุลย์ที่…เผลอตักยำกุนเชียงให้อีกฝ่าย และเมื่อรู้ตัวจึงตักให้ธัญญาด้วย
แล้วยังปาร์ตี้ส้มต่ำหลังร้านปิดที่ตุลย์ช่วยสมทบทุน โดยที่เจ้ามือนั่งที่บาร์ ดื่มเหล้าผสมของเขาที่เอื้องคำทำให้ มีซุปหน่อไม้แสนอร่อยแกล้ม ระหว่างที่พนักงานทุกคนต่างล้อมวงกันในครัว อิ่มเอมกับส้มตำ และบรรดาอาหารจากอร่อย จะมีแต่เอื้องคำที่เลือกไปนั่งข้างๆ เขาที่บาร์ นั่งเล่นมือถือไป คุยกับเขาไป ไม่สนใจที่จะร่วมวง
‘อย่างกะเขานั่งจีบกัน’ น้องคนหนึ่งสังเกต
(ต่อ)
เปลวพิศวาส (บทที่ 14) โดย มานัส
บทที่ 14
ร้านคาราโอเกะเล็กๆ มองจากด้านนอกแทบไม่รู้เพราะเป็นเพิงห้องแอร์ไม่กว้าง อยู่ติดกับอีกหลายร้านลักษณะไม่แตกต่างกันนัก ทว่าภายในร้านไม่ได้ดูคับแคบ มีโต๊ะประมาณสิบโต๊ะ จอโทรทัศน์ติดอยู่รอบด้านทั้งสี่ทิศ ทำให้ผู้ที่จับไมค์ร้องเพลงสามารถหันดูเนื้อและร้องตามได้
เอื้องคำแลดูสนิทสนมกับสถานที่แห่งนี้ เธอพาเขาไปที่โต๊ะด้านในชิดกำแพง แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ พิงตัวสบายในอ้อมแขนของเขา หันถามเงยหน้าแนบชิดเวลาสั่งอาหารและเครื่องดื่ม
ร้านนี้มีเบียร์ที่เธอชอบดื่ม แต่ไม่มีเหล้าฝรั่ง…ราคาไม่แพง
เหล้าขั้นต่ำสุดที่เขายอมดื่ม
เธอสั่งน้ำเปล่าและน้ำอัดลมให้เขาแทน
อาจเพราะที่นี่…ไม่ใช่สังคมของเขา หรือเพราะไฟสลัวมัวๆ มืด หรือเพราะลูกค้าที่ร้านมีเพียงสองโต๊ะ ทำให้การแสดงออกทางกายของเขาชัดเจนขึ้นไม่ว่าจะเป็นการจับมือ โอบกอด เย้ากระซิบ หรือดูแลเอาใจใส่เธอ
“งานดีนะคะคุณน้อง” หนึ่งในพนักงานที่เป็นหลานของเจ้าของกระซิบเมื่อหญิงสาวออกมาสูบบุหรี่ด้านนอก “หามาจากไหนนะแบบนี้ ผิวพรรณดี๊ดี ท่าทางก็ดี๊ดี คงเป็นผู้ดี มีตังค์ล่ะสิท่า ดูดีไปหมด”
“กว่าจะเจอ ก็เล่นเอาแทบตายเลยเจ้” เอื้องคำยิ้มกว้าง
อยากจะบอกว่า…กว่าเขาจะกลับมา ก็เล่นเอาเธอคิดถึงและคิดมากแทบตาย
“แหม…สวยขนาดหล่อน น่าจะหาไม่ยาก ถ้าขนาดหล่อนแทบตาย แล้วอย่างฉันล่ะ มิต้องรอไปอีกสิบชาติเหรอ”
การบอกของอีกฝ่ายทำให้เอื้องคำหัวเราะเบาๆ
ตุลย์คือความภูมิใจของเธอ การดูแลเอาใจใส่ของเขาที่ปฏิบัติต่อเธอในตอนนี้ทำให้สาวน้อยใหญ่ แท้เทียมในร้านต่างมองตาเป็นมัน
“ไม่ร้องบ้างล่ะ” เอื้องคำชวนหลังจากที่เธอร้องเพลงที่เลือกไว้จบทั้งสองเพลง
“ไม่ล่ะ เรากลัวเอื้องตกใจ” คำพูดติดตลก ใบหน้าที่ยื่นมาจนลมหายใจรดแก้ม เสียงลดลงออดอ้อน “เราอยากฟังเอื้องร้องมากกว่า เอื้องร้องเพราะราวนางสวรรค์เลย”
“รู้ด้วยเหรอว่านางสวรรค์เสียงเป็นยังไง”
“ไม่รู้หรอก แต่รู้ว่าไพเราะน้อยกว่าเอื้อง และสวยน้อยกว่าเอื้องของเราด้วย” วาจาของเขางดงาม หวานนัก ทำให้คนฟังเคลิ้มได้ไม่ยาก
