เจ้าอสูรกับหนูโจ ตอนใหม่มาแล้วค่ะ
สามารถติดตามอัพเดทข่าวสารของนิยาย พูดคุย และสั่งซื้อหนังสือได้ที่เพจ Minemomo นะคะ
https://www.facebook.com/Minemomo-241717489520199
PS: chapter ก่อนหน้านี่...
1
https://ppantip.com/topic/36962641
2
https://ppantip.com/topic/36967091
3&4
https://ppantip.com/topic/37011555
5
https://ppantip.com/topic/37027212
6
https://ppantip.com/topic/37042885
7
https://ppantip.com/topic/37057539
---------------------------------
~ 8 ~
โจชัวร์ตัดสินใจหนีโดยไม่ลังเล ไม่ว่ากลับถึงบ้านได้หรือไม่ก็จะต้องออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ในทันที เขาแสร้งวางท่าเป็นปกติ ทนฟังพลูมแมทเล่าถึงความเป็นห่วงของเจ้าอสูรที่เห็นเขาทานมื้อค่ำได้น้อยจึงสั่งให้เอานมอุ่นๆมาให้ และยอมดื่มเข้าไปจนหมดแก้วเพื่อไล่เธอออกจากห้องทางอ้อม
เมื่อได้เวลาที่ทุกคนน่าจะเข้านอนเรียบร้อยก็แอบย่องออกจากห้อง ทุกอย่างดูจะเป็นใจให้การหลบหนี ท้องฟ้ามืดสนิท บรรยากาศสงบ เงียบสงัดราวกับคฤหาสน์ร้าง เขาตรงไปยังคอกม้าซึ่งโชคดีที่ไม่มีเวรยามคอยเดินตรวจตราเช่นกัน แม้จะเสี่ยงต่อการถูกตามจับได้ภายหลังแต่เขาก็เลือกสโนว์เป็นตัวช่วย เจ้าม้าแสนรู้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มันพาเขาออกจากเขตคฤหาสน์อย่างปลอดภัย จนกระทั่งล่วงเข้าแนวป่า สโนว์กลับชะลอฝีเท้า ทำท่าจะหมุนตัวกลับทางเดิมจนเขาต้องยื้อไว้สุดแรง
“สโนว์...” เขาเรียกเสียงอ้อน และต้องเป็นฝ่ายดึงสายบังเหียนให้ม้าเดินตาม
“ไปกันต่อเถอะนะ อีกนิดเดียว แป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว เจ้าช่วยข้าหน่อยไม่ได้เหรอ”
เจ้าม้าขาวสะบัดหน้าพรืด ส่งเสียงฟืดฟาด สี่เท้าแทบจะปักลงในดิน ไม่ยอมเดินต่อแม้แต่ครึ่งก้าว
“ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ข้าอยากกลับบ้าน เจ้าพาข้ากลับบ้านทีเถิด หรือแค่พาออกไปให้พ้นป่านี่ก็ได้ แล้วข้าจะหาทางกลับบ้านต่อเอง นะสโนว์นะ”
โจชัวร์อ้อนวอน ทั้งดึงลาก ทั้งผลักดัน แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเพื่อนสี่ขา สุดท้ายจึงต้องเป็นฝ่ายตัดใจเสียเอง
“เอาล่ะ ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าต้องทรยศนายของเจ้าหรอก แต่ข้าก็จะไม่กลับไปที่นั่นเหมือนกัน งั้นเราแยกทางกันตรงนี้ เจ้ากลับไปเถอะ ข้าขอโทษที่พาเจ้าออกมาลำบาก หวังว่าเขาคงจะไม่ลงโทษเจ้า ขอบคุณที่เจ้าดีกับข้าเสมอมา แต่ต่อนี้ไปเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว โชคดีนะสโนว์”
โจชัวร์กอดลาอีกครั้งและออกเดินทางเพียงลำพัง แม้หนทางข้างหน้าจะมีความหวังเพียงริบหรี่ก็พยายามปลุกปลอบตัวเองไม่ให้หันหลัง หรือเปลี่ยนใจตามเจ้า ม้าขาวกลับคฤหาสน์
เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็ล่วงเข้าสู่ความมืดมิดของป่ากว้าง แนวไม้สูงพ้นสายตาปิดกั้นแสงจากท้องฟ้ายิ่งทำให้มืดจนเหมือนกำลังหลับตาเดิน สายลมแรงพรูผ่าน กิ่งก้านใบเสียดสีเกิดเสียงหวีดก้อง สัตว์กลางคืนส่งเสียงร้องรับกันเป็นทอดชวนให้รู้สึกวังเวงจนขาสั่น เขากลั้นใจรีบเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า แม้จะเสี่ยงกับการเดินวนจนหลงทางก็ยังดีกว่าตกอยู่ในความกลัวจนประสาทเสียอยู่กลางป่า
ในเวลาไม่นาน โจชัวร์ก็พบว่าตนเองตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ ตอนที่ออกจากคฤหาสน์อาจถือเป็นฤกษ์ดี จะไปตรงไหนก็ทางสะดวก แต่ตอนนี้เขาได้แต่เดินหลงไปมาอย่างไม่รู้ทิศทาง ซ้ำร้ายอากาศแปรปรวนจนเกิดเป็นพายุ ทั้งลมทั้งหิมะโหมกระหน่ำสมกับเป็นป่าต้องสาปที่จงใจกลืนกินทุกชีวิตที่ผ่านเข้ามา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้หลงทางไปติดกับดักเจ้าอสูร ส่วนตัวเขาพยายามทนฝ่าพายุไปเรื่อยๆจนมาพลาดตกลงจากเนินดินหรืออาจจะเป็นหน้าผาเตี้ยๆ ยังโชคดีที่พื้นด้านล่างมีกองใบไม้และหิมะทับถมกันหนาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก และไม่ไกลจากตรงนั้นมีซอกถ้ำที่ใหญ่พอให้หลบพักจนกว่าพายุจะพัดผ่านไป
สถานการณ์ภายนอกดูไม่น่าวางใจเอาเสียเลย แม้หิมะจะเบาลงในบางช่วงแต่ก็ยังไม่มีทีท่าจะสงบจริงๆ สายลมพัดแรงจนผนังถ้ำพาลสั่นตามไปด้วย พอช่วงไหนลมเบาลงก็ยังมีเสียงเห่าหอน เสียงร้องคำรามแทรกมาให้ใจสั่น บางครั้งบางครามีเงาดำเคลื่อนไหววูบวาบ เงาสะท้อนจากดวงตาของนักล่าที่สอดส่ายหาเหยื่อ
เขาได้แต่นั่งกอดตัวเองอยู่ในส่วนลึกที่สุดของถ้ำ แม้จะไม่ช่วยให้หายหนาวแต่ก็ยังพออุ่นใจว่าปลอดภัยจากสัตว์ร้ายที่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งมีเสียงสวบสาบของฝีเท้าหนักๆดังใกล้เข้ามา เขาหรี่ตามองฝ่าความมืดไปยังต้นเสียง ในมือมีไม้ท่อนใหญ่เตรียมพร้อม เมื่อเงาดำมาหยุดอยู่ใกล้ๆ เขาก็ส่งเสียงข่มขวัญแล้วกระหน่ำตีสุดแรงเกิด
“พอได้แล้ว!”
เสียงตวาดลั่นในจังหวะเดียวกับที่อาวุธถูกกระชากออกจากมือแล้วโยนทิ้งไปไกล และเสียงนั้นก็ทำให้เค้าร่างสูงใหญ่ปรากฏชัดขึ้นในสายตา
“เจ้า... อสูร!”
“ก็ใช่น่ะสิ อสูรร้ายที่กำลังจะโดนมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเจ้าตีจนตายไงล่ะ”
ถึงจะมืดจนมองไม่เห็นก็ไม่ใช่อุปสรรคที่จะฟาดฟันกันด้วยคำพูด น้ำเสียงของเจ้าอสูรโกรธจัดชนิดที่อยากจะบีบคนตรงหน้าให้แหลกคามือ ส่วนโจชัวร์แม้จะยอมรับว่าดีใจอยู่ลึกๆก็ใช่จะยอมอ่อนข้อ
“ใครใช้ให้เข้ามาเงียบๆ ข้านึกว่าตัวอะไรก็ต้องตีไว้ก่อนสิ”
“แล้วเจ้าล่ะ รู้ตัวมั้ยว่าทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา สติดีหรือเปล่าถึงเที่ยวมาเดินอยู่ในป่ากลางดึกแบบนี้ หรือว่าใจดีนึกอยากจะให้อาหารสัตว์ป่า ข้าบอกแล้วไงตัวเล็กๆอย่างเจ้ากินยังไงก็ไม่อิ่ม ไม่สู้ขุนตัวเองให้มีเนื้อกว่านี้ก่อนค่อยหนีออกมา”
เสียงตะคอกแรงจนกลายเป็นขู่คำราม คล้ายกับเจ้าตัวกำลังใช้อารมณ์โกรธปิดบังความรู้สึกบางอย่าง
“เงียบทำไม เก่งนักไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่พูด หรือว่าเถียงไม่ออก!”
