.
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคนผู้ว่า มีตรรกะกันหน่อย ตรรกะวิบัติแล้ว อะไรประมาณนี้.. หากกล่าวตามพจนานุกรม ตรรกะ คือ ความคิด, ความตรึก
ตรรกะ คือ ศาสตร์แห่งการคิดอย่างมีเหตุผล และการให้เหตุผล มันเหมือนกับเป็น GPS นำทางให้เราในโลกของการคิด และการแก้ปัญหา นึกภาพว่าคุณมีแผนที่วิเศษที่ไม่เคยพาคุณหลงทาง นั่นแหละคือ ตรรกะ
.
มาลองนึกถึงการเล่นเกมสนุกๆ กัน..
หมวกสีขาวอยู่ข้างหน้าหมวกสีแดง
หมวกสีดำอยู่ข้างหลังหมวกสีขาว
หมวกสีแดงอยู่ตรงกลาง
หมวกสีไหนอยู่หน้าสุด
...
..
.
คำตอบ: หมวกสีขาว
ตรรกะจะช่วยเราในการวิเคราะห์ข้อมูล และหาคำตอบ
ตรรกะนั้นทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น เช่น ถ้าเราอยากเลือกซื้อของขวัญให้เพื่อน เราอาจใช้ตรรกะเพื่อคิดว่าเพื่อนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และอะไรที่เพื่อนต้องการมากที่สุด ตรรกะจะช่วยให้การตัดสินใจของเรามีเหตุผลและแม่นยำ และที่สำคัญ ตรรกะเป็นเหมือนเวทมนตร์ที่ทำให้เราแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตได้ ทั้งในเรื่องการเรียน การทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวัน
...
วันตรรกะโลก 14 มกราคม World Logic Day
ประกาศขึ้นครั้งแรกในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เพื่อให้นำเสนอประวัติศาสตร์เชิงปัญญา ผลกระทบในทางปฏิบัติ และความสำคัญเชิงแนวคิดของตรรกะให้กับชุมชนวิทยาศาสตร์รวมถึงประชาชนทั่วไป
วันสากลนี้ถูกคิดค้นโดยสมาคม Logica Universalis (LUA) ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของตรรกะในชีวิตประจำวัน แม้ว่าตรรกะจะเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาความรู้ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี แต่สาธารณชนทั่วไปกลับมีความตระหนักรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับความสำคัญของตรรกะ ดังนั้น (UNESCO) ร่วมกับสภาระหว่างประเทศว่าด้วยปรัชญา และมนุษยศาสตร์ (CIPSH) ได้ประกาศให้มีวันตรรกะโลก เพื่อสร้างความเข้าใจ และการตระหนักรู้ในหัวข้อนี้
ตรรกะไม่ได้มีความสำคัญแค่ในวงการวิชาการ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวัน การคิดอย่างมีเหตุผลช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ตรรกะยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งการเรียนรู้ และการฝึกฝนตรรกะช่วยให้เราสามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ และการคิดสร้างสรรค์ ตรรกะช่วยให้เรามองเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
...
EP2 กำเนิดกรุงโรม ตำนานโรมูลัส และเรมัส
...
ความเดิมตอนที่แล้ว ถังซานพาเสียวอู่ในร่างกระต่ายเดินทางไปยังโรงเรียนสือไหล่เค่อ *-$%&$ ไม่ใช่สิ..ผิดๆๆ
.
ความเดิมตอนที่แล้ว โรมูลัส และเรมัส ได้ลาจาก ฟอสตุลุสและลาริเซีย และออกเดินทางกลับไปยังแม่น้ำไทเบอร์
EP1:
https://ppantip.com/topic/43194480
...