ในเวลานี้เอื้องคำเคลิ้มหนัก อยู่ในห้วงภวังค์ที่มีแต่เขาและอ้อมแขนของเขา
อยู่ในสายตา เห็นรอยยิ้มของเขา
รสชาติของเบียร์แกล้มไส้หมูทอดของโปรดยังไม่อร่อยเท่ากับรอยสัมผัสจากร่างกายของเขาที่แนบชิด
หญิงสาวเบียดตัวเข้าหาสนิทแน่นพิงอกของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แขนของเขาโอบเอวของเธอให้ความวาบหวิว มือซ้ายของเธอที่ไม่ได้ถือไมค์วางบนต้นขาของเขา มีมือเขาประสาน กุมไว้ บางทีตุลย์ยกมือของเธอขึ้นไปหอมอย่างละมุนละไม หญิงสาวร้องเพลงอย่างสนุกสนาน หันมาส่งสายตาให้อีกฝ่ายไม่ขาดสาย
“ง่วงแล้วเหรอ” เธอหรี่ตามองคนที่พยายามกลบอาการหาว หัวเราะอย่างเอ็นดูเมื่อเขาส่ายหน้า “หมดแก้วนี้กลับกันนะ”
“อยู่ต่อได้ อยากอยู่กับเอื้อง” เสียงง๊องแง๊งราวงอแง มือลดลงมาแตะที่สะโพกและต้นขาของเธอ
“ตีสามแล้ว”
“ช่าง”
“ช่างอะไร…ดูตัวเองสิ ตาจะปิดแล้วนั่น” หญิงสาวหัวเราะ ใช้มือหนึ่งประคองใบหน้าที่ซบบนไหล่ของเธอ มองหน้าเขาเต็มตา ก่อนหอมแก้มฟอดใหญ่
คนง่วงตาฉ่ำ มองเธอกลับด้วยความเสน่หา ปนประกายแห่งความสุข รอยยิ้มละไมลึกซึ้งประจบประแจงอย่างที่ไม่เคยมีให้ผู้หญิงคนไหนมาก่อน
“เอื้องจ๋า” คำเรียกชื่ออ่อนหวาน
องค์ชายน้อยอ้อนหนักมาก และหัวใจของเธอก็เต้นแรงมาก
แรง…จนแทบขาดใจเสียให้ได้ตรงนี้
เอื้องคำพยายามบังคับแรงปรารถนา ตั้งแต่ที่เขาโอบเอวพาเธอเดินออกมาจากร้านจนขึ้นรถ หรือว่าในรถที่มือของทั้งคู่สอดประสานวางบนตักของหญิงสาวไปตลอดทางเช่นทุกครั้ง จนมาถึงหน้าตึกห้องพัก ตุลย์ก็ยังไม่ปล่อยมือ เขาหันมาทางคนที่นั่งข้างๆ ใช้หลังมือขวาแตะบนแก้มซ้ายลูบลงมาถึงเชิงคาง เห็นรอยยิ้มบางๆ ของเอื้องคำในความมืด นิ้วโป้งแตะริมฝีปากของเธอ แล้วยื่นหน้าประทับปากร้อนระอุบนแก้มนวล บรรจงจูบที่ลำคอไล่ลงมาถึงหัวไหล่เนียน ก้มลงแตะริมฝีปากบนเนื้อนวลที่เปิดให้เห็นเหนือเนินอก
มือของเอื้องคำอีกข้างที่ยังคงประสานกับเขานั้นบีบแน่น
“เอื้องหอมจัง” เสียงกระซิบแผ่วที่ข้างหูของอีกฝ่าย ไม่มีส่วนไหนที่เขาสัมผัสแล้วจะไม่หอม…กลิ่นหอมระรื่นชื่นจิตนัก ติดใจนักแล
ดอกไม้ไหนที่ว่าหอม ยังไม่หอมรัญจวนใจเท่ากลิ่นกายของเอื้องคำ
แม้ว่าเอื้องคำจะทำงานที่ร้านอาหาร เข้าออกครัวอยู่บ่อยในการทำงาน แต่ร่างของเธอไม่ติดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากครัว หรือจากการนั่งรถมอเตอร์ไซค์เลย ตรงกันข้ามเนื้อตัวของเธอที่แม้แค่เพียงเดินผ่านก็จะหอมหวาน หรือไม่ก็หอมเย็น และมักจะติดมือของเขาที่ได้สัมผัส
ความหอมจากตัวเอื้องคำเป็นหอมทนและหอมนาน