“นักโทษอย่างข้าจะมีสิทธิ์พูดอะไร ในเมื่อจับได้แล้วจะลงโทษยังไงก็เชิญ”
เมื่อคนหนึ่งเสียงอ่อนลงก็เหมือนช่วยลดความโกรธที่ปะทุขึ้น ฝ่ายที่เหนือกว่าก็คร้านจะทะเลาะกันทั้งที่มองไม่เห็นหน้า เมื่อจับความรู้สึกได้ว่ามีบางคนกำลังยืนตัวสั่น ไม่แน่ใจว่าเพราะความโกรธหรืออากาศหนาว เจ้าอสูรจึงทรุดตัวลงแล้วกระชากอีกคนให้นั่งลงข้างๆ
“รู้ฐานะตัวเองอย่างนี้ก็ดี จะได้ไม่ก่อเรื่องให้ใครต้องเดือดร้อนอีก”
“จะรออะไรอีกเล่า จะเอาไปฆ่าหรือต้มยำทำแกงก็เร็วสิ ข้าขี้เกียจนั่งรอความตายอยู่ที่นี่แล้ว”
“ไม่เห็นเหรอว่าพายุพัดแรงขึ้นอีกแล้ว ขืนออกไปตอนนี้ แม้แต่ตัวข้าเองก็คงไม่รอด เพราะฉะนั้นเราต้องรออยู่ที่นี่จนกว่าพายุจะสงบจริงๆ ข้าจะพักเอาแรงไว้ลากตัวนักโทษกลับไปชำระความ ส่วนเจ้าก็นั่งคิดนอนคิดไปแล้วกันว่าอยากรับโทษแบบไหน กว่าจะเช้าก็คงเลือกวิธีตายที่เจ้าพอใจที่สุดได้อยู่หรอกนะ”
โจชัวร์ได้แต่ข่มความอาฆาต อยากจะลุกหนีก็ติดตรงไม่รู้จะไปไหนพ้น โพรงถ้ำที่เล็กอยู่แล้วยิ่งแคบลงเมื่อมีคนเพิ่มเข้ามา แต่ร่างใหญ่โตก็มีประโยชน์ช่วยบังลมหนาว ทำให้อากาศภายในถ้ำอุ่นขึ้น ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยจากการหลงวนอยู่ในป่า จิตใจที่ต้องทนรับแรงกดดัน ต่อสู้กับความหวาดกลัวอยู่ตลอดจึงผ่อนคลายลงจนผล็อยหลับไปในที่สุด
กว่าที่เขาจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่ารอบกายสว่างขึ้นแล้ว รู้สึกถึงลำแสงอุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆของทุ่งหญ้ายามเช้า บวกกับความนุ่มของเตียง...!
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกค้างเมื่อเจ้าตัวพลันนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เขาแอบหนี แต่ถูกจับได้ และต้องค้างแรมอยู่ในถ้ำกับผู้คุมที่คงไม่รู้ว่ากำลังอุทิศตัวเองให้กลายที่นอนของนักโทษไปเสียแล้ว
เขาไม่กล้าขยับตัวแต่ค่อยๆเลื่อนสายตาสำรวจ แสงแดดอ่อนส่องกระทบเส้นขนเกิดประกายสีทองสว่างตลอดทั้งลำตัวของเจ้าอสูร ใบหน้ายามหลับสนิทดูไร้พิษสง อาจจะเป็นเครื่องหน้าที่ใหญ่โตไปทุกส่วน ปลายเขี้ยวขาวที่โผล่พ้นริมฝีปากสีคล้ำเท่านั้นที่ทำให้เขาดูผิดแผก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุ้งมือใหญ่แม้มีเล็บแหลมน่ากลัวก็สามารถส่งไออุ่นผ่านมาสู่มือของเขาได้ เมื่อลองแนบหูกับแผ่นอกกว้าง จังหวะหนักแน่นก็เหมือนจะสอดคล้องกับเสียงหัวใจตัวเอง จนเขาได้ข้อสรุปที่น่าตกใจว่าการตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าอสูรกลับทำให้รู้สึกอุ่นใจกว่าอยู่ท่ามกลางมนุษย์ด้วยกันเองด้วยซ้ำ