โรมูลัส และเรมัสเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำไทเบอร์ หัวใจของพวกเขาเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่ยากจะอาจอธิบายได้ ราวกับดินแดนนี้กำลังเรียกหาพวกเขากลับมา
ในขณะที่โรมูลัส และเรมัสสำรวจพื้นที่ริมแม่น้ำ พวกเขาได้พบกับชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายชรามีลักษณะสง่างามในชุดเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา แต่ดวงตากลับดูอบอุ่น และลึกซึ้งยิ่งนัก
“สวัสดี พ่อหนุ่มทั้งสอง ข้าคือซิลวีอุส ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มานานเกินกว่าที่ต้นไม้ต้นนี้จะเติบโต เจ้าทั้งสองคนคือ โรมูลัสและเรมัส ใช่หรือไม่”
ทั้งสองตกใจและมองหน้ากัน “ท่านรู้จักเราได้อย่างไร” โรมูลัสถามด้วยความสงสัย
ซิลวีอุสยิ้มและกล่าว “เรื่องราวของเจ้าเป็นที่เล่าขานในหมู่ชาวบ้าน แต่ข้ารู้มากกว่านั้น เพราะข้าเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่นำพาเจ้ามายังแม่น้ำไทเบอร์นี้”
ซิลวีอุสเริ่มเล่าเรื่องราวมากมายที่ทำให้ทั้งสองนั่งฟังด้วยความตั้งใจ
“เมื่อหลายปีก่อน เจ้าทั้งสองเกิดในครอบครัวของกษัตริย์ แต่ถูกพรากจากบัลลังก์เพราะการแย่งชิงอำนาจ กษัตริย์ "อามูลิอัส" ผู้ที่ต้องการครอบครองบัลลังก์ได้สั่งให้โยนพวกเจ้าไปในแม่น้ำไทเบอร์เพื่อให้หายไปจากโลกนี้ แต่โชคชะตาไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”
กษัตริย์ "อามูลิอัส" เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาด แต่ความเฉลียวฉลาดนั้นถูกใช้ไปในทางที่ผิด เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ และมุ่งมั่นจะรักษาอำนาจของตนไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขามักจะใช้กำลัง และการหลอกลวงเพื่อควบคุมผู้อื่น
ภายในใจของกษัตริย์ "อามูลิอัส" มีแต่ความระแวงเขารู้ดีว่าบัลลังก์ของเขาถูกช่วงชิงมาอย่างไม่ชอบธรรม และหวาดกลัวว่าชะตากรรมอาจหวนคืนมาหาเขา
ในราชสำนัก กษัตริย์อามูลิอัส ล้อมรอบตัวเองด้วยผู้คนที่ภักดีต่อเขาเพียงเพราะความกลัว ไม่ใช่ความรัก กองทัพของเขาแข็งแกร่ง แต่ผู้คนในอาณาจักรกลับอ่อนแอ และหวาดกลัว เนื่องจากกษัตริย์ไม่เคยใส่ใจความทุกข์ยากของผู้คน
.
ซิลวีอุสเล่าต่อไปว่า ในขณะที่พวกเจ้าทั้งสองอยู่ในตะกร้าที่กำลังลอยอยู่กลางแม่น้ำไทเบอร์
ซิลวีอุสชี้ไปที่แม่น้ำ “แม่น้ำไทเบอร์ช่วยชีวิตพวกเจ้า ด้วยการพัดพาตะกร้าที่เจ้าถูกใส่มายังชายฝั่ง และที่นี่เองแม่หมาป่าได้พบพวกเจ้า”
เรมัสฟังอย่างตั้งใจ และถามด้วยเสียงเบา “แล้วท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
ชายชราเล่าต่อ “ข้าเป็นผู้หนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ในคืนที่พวกเจ้าถูกปล่อยลงแม่น้ำ และข้าคอยติดตามดูชีวิตของพวกเจ้ามาโดยตลอด ข้ารู้ว่าแม่หมาป่าช่วยเลี้ยงดูพวกเจ้า ข้ารู้ว่าฟอสตุลุสพบพวกเจ้าในป่า และข้ารู้ว่าอนาคตของพวกเจ้าถูกกำหนดไว้ให้ยิ่งใหญ่”
เมื่อซิลวีอุสเล่าจบ โรมูลัส และเรมัสรู้สึกเหมือนจิ๊กซอว์ในชีวิตที่ขาดหายไปได้รับการเติมเต็ม พวกเขาทั้งคู่รู้แล้วว่าชะตากรรมของพวกเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“เราถูกกำหนดให้มาที่นี่ เพื่อสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่” โรมูลัสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“และเพื่อทำให้สิ่งที่เริ่มต้นจากแม่หมาป่ามีความหมาย” เรมัสกล่าวเสริม
ซิลวีอุสยิ้ม และลุกขึ้น “จงใช้ความกล้าหาญ และปัญญาที่เจ้าได้รับมา สร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่จงอย่าลืมว่า ความยิ่งใหญ่ต้องมาพร้อมกับความเมตตา และการเสียสละ”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของซิลวีอุส โรมูลัส และเรมัสมั่นใจในเป้าหมายของพวกเขายิ่งขึ้น พวกเขาอำลาชายชราด้วยความเคารพ และเดินหน้าสำรวจไปตามริมแม่น้ำไทเบอร์ต่อ ในใจของพวกเขารู้ว่าการเดินทางของพวกเขาไม่ใช่แค่เพื่อสร้างเมือง แต่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความรัก และความเสียสละที่เคยช่วยพวกเขาให้รอดชีวิตมาในวัยเด็ก เรื่องราวของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คือเรื่องราวของการสร้างประวัติศาสตร์ที่จะถูกเล่าขานนับพันๆ ปี..