คืนนี้คงติดทั้งมือทั้งจมูก และติดสนิทแนบในดวงจิตพิศวาสเชียวล่ะ
หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้ หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูเรียมเอย
หอมกลิ่นกรุ่นครันหอมนั้นยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอยเราละเหนอฯ
[“ลาวดวงเดือน” พระนิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม]
“ห๊อมหอม” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ พยายามปรับเสียงไม่ให้สั่น ไม่แสดงอาการเกร็งไปทั้งตัวเพราะไฟเสน่หาให้เขาจับได้
“หอมเบียร์ห้าขวด” ตุลย์เย้าแหย่ ลมหายใจจรดลำคอของอีกฝ่าย จมูกและริมฝีปากไล้ขึ้นแตะติ่งหู “หอมไปหมดเลยเอื้องจ๋า”
มือข้างขวาของเขาค่อยๆ ดันให้ใบหน้าของเธอหันมา เพื่อริมฝีปากของเขาจะได้ทาบลงบนริมฝีปากละมุนได้สะดวก
สัมผัสของเขาอ่อนโยนและการสนองกลับของหญิงสาวก็ละไมนัก เพียงครู่ตุลย์จึงละริมฝีปาก ขยับตัวห่างออกมา หากมืออีกข้างยังคงกุมมือเอื้องคำไว้
“จะตีสี่แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะ มองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู พยายามระงับความปรารถนาทั้งปวง “ไปนอนเถอะ สงสาร…”
“ค่ะ” ลมหายใจถูกลอบระบาย ราวปลดปล่อยอารมณ์ที่ระอุขึ้น
ตุลย์จะรู้ไหมว่าเขาทำเธอแทบขาดใจอีกแล้ว
“พรุ่งนี้ที่บ้านมีทำบุญ รวมญาติ เราอาจมารับไปทำงานไม่ได้ หรือเราอาจให้คุณคิมหันต์มารับ”
“ไม่ต้องหรอก เอื้องไปเองได้ สบายมาก”
“รู้ว่าสบายมาก รู้ว่าเก่ง” เขายิ้มอย่างเอ็นดู บีบมือ…สู้ชีวิตเบาๆ “แต่เราเป็นห่วง อยากดูแลเอื้องนี่ อยากดูแลทุกอย่าง ดูแลให้ดีที่สุด อยากทำให้เอื้องมีความสุข”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยื่นหน้าไปหอมแก้มเขา…ชื่นใจนัก
“ไว้ตอนค่ำเราไปหาที่ร้านแล้วรอรับกลับนะ อยากดื่มเหล้าฝีมือเอื้องด้วย ใครทำให้ก็ไม่เหมือนที่เอื้องทำ ไม่อร่อย ไม่หอม ไม่หวานเท่า ไม่ถูกใจเลย ระหว่างนี้เราคงใจแทบขาดเพราะคิดถึงเอื้อง” สำนวนแฝงเลศนัยอย่างอื่นไว้ด้วย ดวงตาที่แลมามีแววลึกซึ้ง
“ปากหวานนะเนี่ย” จนเอื้องคำต้องแอบคิด…หวานแบบนี้มาแล้วกับกี่คน
“ก็มันจริงนี่ และเราก็หวานกับเอื้องคนเดียวแหละ” แม้เขาพูดเช่นนั้น แต่อีกฝ่ายก็อดคิดไม่ได้ แล้วกับมัทนาล่ะ…เขาเคยหวานเช่นนี้หรือเปล่า “ขึ้นไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวเช้าพอดี และก็อย่าลืมอาบน้ำก่อนนอนด้วยล่ะ”
“เจ้าคร่า” เอื้องคำลากเสียงยาว ยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาอีกฟอด
จะรุ่งสางแล้ว แต่เธอไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด แต่เขาสิ…ตาใกล้ปิดเต็มทีแล้ว อยากจะชวนให้เขาขึ้นไปงีบสักนิด แต่เอื้องคำไม่กล้า
ถ้าเป็นสมหวัง หรือแฟนคนก่อน หรือกับสามีของเธอ หญิงสาวเคย…กล้า แต่กับตุลย์ ดูเขาระมัดระวังนัก เธอไม่กล้ากับเขาเท่าไรหรอก
เอื้องคำไม่อยากให้เขามองว่าเธอ…ง่าย
หรือแค่เล่นๆ ไม่จริงจัง
อยากให้เขาจริงใจกับเธอเหมือน ใจ ที่เขามอบให้มัทนา
ความ…แปลกระหว่างตุลย์กับเอื้องคำนั้นปรากฏให้ธัญญาเห็นมาหลายเดือนก่อน และยิ่งประจักษ์ชัดเรื่อยๆ
กับเอื้องคำ…ตั้งแต่เวลาสายหลังจากคืนที่ช่วยกันหามตุลย์กลับไปที่ห้องพักของเธอ
ตื่นมาก็พบเอื้องคำสูบบุหรี่มวนต่อมวนอยู่ที่ระเบียง หากไม่พบตุลย์
‘กลับไปตั้งนานแล้ว’ เอื้องคำตอบ นัยน์ตาแดงกระพริบสองสามที
‘กลับยังไง’ คนที่เป็นเจ้าของบ้านเป็นห่วงเขา จนลืมนึกถึงว่า ทำไมเอื้องคำถึงตื่นเร็ว แล้วยังดวงตาแดงๆ นั่น
‘ไม่รู้’
‘ไม่รู้ได้ไง แกนอนเฝ้าอยู่ข้างโซฟา เขาหนีกลับแกก็ต้องรู้’
‘ก็หลับไม่รู้เรื่องไงเจ้’ คนตอบลดเสียงลงต่ำ ดับบุหรี่ในมือ ‘ขอนอนต่ออีกงีบนะ เดี๋ยวติดรถไปทำงานด้วย’
ในเวลานั้นธัญญาได้แต่มองตามหลังเพื่อนรุ่นน้องที่ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นข้างโซฟา ท่าทางเหนื่อยล้านั้นก็น่าจะเพราะวิ่งตามจับ รบกับคนเมาแล้วแผลงฤทธิ์อยู่หลายชั่วโมง
เอื้องคำเงียบ มีทีท่าเศร้าๆ ราวคิดถึงใคร คิดอะไรอยู่หลายอาทิตย์
หากเมื่อก่อนธัญญาและคนอื่นๆ มักเดาว่า ‘คิดถึงชัยพร’
แฟนเก่าที่คบกันไม่นานหลังจากที่เอ้องคำแยกทางกับอดีตสามี แล้วเลิกรากันไปทั้งๆ ที่เอื้องคำยังคงรักและไม่ลืม หรือไม่ก็วุ่นวายใจเพราะมีหนุ่มคนใหม่เข้ามาจีบ
น่าจะอย่างหลัง…เพราะไม่นานหลังจากนั้น เอื้องคำก็มีสมหวังมาเติมเต็มชีวิต
อาการเงียบเหงาเศร้าสร้อย ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ โดยมีแม่และพี่สาวที่แวะมาเยี่ยม หรืออาจเพราะเจ้าตัวได้ไปเยี่ยมหาลูกๆ ที่อยู่เชียงใหม่
แต่ไม่ว่าเพราะอะไร เอื้องคำก็ดูไม่น่าสงสัยเท่าตุลย์
สองเดือนกว่าที่เขาหายไปจากนิมมานและเทวนิรมิต จะกลับมาก็แค่บ้านใหญ่…ค้างคืนสองคืน แต่ไม่เคยแวะมาที่นิมมาน
ยุ่ง…ไม่ว่าง…เหนื่อย…ติดธุระ อยู่ต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง และอีกสารพัดข้ออ้างที่เขาจะสรรหามา
แม้แต่เวลาที่นิมมานจัดงานพิเศษเพื่อดึงลูกค้า ตุลย์ผู้ที่มักแวะมาเป็นกำลังใจสำคัญให้เธอและให้พี่ชายของเขาทุกครั้งก็หายไป ไม่มาเลย
จนกระทั่งคืนนั้นหลังจากที่เขาเริ่มหายดีจากบาดแผลที่โดนยิง
กลับมาพร้อมความแปลก…คนที่ชอบนั่งข้างในกลับนั่งข้างนอก