โจชัวร์รีบหลับตาลงทันทีที่ร่างหนาเริ่มขยับ เขาจับได้ว่าเจ้าอสูรก็คงตกใจ กล้ามเนื้อทุกมัดแข็งขืนอยู่ชั่วครู่จึงผ่อนคลายลงพร้อมๆกับที่ลำแขนใหญ่ค่อยๆยกออกจากตัว เขารู้สึกถึงลมหายใจแรงแถวใบหน้าจนกลัวว่าจะถูกจับได้ว่ากำลังแกล้งหลับ
“ถ้าอยากจะนอนหลับตาอยู่อย่างนี้ไปทั้งวันก็ตามใจ ข้าไม่ได้รีบไปไหน จะรอเอาตัวเจ้ากลับไปนานเท่าไหร่ก็ได้”
น้ำเสียงเหน็บกัดกระแทกให้โจชัวร์ลุกพรวด เขาตั้งท่าพร้อมสู้แต่ร่างสูงใหญ่กลับลุกขึ้นด้วยท่าทางเมินเฉย ทั้งๆที่มีคราบเลือดแห้งกรังบนต้นแขน อาการค่อยๆขยับก็บอกชัดว่าไม่ปกติ
“ท่าน... บาดเจ็บนี่”
ดวงตาสีอำพันชำเลืองมองแวบหนึ่ง ไม่ใส่ใจทั้งแผลหรือคนที่ทำให้เกิดแผล
“แค่โดนไม้ทุบจนได้เลือดนิดหน่อย คงเป็นโชคดีของข้าล่ะมั้งที่เจ้ามีแรงตีได้แค่นี้”
โจชัวร์ได้แต่หมายมาดในใจว่าหากมีโอกาสอีกครั้งจะทุ่มแรงสุดตัว ถึงเป็นเจ้าอสูรก็จะเอาให้หมดท่า ไม่มีหน้ามาเยาะเย้ยเขาอย่างนี้อีกแน่
เมื่อออกมาที่หน้าถ้ำก็พบว่าพายุหนักตลอดคืนทิ้งร่องรอยไว้เป็นพื้นหิมะหนาเกือบฟุต แสงแดดตกสะท้อนพื้นหิมะขาวจนสว่างจ้าไปทั้งผืนป่า แม้จะรู้สึกชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามแต่โจชัวร์รู้ตัวว่ากำลังมีปัญหาใหญ่ ข้อเท้าที่ดูเหมือนปกติดีกำลังระบมขึ้นทุกที ยิ่งต้องมาตะลุยพื้นหิมะหนา เขายิ่งต้องกัดฟันในทุกๆครั้งที่ก้าวขา การต้องเดินกลับคฤหาสน์ก็ไม่ต่างจากการลงโทษที่แสนทรมาน แต่ก่อนที่เขาจะรู้สึกตายทั้งเป็น คนที่นำหน้ากลับย่อตัวลงแล้วกระชากตัวเขาเข้าไปปะทะแผ่นหลัง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินต่อ ทำให้เขาต้องรีบยึดร่างสูงใหญ่ไว้แน่นก่อนจะตกลงไปนอนจุกอยู่บนพื้น
“ทำไมไม่บอกว่าเจ็บ หรือว่าแค่แกล้งทำขากะเผลกจะได้ค่อยๆเดิน หอยทากยังคลานเร็วกว่าเจ้ารู้ตัวหรือเปล่า”
ถ้านี่คือการช่วยคนขาเจ็บด้วยการให้ขึ้นขี่หลัง ก็คงเป็นวิธีช่วยเหลือที่ทำให้โจชัวร์รู้สึกจุกจนพูดไม่ออกในหลายๆความหมาย
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย ปล่อย...”
“อย่าบอกว่าจะทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ เก็บแรงไว้รอการลงโทษตอนที่กลับไปถึงคฤหาสน์ดีกว่า”
โจชัวร์สงบปากคำเพราะรู้ว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ ซ้ำรอยแผลบนต้นแขนใหญ่ก็ยิ่งย้ำความผิด ยอมถูกแบกกลับสบายๆคงดีกว่าดื้อจนอาจบาดเจ็บมากขึ้นทั้งสองฝ่าย สถานการณ์จึงตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นหนาและสายลมพัดเป็นระยะ ไอชื้นจากหิมะที่เริ่มละลายพาลให้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของป่าหอมกำจาย
“หนีออกมาทำไม”
ต่อด้านล่างค่ะ...