ขณะเดินสำรวจต่อบริเวณแม่น้ำไทเบอร์ โรมูลัสก็ได้พูดถึงกษัตริย์ "อามูลิอัส" เบาๆ ว่าถ้าตัวกษัตริย์เป็นอย่างนี้จริง ผู้คนมากมายจะต้องทนทุกข์ และทนความลำบากขนาดไหนกัน เราน่าจะต้องไปยั่งหมู่บ้านอื่นๆ ดู และหาข้อมูลเกี่ยวกับกษัตริย์เพิ่มให้มากกว่านี้ เรมัส พยักหน้า และทั้งสองก็เดินทางลัดเลาะมาตามแม่น้ำ
.
เมื่อมาถึงหน้าถ้ำ "ลูเปอร์คาล" พวกเขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สายลมพัดผ่านใบไม้ ส่งเสียงเสียดสีเบาๆ คล้ายกับธรรมชาติกำลังตอบรับการกลับมา
"ที่นี่..มันยังคงเหมือนเดิม" โรมูลัสเอ่ยเบาๆ
พวกเขาก้าวเข้าไปในถ้ำ ตะไคร่น้ำเขียวคลุมผนังหินเย็นชื้น แสงแดดลอดผ่านช่องเล็กๆ ส่องเป็นลำแสงอบอุ่นลงมายังพื้นถ้ำ ความเงียบสงบในถ้ำกลับทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบอยู่รอบตัว เป็นเสียงของความทรงจำในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ที่นี่
โรมูลัส และเรมัสเดินลึกเข้าไปในถ้ำ สายตาของโรมูลัสก็สะดุดกับบางสิ่งบนพื้นถ้ำ รอยเท้าของหมาป่าใหญ่ยังคงปรากฏอยู่ในดินที่แห้งกรัง ร่องรอยกรงเล็บ และอุ้งเท้าใหญ่โต ของแม่หมาป่าที่ครั้งหนึ่งเคยปกป้องพวกเขา เรมัสก้มลงแตะรอยนั้นเบาๆ
"เธอยังอยู่ในจิตใจของเราเสมอ" เรมัสกล่าว น้ำเสียงอบอุ่นของเขาเต็มไปด้วยความรัก และความขอบคุณ
โรมูลัสนั่งลงข้างๆ พลางยิ้มจางๆ "เธอไม่เคยทิ้งเราไปจริงๆ แม้แต่ตอนนี้ ฉันก็ยังรู้สึกได้ถึงความรักของเธอ"
ระหว่างที่พวกเขากำลังสำรวจถ้ำ โรมูลัสพบกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมลึกของถ้ำ กิ่งไม้ที่จัดเรียงเป็นรูปทรงเหมือนรังที่พวกเขาเคยนอน แม่หมาป่าเคยทำรังนี้เพื่อปกป้องพวกเขาจากลมหนาว
เรมัสหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง และพึมพำ "นี่คือจุดเริ่มต้นของเรา" พวกเขานั่งลงในถ้ำเป็นเวลานาน ปล่อยให้ความทรงจำที่พวกเขาเคยลืมเลือนกลับมาทำให้หัวใจอบอุ่นอีกครั้ง
ก่อนที่พวกเขาจะออกจากถ้ำ โรมูลัส และเรมัสได้ยินเสียงลมพัดผ่านช่องถ้ำ เสียงนั้นแฝงไปด้วยพลัง และความสงบ ราวกับเป็นเสียงของแม่หมาป่าที่กำลังสื่อสารบางอย่างให้กับพวกเขา
"จงสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และให้ที่นี่เป็นหัวใจของสิ่งที่พวกเจ้าสร้าง" เสียงนั้นกระซิบในหัวใจของพวกเขา
ทั้งสองพยักหน้าโดยไม่ต้องพูดอะไร พวกเขารู้ว่าเวลาของพวกเขามาถึงแล้ว พวกเขาจะสร้างเมืองใหม่บนดินแดนแห่งนี้ เมืองที่เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และความรักที่เคยปกป้องพวกเขาในวัยเด็ก
เมื่อออกจากถ้ำ โรมูลัสหันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย "ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง" เขากล่าวเบาๆ ก่อนจะเดินต่อไปยังอนาคตที่กำลังรอพวกเขาอยู่
.