และเขาก็เงียบแปลกๆ แม้เธอเข้าไปนั่งคุย นั่งเป็นเพื่อนเขาเป็นชั่วโมง สายตาของตุลย์เหมือนมองหาอะไร หรือใครตลอดเวลา
ธัญญาเคยคิด…เพราะเขาเพิ่งสูญเสียพี่ชายและพี่สะใภ้ อีกทั้งอาการบาดเจ็บนั่นอีก เพียงแต่อะไรบางอย่างบอกเธอว่า…ไม่ใช่
‘ไปตามเอื้องมา’ เธอสั่งหนึ่งในบรรดาลูกน้องเช่นนั้น เมื่อตุลย์รั้นที่จะดื่มเหล้าเป็นแก้วที่ห้าที่หก
เอื้องคำจะพูดหรือช่วยอะไรได้…เพราะขนาดเธอที่สนิทกับเขายังไม่สามารถปรามได้ เพียงแต่…ไม่ลองไม่รู้ อย่างน้อย เขาอาจจะเกรงใจเอื้องคำที่ช่วยหามเขากลับเมื่อเดือนก่อนโน้น
รอยยิ้มเป็นประกายสนุกของตุลย์ยังฉาบใบหน้าเมื่อเอื้องคำเข้ามานั่งหน้าตึงปั้นเคร่ง หันข้างไม่มองเขา และการมองของเขานั่นอีก…ชำเลืองมองเอื้องคำอย่างกล้าๆ เกรงๆ
และยอม…ฟังในที่สุด
‘เอ็งกับพี่ตุลย์เป็นอะไร มีอะไรหรือเปล่า’ ธัญญาถามลูกน้องคนสนิทเมื่อเลิกงานกลับออกมาพร้อมกัน
‘จะมีอะไรล่ะเจ้’
‘ก็ท่าทางของเขาและของเอ็งมันแปลกๆ ปรกติพี่ตุลย์ยอมใครง่ายๆ เสียที่ไหน มีบ้างกับพี่เตชน์ที่พอเอาอยู่ แต่ก็มีหลายทีที่เอาไม่อยู่’
‘เขาก็อาจจะอยากกลับไปนอน’ เอื้องคำอ้าง
‘ฉันพูดจนน้ำลายหมดปาก ยังไม่ฟัง เอ็งไปนั่งปั้นหน้าแป๊ปๆ เขาฟัง’
หลายอาทิตย์หลังจากนั้น ธัญญาพยายามสังเกตอาการของคนทั้งคู่ มีหลายอย่างน่าสงสัย แต่ไม่เคยจับได้จังๆ เสียที
การที่เขานั่งดื่มจนดึกแล้วส่งเอื้องคำกลับบ้านก็ดูปรกตินัก ตุลย์…ใจดี การอาสาไปส่งจึงไม่แปลก และบางทีเขาก็ให้คิมหันต์ไปส่งทั้งเธอและเอื้องคำ
ความสนิทสนมระหว่างเอื้องคำกับตุลย์มีมากขึ้น แต่นั่นอาจเพราะความคุ้นเคยจากที่ตุลย์มานั่งที่นิมมานแทบทุกวัน และการที่เอื้องคำดูแลเขาตามที่ได้รับมอบหมาย
ดูแล…ไม่ขาด แต่หลายคราอาจจะเกินเลย ทว่าตุลย์ไม่เคยว่า หรือตำหนิ
หรือวันนั้นที่ตุลย์พาเธอและเอื้องคำไปเลี้ยงข้าวต้นรอบดึก ธัญญาเลือกที่จะนั่งตรงข้ามคนทั้งสอง คอยสังเกต
ตุลย์คุยไปเรื่อยในแบบฉบับของเขา คุยได้ทุกเรื่อง กับทุกคน ตามใจเธอกับเอื้องคำในการสั่งอาหาร
เอื้องคำจิบเบียร์ นิ่ง เงียบ ผิดปรกติ แทบไม่หันไปทางคนที่นั่งข้างๆ จะมีแต่ตุลย์ที่…เผลอตักยำกุนเชียงให้อีกฝ่าย และเมื่อรู้ตัวจึงตักให้ธัญญาด้วย
แล้วยังปาร์ตี้ส้มต่ำหลังร้านปิดที่ตุลย์ช่วยสมทบทุน โดยที่เจ้ามือนั่งที่บาร์ ดื่มเหล้าผสมของเขาที่เอื้องคำทำให้ มีซุปหน่อไม้แสนอร่อยแกล้ม ระหว่างที่พนักงานทุกคนต่างล้อมวงกันในครัว อิ่มเอมกับส้มตำ และบรรดาอาหารจากอร่อย จะมีแต่เอื้องคำที่เลือกไปนั่งข้างๆ เขาที่บาร์ นั่งเล่นมือถือไป คุยกับเขาไป ไม่สนใจที่จะร่วมวง
‘อย่างกะเขานั่งจีบกัน’ น้องคนหนึ่งสังเกต
(ต่อ)