Heartbeat: A Retelling of Beauty and the Beast ... chapter 8
สามารถติดตามอัพเดทข่าวสารของนิยาย พูดคุย และสั่งซื้อหนังสือได้ที่เพจ Minemomo นะคะ
https://www.facebook.com/Minemomo-241717489520199
PS: chapter ก่อนหน้านี่...
1
https://ppantip.com/topic/36962641
2
https://ppantip.com/topic/36967091
3&4
https://ppantip.com/topic/37011555
5
https://ppantip.com/topic/37027212
6
https://ppantip.com/topic/37042885
7
https://ppantip.com/topic/37057539
---------------------------------
~ 8 ~
โจชัวร์ตัดสินใจหนีโดยไม่ลังเล ไม่ว่ากลับถึงบ้านได้หรือไม่ก็จะต้องออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ในทันที เขาแสร้งวางท่าเป็นปกติ ทนฟังพลูมแมทเล่าถึงความเป็นห่วงของเจ้าอสูรที่เห็นเขาทานมื้อค่ำได้น้อยจึงสั่งให้เอานมอุ่นๆมาให้ และยอมดื่มเข้าไปจนหมดแก้วเพื่อไล่เธอออกจากห้องทางอ้อม
เมื่อได้เวลาที่ทุกคนน่าจะเข้านอนเรียบร้อยก็แอบย่องออกจากห้อง ทุกอย่างดูจะเป็นใจให้การหลบหนี ท้องฟ้ามืดสนิท บรรยากาศสงบ เงียบสงัดราวกับคฤหาสน์ร้าง เขาตรงไปยังคอกม้าซึ่งโชคดีที่ไม่มีเวรยามคอยเดินตรวจตราเช่นกัน แม้จะเสี่ยงต่อการถูกตามจับได้ภายหลังแต่เขาก็เลือกสโนว์เป็นตัวช่วย เจ้าม้าแสนรู้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มันพาเขาออกจากเขตคฤหาสน์อย่างปลอดภัย จนกระทั่งล่วงเข้าแนวป่า สโนว์กลับชะลอฝีเท้า ทำท่าจะหมุนตัวกลับทางเดิมจนเขาต้องยื้อไว้สุดแรง
“สโนว์...” เขาเรียกเสียงอ้อน และต้องเป็นฝ่ายดึงสายบังเหียนให้ม้าเดินตาม
“ไปกันต่อเถอะนะ อีกนิดเดียว แป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว เจ้าช่วยข้าหน่อยไม่ได้เหรอ”
เจ้าม้าขาวสะบัดหน้าพรืด ส่งเสียงฟืดฟาด สี่เท้าแทบจะปักลงในดิน ไม่ยอมเดินต่อแม้แต่ครึ่งก้าว
“ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ข้าอยากกลับบ้าน เจ้าพาข้ากลับบ้านทีเถิด หรือแค่พาออกไปให้พ้นป่านี่ก็ได้ แล้วข้าจะหาทางกลับบ้านต่อเอง นะสโนว์นะ”
โจชัวร์อ้อนวอน ทั้งดึงลาก ทั้งผลักดัน แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเพื่อนสี่ขา สุดท้ายจึงต้องเป็นฝ่ายตัดใจเสียเอง
“เอาล่ะ ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าต้องทรยศนายของเจ้าหรอก แต่ข้าก็จะไม่กลับไปที่นั่นเหมือนกัน งั้นเราแยกทางกันตรงนี้ เจ้ากลับไปเถอะ ข้าขอโทษที่พาเจ้าออกมาลำบาก หวังว่าเขาคงจะไม่ลงโทษเจ้า ขอบคุณที่เจ้าดีกับข้าเสมอมา แต่ต่อนี้ไปเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว โชคดีนะสโนว์”
โจชัวร์กอดลาอีกครั้งและออกเดินทางเพียงลำพัง แม้หนทางข้างหน้าจะมีความหวังเพียงริบหรี่ก็พยายามปลุกปลอบตัวเองไม่ให้หันหลัง หรือเปลี่ยนใจตามเจ้า ม้าขาวกลับคฤหาสน์
เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็ล่วงเข้าสู่ความมืดมิดของป่ากว้าง แนวไม้สูงพ้นสายตาปิดกั้นแสงจากท้องฟ้ายิ่งทำให้มืดจนเหมือนกำลังหลับตาเดิน สายลมแรงพรูผ่าน กิ่งก้านใบเสียดสีเกิดเสียงหวีดก้อง สัตว์กลางคืนส่งเสียงร้องรับกันเป็นทอดชวนให้รู้สึกวังเวงจนขาสั่น เขากลั้นใจรีบเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า แม้จะเสี่ยงกับการเดินวนจนหลงทางก็ยังดีกว่าตกอยู่ในความกลัวจนประสาทเสียอยู่กลางป่า
ในเวลาไม่นาน โจชัวร์ก็พบว่าตนเองตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ ตอนที่ออกจากคฤหาสน์อาจถือเป็นฤกษ์ดี จะไปตรงไหนก็ทางสะดวก แต่ตอนนี้เขาได้แต่เดินหลงไปมาอย่างไม่รู้ทิศทาง ซ้ำร้ายอากาศแปรปรวนจนเกิดเป็นพายุ ทั้งลมทั้งหิมะโหมกระหน่ำสมกับเป็นป่าต้องสาปที่จงใจกลืนกินทุกชีวิตที่ผ่านเข้ามา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้หลงทางไปติดกับดักเจ้าอสูร ส่วนตัวเขาพยายามทนฝ่าพายุไปเรื่อยๆจนมาพลาดตกลงจากเนินดินหรืออาจจะเป็นหน้าผาเตี้ยๆ ยังโชคดีที่พื้นด้านล่างมีกองใบไม้และหิมะทับถมกันหนาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก และไม่ไกลจากตรงนั้นมีซอกถ้ำที่ใหญ่พอให้หลบพักจนกว่าพายุจะพัดผ่านไป
สถานการณ์ภายนอกดูไม่น่าวางใจเอาเสียเลย แม้หิมะจะเบาลงในบางช่วงแต่ก็ยังไม่มีทีท่าจะสงบจริงๆ สายลมพัดแรงจนผนังถ้ำพาลสั่นตามไปด้วย พอช่วงไหนลมเบาลงก็ยังมีเสียงเห่าหอน เสียงร้องคำรามแทรกมาให้ใจสั่น บางครั้งบางครามีเงาดำเคลื่อนไหววูบวาบ เงาสะท้อนจากดวงตาของนักล่าที่สอดส่ายหาเหยื่อ
เขาได้แต่นั่งกอดตัวเองอยู่ในส่วนลึกที่สุดของถ้ำ แม้จะไม่ช่วยให้หายหนาวแต่ก็ยังพออุ่นใจว่าปลอดภัยจากสัตว์ร้ายที่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งมีเสียงสวบสาบของฝีเท้าหนักๆดังใกล้เข้ามา เขาหรี่ตามองฝ่าความมืดไปยังต้นเสียง ในมือมีไม้ท่อนใหญ่เตรียมพร้อม เมื่อเงาดำมาหยุดอยู่ใกล้ๆ เขาก็ส่งเสียงข่มขวัญแล้วกระหน่ำตีสุดแรงเกิด
“พอได้แล้ว!”
เสียงตวาดลั่นในจังหวะเดียวกับที่อาวุธถูกกระชากออกจากมือแล้วโยนทิ้งไปไกล และเสียงนั้นก็ทำให้เค้าร่างสูงใหญ่ปรากฏชัดขึ้นในสายตา
“เจ้า... อสูร!”
“ก็ใช่น่ะสิ อสูรร้ายที่กำลังจะโดนมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเจ้าตีจนตายไงล่ะ”
ถึงจะมืดจนมองไม่เห็นก็ไม่ใช่อุปสรรคที่จะฟาดฟันกันด้วยคำพูด น้ำเสียงของเจ้าอสูรโกรธจัดชนิดที่อยากจะบีบคนตรงหน้าให้แหลกคามือ ส่วนโจชัวร์แม้จะยอมรับว่าดีใจอยู่ลึกๆก็ใช่จะยอมอ่อนข้อ
“ใครใช้ให้เข้ามาเงียบๆ ข้านึกว่าตัวอะไรก็ต้องตีไว้ก่อนสิ”
“แล้วเจ้าล่ะ รู้ตัวมั้ยว่าทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา สติดีหรือเปล่าถึงเที่ยวมาเดินอยู่ในป่ากลางดึกแบบนี้ หรือว่าใจดีนึกอยากจะให้อาหารสัตว์ป่า ข้าบอกแล้วไงตัวเล็กๆอย่างเจ้ากินยังไงก็ไม่อิ่ม ไม่สู้ขุนตัวเองให้มีเนื้อกว่านี้ก่อนค่อยหนีออกมา”
เสียงตะคอกแรงจนกลายเป็นขู่คำราม คล้ายกับเจ้าตัวกำลังใช้อารมณ์โกรธปิดบังความรู้สึกบางอย่าง
“เงียบทำไม เก่งนักไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่พูด หรือว่าเถียงไม่ออก!”