โรมูลัส และเรมัสก้าวออกจากถ้ำ "ลูเปอร์คาล" ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น แม่น้ำไทเบอร์ไหลเอื่อยอยู่เบื้องหลัง ราวกับจะคอยส่งพวกเขาเดินทางไปสู่อนาคต
...
ต่อ EP 3 ในโพสต่อไป หรืออาจจะอีกโพสครับผม
...
...
ตรรกะในวันนี้ อยากกินอาหารในเวอร์ชันโบลิเวีย ไม่มีเหตุผลอะไรมาก แค่ตรรกะมันพาไปครับผม
1. Pique macho
มีเฟรนช์ฟรายส์วางอยู่ใต้เนื้อวัวสับ ฮอทดอก ไข่ มะเขือเทศ หัวหอม พริกหยวก และพริกชี้ฟ้า และใส่ซอสมะเขือเทศ มายองเนส และมัสตาร์ด เมนูนี้มีประวัติที่อ้างกันว่า ถูกคิดค้นโดย Honorato Quinones และภรรยาของเขา Evangelina Gomez Quinones เจ้าของร้านอาหารชื่อ Miraflores ในเมือง Cochabamba
.
2. Sopa de mani
ซุปถั่วลิสงของโบลิเวียที่ทำจากเนื้อวัว กระดูกวัว มันฝรั่ง และถั่วเป็นส่วนผสมหลัก
.
3. Empanadas de Queso
เวอร์ชันโบลิเวียนี้ทำจากชีส ตรงกลาง เป็นเมนูประจำของอเมริกาใต้ และคนในท้องถิ่น สามารถทำแบบอบหรือทอดได้
.
4. Salteñas
ซัลเตญาสเป็นอาหารริมทางแบบดั้งเดิมของโบลิเวียที่ไส้ เนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ และเต็มไปด้วยซอสรสหวาน และเผ็ด
.
5. Silpancho
แบบถ้าได้ไปเยือนโบลิเวีย อย่าลืมสั่งจานนี้ อาหารจานดั้งเดิมจากหุบเขาโคชาบัมบา (Cochabamba) ประกอบด้วยข้าวขาวหลายชั้น มะเขือเทศต้มและหั่นเป็นแว่น และเนื้อบดบางๆ หรือ หัวหอม บีทรูท ผักชีฝรั่ง และไข่ดาวด้วยก็ได้
.
6. Marraqueta
ขนมปังที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโบลิเวีย และชิลี และยิ่งเฉพาะเปลือกนอกของมันที่หลายคนชอบมาก
.
7. Alfajores
คุกกี้แสนอร่อยที่ต้องลองหากได้ไปเยือนโบลิเวีย ที่มีลักษณะเหมือนแซนด์วิช นุ่มๆ
...
เพื่อนๆ คิดว่าเมนูไหนหน้ากินที่สุดครับผม
.
ปล. เผื่อมีคนสงสัยตรรกะ.. อยู่ในช่วงอ่านโน้นนี่นั่นของโบลีเวียอยู่ครับผม
ปล2. อย่าลืมติดตาม EP 3 กันนะครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: unesco .org
: rainforestcruises
: tasteatlas
: britannica
: worldhistory .org
: historycooperative .org
.
นามปากกา: YiiYee
LookAt
ทำไมวันตรรกะโลกถึงสำคัญ? คำตอบที่ต้องรู้.. กับ EP2 กำเนิดกรุงโรม ตำนานโรมูลัส และเรมัส
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคนผู้ว่า มีตรรกะกันหน่อย ตรรกะวิบัติแล้ว อะไรประมาณนี้.. หากกล่าวตามพจนานุกรม ตรรกะ คือ ความคิด, ความตรึก
ตรรกะ คือ ศาสตร์แห่งการคิดอย่างมีเหตุผล และการให้เหตุผล มันเหมือนกับเป็น GPS นำทางให้เราในโลกของการคิด และการแก้ปัญหา นึกภาพว่าคุณมีแผนที่วิเศษที่ไม่เคยพาคุณหลงทาง นั่นแหละคือ ตรรกะ
.
มาลองนึกถึงการเล่นเกมสนุกๆ กัน..
หมวกสีขาวอยู่ข้างหน้าหมวกสีแดง
หมวกสีดำอยู่ข้างหลังหมวกสีขาว
หมวกสีแดงอยู่ตรงกลาง
หมวกสีไหนอยู่หน้าสุด
...
..
.
คำตอบ: หมวกสีขาว
ตรรกะจะช่วยเราในการวิเคราะห์ข้อมูล และหาคำตอบ
ตรรกะนั้นทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น เช่น ถ้าเราอยากเลือกซื้อของขวัญให้เพื่อน เราอาจใช้ตรรกะเพื่อคิดว่าเพื่อนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และอะไรที่เพื่อนต้องการมากที่สุด ตรรกะจะช่วยให้การตัดสินใจของเรามีเหตุผลและแม่นยำ และที่สำคัญ ตรรกะเป็นเหมือนเวทมนตร์ที่ทำให้เราแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตได้ ทั้งในเรื่องการเรียน การทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวัน
...
วันตรรกะโลก 14 มกราคม World Logic Day
ประกาศขึ้นครั้งแรกในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เพื่อให้นำเสนอประวัติศาสตร์เชิงปัญญา ผลกระทบในทางปฏิบัติ และความสำคัญเชิงแนวคิดของตรรกะให้กับชุมชนวิทยาศาสตร์รวมถึงประชาชนทั่วไป
วันสากลนี้ถูกคิดค้นโดยสมาคม Logica Universalis (LUA) ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของตรรกะในชีวิตประจำวัน แม้ว่าตรรกะจะเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาความรู้ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี แต่สาธารณชนทั่วไปกลับมีความตระหนักรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับความสำคัญของตรรกะ ดังนั้น (UNESCO) ร่วมกับสภาระหว่างประเทศว่าด้วยปรัชญา และมนุษยศาสตร์ (CIPSH) ได้ประกาศให้มีวันตรรกะโลก เพื่อสร้างความเข้าใจ และการตระหนักรู้ในหัวข้อนี้
ตรรกะไม่ได้มีความสำคัญแค่ในวงการวิชาการ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวัน การคิดอย่างมีเหตุผลช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ตรรกะยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งการเรียนรู้ และการฝึกฝนตรรกะช่วยให้เราสามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ และการคิดสร้างสรรค์ ตรรกะช่วยให้เรามองเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
...
EP2 กำเนิดกรุงโรม ตำนานโรมูลัส และเรมัส
...
ความเดิมตอนที่แล้ว ถังซานพาเสียวอู่ในร่างกระต่ายเดินทางไปยังโรงเรียนสือไหล่เค่อ *-$%&$ ไม่ใช่สิ..ผิดๆๆ
.
ความเดิมตอนที่แล้ว โรมูลัส และเรมัส ได้ลาจาก ฟอสตุลุสและลาริเซีย และออกเดินทางกลับไปยังแม่น้ำไทเบอร์
EP1: https://ppantip.com/topic/43194480
...