“นักโทษอย่างข้าจะมีสิทธิ์พูดอะไร ในเมื่อจับได้แล้วจะลงโทษยังไงก็เชิญ”
เมื่อคนหนึ่งเสียงอ่อนลงก็เหมือนช่วยลดความโกรธที่ปะทุขึ้น ฝ่ายที่เหนือกว่าก็คร้านจะทะเลาะกันทั้งที่มองไม่เห็นหน้า เมื่อจับความรู้สึกได้ว่ามีบางคนกำลังยืนตัวสั่น ไม่แน่ใจว่าเพราะความโกรธหรืออากาศหนาว เจ้าอสูรจึงทรุดตัวลงแล้วกระชากอีกคนให้นั่งลงข้างๆ
“รู้ฐานะตัวเองอย่างนี้ก็ดี จะได้ไม่ก่อเรื่องให้ใครต้องเดือดร้อนอีก”
“จะรออะไรอีกเล่า จะเอาไปฆ่าหรือต้มยำทำแกงก็เร็วสิ ข้าขี้เกียจนั่งรอความตายอยู่ที่นี่แล้ว”
“ไม่เห็นเหรอว่าพายุพัดแรงขึ้นอีกแล้ว ขืนออกไปตอนนี้ แม้แต่ตัวข้าเองก็คงไม่รอด เพราะฉะนั้นเราต้องรออยู่ที่นี่จนกว่าพายุจะสงบจริงๆ ข้าจะพักเอาแรงไว้ลากตัวนักโทษกลับไปชำระความ ส่วนเจ้าก็นั่งคิดนอนคิดไปแล้วกันว่าอยากรับโทษแบบไหน กว่าจะเช้าก็คงเลือกวิธีตายที่เจ้าพอใจที่สุดได้อยู่หรอกนะ”
โจชัวร์ได้แต่ข่มความอาฆาต อยากจะลุกหนีก็ติดตรงไม่รู้จะไปไหนพ้น โพรงถ้ำที่เล็กอยู่แล้วยิ่งแคบลงเมื่อมีคนเพิ่มเข้ามา แต่ร่างใหญ่โตก็มีประโยชน์ช่วยบังลมหนาว ทำให้อากาศภายในถ้ำอุ่นขึ้น ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยจากการหลงวนอยู่ในป่า จิตใจที่ต้องทนรับแรงกดดัน ต่อสู้กับความหวาดกลัวอยู่ตลอดจึงผ่อนคลายลงจนผล็อยหลับไปในที่สุด
กว่าที่เขาจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่ารอบกายสว่างขึ้นแล้ว รู้สึกถึงลำแสงอุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆของทุ่งหญ้ายามเช้า บวกกับความนุ่มของเตียง...!
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกค้างเมื่อเจ้าตัวพลันนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เขาแอบหนี แต่ถูกจับได้ และต้องค้างแรมอยู่ในถ้ำกับผู้คุมที่คงไม่รู้ว่ากำลังอุทิศตัวเองให้กลายที่นอนของนักโทษไปเสียแล้ว
เขาไม่กล้าขยับตัวแต่ค่อยๆเลื่อนสายตาสำรวจ แสงแดดอ่อนส่องกระทบเส้นขนเกิดประกายสีทองสว่างตลอดทั้งลำตัวของเจ้าอสูร ใบหน้ายามหลับสนิทดูไร้พิษสง อาจจะเป็นเครื่องหน้าที่ใหญ่โตไปทุกส่วน ปลายเขี้ยวขาวที่โผล่พ้นริมฝีปากสีคล้ำเท่านั้นที่ทำให้เขาดูผิดแผก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุ้งมือใหญ่แม้มีเล็บแหลมน่ากลัวก็สามารถส่งไออุ่นผ่านมาสู่มือของเขาได้ เมื่อลองแนบหูกับแผ่นอกกว้าง จังหวะหนักแน่นก็เหมือนจะสอดคล้องกับเสียงหัวใจตัวเอง จนเขาได้ข้อสรุปที่น่าตกใจว่าการตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าอสูรกลับทำให้รู้สึกอุ่นใจกว่าอยู่ท่ามกลางมนุษย์ด้วยกันเองด้วยซ้ำ