โรมูลัส และเรมัสเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำไทเบอร์ หัวใจของพวกเขาเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่ยากจะอาจอธิบายได้ ราวกับดินแดนนี้กำลังเรียกหาพวกเขากลับมา
ในขณะที่โรมูลัส และเรมัสสำรวจพื้นที่ริมแม่น้ำ พวกเขาได้พบกับชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายชรามีลักษณะสง่างามในชุดเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา แต่ดวงตากลับดูอบอุ่น และลึกซึ้งยิ่งนัก
“สวัสดี พ่อหนุ่มทั้งสอง ข้าคือซิลวีอุส ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มานานเกินกว่าที่ต้นไม้ต้นนี้จะเติบโต เจ้าทั้งสองคนคือ โรมูลัสและเรมัส ใช่หรือไม่”
ทั้งสองตกใจและมองหน้ากัน “ท่านรู้จักเราได้อย่างไร” โรมูลัสถามด้วยความสงสัย
ซิลวีอุสยิ้มและกล่าว “เรื่องราวของเจ้าเป็นที่เล่าขานในหมู่ชาวบ้าน แต่ข้ารู้มากกว่านั้น เพราะข้าเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่นำพาเจ้ามายังแม่น้ำไทเบอร์นี้”
ซิลวีอุสเริ่มเล่าเรื่องราวมากมายที่ทำให้ทั้งสองนั่งฟังด้วยความตั้งใจ
“เมื่อหลายปีก่อน เจ้าทั้งสองเกิดในครอบครัวของกษัตริย์ แต่ถูกพรากจากบัลลังก์เพราะการแย่งชิงอำนาจ กษัตริย์ "อามูลิอัส" ผู้ที่ต้องการครอบครองบัลลังก์ได้สั่งให้โยนพวกเจ้าไปในแม่น้ำไทเบอร์เพื่อให้หายไปจากโลกนี้ แต่โชคชะตาไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”
กษัตริย์ "อามูลิอัส" เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาด แต่ความเฉลียวฉลาดนั้นถูกใช้ไปในทางที่ผิด เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ และมุ่งมั่นจะรักษาอำนาจของตนไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขามักจะใช้กำลัง และการหลอกลวงเพื่อควบคุมผู้อื่น
ภายในใจของกษัตริย์ "อามูลิอัส" มีแต่ความระแวงเขารู้ดีว่าบัลลังก์ของเขาถูกช่วงชิงมาอย่างไม่ชอบธรรม และหวาดกลัวว่าชะตากรรมอาจหวนคืนมาหาเขา
ในราชสำนัก กษัตริย์อามูลิอัส ล้อมรอบตัวเองด้วยผู้คนที่ภักดีต่อเขาเพียงเพราะความกลัว ไม่ใช่ความรัก กองทัพของเขาแข็งแกร่ง แต่ผู้คนในอาณาจักรกลับอ่อนแอ และหวาดกลัว เนื่องจากกษัตริย์ไม่เคยใส่ใจความทุกข์ยากของผู้คน
.
ซิลวีอุสเล่าต่อไปว่า ในขณะที่พวกเจ้าทั้งสองอยู่ในตะกร้าที่กำลังลอยอยู่กลางแม่น้ำไทเบอร์
ซิลวีอุสชี้ไปที่แม่น้ำ “แม่น้ำไทเบอร์ช่วยชีวิตพวกเจ้า ด้วยการพัดพาตะกร้าที่เจ้าถูกใส่มายังชายฝั่ง และที่นี่เองแม่หมาป่าได้พบพวกเจ้า”
เรมัสฟังอย่างตั้งใจ และถามด้วยเสียงเบา “แล้วท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
ชายชราเล่าต่อ “ข้าเป็นผู้หนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ในคืนที่พวกเจ้าถูกปล่อยลงแม่น้ำ และข้าคอยติดตามดูชีวิตของพวกเจ้ามาโดยตลอด ข้ารู้ว่าแม่หมาป่าช่วยเลี้ยงดูพวกเจ้า ข้ารู้ว่าฟอสตุลุสพบพวกเจ้าในป่า และข้ารู้ว่าอนาคตของพวกเจ้าถูกกำหนดไว้ให้ยิ่งใหญ่”
เมื่อซิลวีอุสเล่าจบ โรมูลัส และเรมัสรู้สึกเหมือนจิ๊กซอว์ในชีวิตที่ขาดหายไปได้รับการเติมเต็ม พวกเขาทั้งคู่รู้แล้วว่าชะตากรรมของพวกเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“เราถูกกำหนดให้มาที่นี่ เพื่อสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่” โรมูลัสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“และเพื่อทำให้สิ่งที่เริ่มต้นจากแม่หมาป่ามีความหมาย” เรมัสกล่าวเสริม
ซิลวีอุสยิ้ม และลุกขึ้น “จงใช้ความกล้าหาญ และปัญญาที่เจ้าได้รับมา สร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่จงอย่าลืมว่า ความยิ่งใหญ่ต้องมาพร้อมกับความเมตตา และการเสียสละ”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของซิลวีอุส โรมูลัส และเรมัสมั่นใจในเป้าหมายของพวกเขายิ่งขึ้น พวกเขาอำลาชายชราด้วยความเคารพ และเดินหน้าสำรวจไปตามริมแม่น้ำไทเบอร์ต่อ ในใจของพวกเขารู้ว่าการเดินทางของพวกเขาไม่ใช่แค่เพื่อสร้างเมือง แต่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความรัก และความเสียสละที่เคยช่วยพวกเขาให้รอดชีวิตมาในวัยเด็ก เรื่องราวของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คือเรื่องราวของการสร้างประวัติศาสตร์ที่จะถูกเล่าขานนับพันๆ ปี..
ขณะเดินสำรวจต่อบริเวณแม่น้ำไทเบอร์ โรมูลัสก็ได้พูดถึงกษัตริย์ "อามูลิอัส" เบาๆ ว่าถ้าตัวกษัตริย์เป็นอย่างนี้จริง ผู้คนมากมายจะต้องทนทุกข์ และทนความลำบากขนาดไหนกัน เราน่าจะต้องไปยั่งหมู่บ้านอื่นๆ ดู และหาข้อมูลเกี่ยวกับกษัตริย์เพิ่มให้มากกว่านี้ เรมัส พยักหน้า และทั้งสองก็เดินทางลัดเลาะมาตามแม่น้ำ
.
เมื่อมาถึงหน้าถ้ำ "ลูเปอร์คาล" พวกเขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สายลมพัดผ่านใบไม้ ส่งเสียงเสียดสีเบาๆ คล้ายกับธรรมชาติกำลังตอบรับการกลับมา
"ที่นี่..มันยังคงเหมือนเดิม" โรมูลัสเอ่ยเบาๆ
พวกเขาก้าวเข้าไปในถ้ำ ตะไคร่น้ำเขียวคลุมผนังหินเย็นชื้น แสงแดดลอดผ่านช่องเล็กๆ ส่องเป็นลำแสงอบอุ่นลงมายังพื้นถ้ำ ความเงียบสงบในถ้ำกลับทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบอยู่รอบตัว เป็นเสียงของความทรงจำในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ที่นี่
โรมูลัส และเรมัสเดินลึกเข้าไปในถ้ำ สายตาของโรมูลัสก็สะดุดกับบางสิ่งบนพื้นถ้ำ รอยเท้าของหมาป่าใหญ่ยังคงปรากฏอยู่ในดินที่แห้งกรัง ร่องรอยกรงเล็บ และอุ้งเท้าใหญ่โต ของแม่หมาป่าที่ครั้งหนึ่งเคยปกป้องพวกเขา เรมัสก้มลงแตะรอยนั้นเบาๆ
"เธอยังอยู่ในจิตใจของเราเสมอ" เรมัสกล่าว น้ำเสียงอบอุ่นของเขาเต็มไปด้วยความรัก และความขอบคุณ
โรมูลัสนั่งลงข้างๆ พลางยิ้มจางๆ "เธอไม่เคยทิ้งเราไปจริงๆ แม้แต่ตอนนี้ ฉันก็ยังรู้สึกได้ถึงความรักของเธอ"
ระหว่างที่พวกเขากำลังสำรวจถ้ำ โรมูลัสพบกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมลึกของถ้ำ กิ่งไม้ที่จัดเรียงเป็นรูปทรงเหมือนรังที่พวกเขาเคยนอน แม่หมาป่าเคยทำรังนี้เพื่อปกป้องพวกเขาจากลมหนาว
เรมัสหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง และพึมพำ "นี่คือจุดเริ่มต้นของเรา" พวกเขานั่งลงในถ้ำเป็นเวลานาน ปล่อยให้ความทรงจำที่พวกเขาเคยลืมเลือนกลับมาทำให้หัวใจอบอุ่นอีกครั้ง
ก่อนที่พวกเขาจะออกจากถ้ำ โรมูลัส และเรมัสได้ยินเสียงลมพัดผ่านช่องถ้ำ เสียงนั้นแฝงไปด้วยพลัง และความสงบ ราวกับเป็นเสียงของแม่หมาป่าที่กำลังสื่อสารบางอย่างให้กับพวกเขา
"จงสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และให้ที่นี่เป็นหัวใจของสิ่งที่พวกเจ้าสร้าง" เสียงนั้นกระซิบในหัวใจของพวกเขา
ทั้งสองพยักหน้าโดยไม่ต้องพูดอะไร พวกเขารู้ว่าเวลาของพวกเขามาถึงแล้ว พวกเขาจะสร้างเมืองใหม่บนดินแดนแห่งนี้ เมืองที่เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และความรักที่เคยปกป้องพวกเขาในวัยเด็ก
เมื่อออกจากถ้ำ โรมูลัสหันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย "ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง" เขากล่าวเบาๆ ก่อนจะเดินต่อไปยังอนาคตที่กำลังรอพวกเขาอยู่
.