โจชัวร์รีบหลับตาลงทันทีที่ร่างหนาเริ่มขยับ เขาจับได้ว่าเจ้าอสูรก็คงตกใจ กล้ามเนื้อทุกมัดแข็งขืนอยู่ชั่วครู่จึงผ่อนคลายลงพร้อมๆกับที่ลำแขนใหญ่ค่อยๆยกออกจากตัว เขารู้สึกถึงลมหายใจแรงแถวใบหน้าจนกลัวว่าจะถูกจับได้ว่ากำลังแกล้งหลับ
“ถ้าอยากจะนอนหลับตาอยู่อย่างนี้ไปทั้งวันก็ตามใจ ข้าไม่ได้รีบไปไหน จะรอเอาตัวเจ้ากลับไปนานเท่าไหร่ก็ได้”
น้ำเสียงเหน็บกัดกระแทกให้โจชัวร์ลุกพรวด เขาตั้งท่าพร้อมสู้แต่ร่างสูงใหญ่กลับลุกขึ้นด้วยท่าทางเมินเฉย ทั้งๆที่มีคราบเลือดแห้งกรังบนต้นแขน อาการค่อยๆขยับก็บอกชัดว่าไม่ปกติ
“ท่าน... บาดเจ็บนี่”
ดวงตาสีอำพันชำเลืองมองแวบหนึ่ง ไม่ใส่ใจทั้งแผลหรือคนที่ทำให้เกิดแผล
“แค่โดนไม้ทุบจนได้เลือดนิดหน่อย คงเป็นโชคดีของข้าล่ะมั้งที่เจ้ามีแรงตีได้แค่นี้”
โจชัวร์ได้แต่หมายมาดในใจว่าหากมีโอกาสอีกครั้งจะทุ่มแรงสุดตัว ถึงเป็นเจ้าอสูรก็จะเอาให้หมดท่า ไม่มีหน้ามาเยาะเย้ยเขาอย่างนี้อีกแน่
เมื่อออกมาที่หน้าถ้ำก็พบว่าพายุหนักตลอดคืนทิ้งร่องรอยไว้เป็นพื้นหิมะหนาเกือบฟุต แสงแดดตกสะท้อนพื้นหิมะขาวจนสว่างจ้าไปทั้งผืนป่า แม้จะรู้สึกชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามแต่โจชัวร์รู้ตัวว่ากำลังมีปัญหาใหญ่ ข้อเท้าที่ดูเหมือนปกติดีกำลังระบมขึ้นทุกที ยิ่งต้องมาตะลุยพื้นหิมะหนา เขายิ่งต้องกัดฟันในทุกๆครั้งที่ก้าวขา การต้องเดินกลับคฤหาสน์ก็ไม่ต่างจากการลงโทษที่แสนทรมาน แต่ก่อนที่เขาจะรู้สึกตายทั้งเป็น คนที่นำหน้ากลับย่อตัวลงแล้วกระชากตัวเขาเข้าไปปะทะแผ่นหลัง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินต่อ ทำให้เขาต้องรีบยึดร่างสูงใหญ่ไว้แน่นก่อนจะตกลงไปนอนจุกอยู่บนพื้น
“ทำไมไม่บอกว่าเจ็บ หรือว่าแค่แกล้งทำขากะเผลกจะได้ค่อยๆเดิน หอยทากยังคลานเร็วกว่าเจ้ารู้ตัวหรือเปล่า”
ถ้านี่คือการช่วยคนขาเจ็บด้วยการให้ขึ้นขี่หลัง ก็คงเป็นวิธีช่วยเหลือที่ทำให้โจชัวร์รู้สึกจุกจนพูดไม่ออกในหลายๆความหมาย
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย ปล่อย...”
“อย่าบอกว่าจะทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ เก็บแรงไว้รอการลงโทษตอนที่กลับไปถึงคฤหาสน์ดีกว่า”
โจชัวร์สงบปากคำเพราะรู้ว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ ซ้ำรอยแผลบนต้นแขนใหญ่ก็ยิ่งย้ำความผิด ยอมถูกแบกกลับสบายๆคงดีกว่าดื้อจนอาจบาดเจ็บมากขึ้นทั้งสองฝ่าย สถานการณ์จึงตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นหนาและสายลมพัดเป็นระยะ ไอชื้นจากหิมะที่เริ่มละลายพาลให้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของป่าหอมกำจาย
“หนีออกมาทำไม”
ต่อด้านล่างค่ะ...