โรมูลัส และเรมัสก้าวออกจากถ้ำ "ลูเปอร์คาล" ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น แม่น้ำไทเบอร์ไหลเอื่อยอยู่เบื้องหลัง ราวกับจะคอยส่งพวกเขาเดินทางไปสู่อนาคต
...
ต่อ EP 3 ในโพสต่อไป หรืออาจจะอีกโพสครับผม
...
...
ตรรกะในวันนี้ อยากกินอาหารในเวอร์ชันโบลิเวีย ไม่มีเหตุผลอะไรมาก แค่ตรรกะมันพาไปครับผม
1. Pique macho
มีเฟรนช์ฟรายส์วางอยู่ใต้เนื้อวัวสับ ฮอทดอก ไข่ มะเขือเทศ หัวหอม พริกหยวก และพริกชี้ฟ้า และใส่ซอสมะเขือเทศ มายองเนส และมัสตาร์ด เมนูนี้มีประวัติที่อ้างกันว่า ถูกคิดค้นโดย Honorato Quinones และภรรยาของเขา Evangelina Gomez Quinones เจ้าของร้านอาหารชื่อ Miraflores ในเมือง Cochabamba
.
2. Sopa de mani
ซุปถั่วลิสงของโบลิเวียที่ทำจากเนื้อวัว กระดูกวัว มันฝรั่ง และถั่วเป็นส่วนผสมหลัก
.
3. Empanadas de Queso
เวอร์ชันโบลิเวียนี้ทำจากชีส ตรงกลาง เป็นเมนูประจำของอเมริกาใต้ และคนในท้องถิ่น สามารถทำแบบอบหรือทอดได้
.
4. Salteñas
ซัลเตญาสเป็นอาหารริมทางแบบดั้งเดิมของโบลิเวียที่ไส้ เนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ และเต็มไปด้วยซอสรสหวาน และเผ็ด
.
5. Silpancho
แบบถ้าได้ไปเยือนโบลิเวีย อย่าลืมสั่งจานนี้ อาหารจานดั้งเดิมจากหุบเขาโคชาบัมบา (Cochabamba) ประกอบด้วยข้าวขาวหลายชั้น มะเขือเทศต้มและหั่นเป็นแว่น และเนื้อบดบางๆ หรือ หัวหอม บีทรูท ผักชีฝรั่ง และไข่ดาวด้วยก็ได้
.
6. Marraqueta
ขนมปังที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโบลิเวีย และชิลี และยิ่งเฉพาะเปลือกนอกของมันที่หลายคนชอบมาก
.
7. Alfajores
คุกกี้แสนอร่อยที่ต้องลองหากได้ไปเยือนโบลิเวีย ที่มีลักษณะเหมือนแซนด์วิช นุ่มๆ
...
เพื่อนๆ คิดว่าเมนูไหนหน้ากินที่สุดครับผม
.
ปล. เผื่อมีคนสงสัยตรรกะ.. อยู่ในช่วงอ่านโน้นนี่นั่นของโบลีเวียอยู่ครับผม
ปล2. อย่าลืมติดตาม EP 3 กันนะครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: unesco .org
: rainforestcruises
: tasteatlas
: britannica
: worldhistory .org
: historycooperative .org
.
นามปากกา: YiiYee
LookAt