วันนมแห่งชาติ 11 มกราคม National Milk Day
จริงๆ วันนี้นับว่าเป็นวันส่งนมในขวดแก้วขึ้นครั้งแรกมากกว่า เพราะเกิดขึ้นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกา โดย Alexander Campbell จากบริษัท New York Dairy Company ซึ่งมีการอ้างว่าเป็นบริษัทแรกของการจัดส่งนมรูปแบบนี้ ในปี ค.ศ. 1878
.
ตั้งแต่ยุคกลาง ผู้คนมองว่านมเป็น "ไวน์ขาวแห่งความมีคุณธรรม" เพราะในขณะนั้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความน่าเชื่อถือมากกว่าน้ำ ในปี ค.ศ. 1863 หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) นักเคมีและนักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส ได้พัฒนาวิธีการเก็บรักษานมและอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ให้สามารถเก็บได้นานขึ้น ด้วยการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อันตราย ซึ่งวิธีการนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "การพาสเจอไรซ์"
ต่อมาในปี ค.ศ. 1884 แพทย์ชาวอเมริกัน เฮอร์วีย์ แทตเชอร์ (Hervey Thatcher) จากนิวยอร์ก ได้พัฒนาขวดแก้วสำหรับเด็กแบบสมัยใหม่ขวดแรก เขาเรียกขวดนี้ว่า "ขวดสามัญสำนึกของแทตเชอร์" เขาใช้แผ่นกระดาษเคลือบขี้ผึ้งปิดผนึกนมในขวดแก้ว ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1932 กล่องนมเคลือบพลาสติกจะถือกำเนิดขึ้น
.
จริงแล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดนั้น สามารถผิลตนมได้ ทั้ง ควาย, แพะ, แกะ, อูฐ, ลา, ม้า, กวางเรนเดียร์ และจามรี ซึ่งสัตว์เหล่านี้ก็ถูกนำนมมาผลิตในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาอย่าง ไอศกรีม เนย โยเกิร์ต และชีส แต่ถ้าในรูปแบบเชิงการค้า นมวัวถือพบได้มากที่สุด ในปี ค.ศ. 2011 องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประมาณการว่าวัวให้ผลผลิตนมถึง 85% ของนมทั้งหมดในโลก
...
หากกล่าวถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับ "นม" ในตำนานอันเป็นเรื่องเล่าที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ก็คงต้องขอกล่าวถึง "โรมูลัส" (Romvlvs) และ"เรมัส" (Remvs) สองพี่น้องฝาแฝดที่เกิดจากเทพมาร์ส (Mars) และเรอาซิลเวีย (Rhea Silvia)พวกเขาถูกทิ้งลงในแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber) แต่รอดชีวิตมาได้ด้วยการดูแลของแม่หมาป่าที่ทั้งให้นม และคอยปกป้อง ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำลูเปอร์คาล (Lupercal) จนกระทั่งถูกพบและเลี้ยงดูโดยคนเลี้ยงแกะชื่อฟอสตุลุส (Faustulus) ต่อมา โรมูลัสได้ก่อตั้งกรุงโรมขึ้นในปี 753 ก่อนคริสต์ศักราช
: ภาพของแม่หมาป่าที่ให้นมโรมูลัส และเรมัสกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของกรุงโรม แสดงถึงความกล้าหาญและการอยู่รอด รูปปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "Capitoline Wolf"
...
แล้วตำนานช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร และเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง!
...
.
ณ ดินแดนอันไกลโพ้น อาณาจักรโบราณชื่อว่า "อัลบา ลองกา" ที่ซึ่งกษัตริย์แห่งดินแดนนี้ถูกยึดอำนาจ โดยผู้ปกครองผู้โหดร้ายชื่อว่า "อามูลิอัส" ตัวของกษัตริย์นั้นเกรงกลัวที่จะมีใครมาท้าทายบัลลัก์ จึงได้บังคับให้เจ้าหญิง "เรอา ซิลเวีย" ผู้เป็นหลานสาว ให้บวชในวิหารศักดิ์สิทธ์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เธอมีบุตรที่อาจจะกลับมาแย่งชิงอำนาจได้
โชคชะตานั้นเล่นตลก เมื่อเทพเจ้า มาร์ส (เทพสงคราม) ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับมอบบุตรชายฝาแฝดให้แก่เรอา ซิลเวีย พวกเขามีชื่อว่า โรมูลัส และ เรมัส
ครั้นเมื่อกษัติย์อามูลิอัสทรงทราบเรื่อง ก็ถึงกับโมโหเป็นอย่างมาก สั่งให้โยนเด็กทั้งสองลงแม่น้ำไทเบอร์ทิ้งในทันที
แม่น้ำไทเบอร์ที่เชี่ยวกรากอยู่ตลอดเวลา แต่กลับอ่อนโยนในขณะที่ โรมูลัส และเรมัส อยู่ในตะกร้าขณะลอยอยู่ในแม่น้ำ ราวกับล่วงรู้ถึงชะตาอันยิ่งใหญ่ของเด็กทั้งสอง
.
ณ ริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ ท่ามกลางเสียงน้ำที่ไหลเอื่อย..ตะกร้าของเด็กน้อยลอยมาจนถึงริมฝั่งแม่น้ำ และที่นั่นเอง เด็กน้อยทั้งสองถูกพบโดย แม่หมาป่าตัวหนึ่ง มันมีขนสีเทาเข้ม ดวงตาคมกริบ แต่กับแฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม่หมาป่าไม่ได้ทำร้ายเด็กน้อยทั้งสอง แต่กลับใช้ลิ้นเลียพวกเขาอย่างอ่อนโยน และใช้ท้าวทั้งสองข้าง ประคองตะกร้าขึ้นจากน้ำ
แม่หมาป่าพาพวกเขาไปยังถ้ำ "ลูเปอร์คาล" บ้านอันปลอดภัยที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางเนินเขา เมื่อได้ยินเสียงร้องของเด็กน้อยทั้งสอง จึงเขาใจว่ากำลังหิวโหย จึงให้นมกับเด็กน้อยทั้งสองอย่างระมัดระวัง
ในถ้ำนั้น โรมูลัส และเรมัสได้รับการดูแลจากแม่หมาป่าอย่างใกล้ชิด ยามเช้า เด็กน้อยทั้งสองจะลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของป่าไม้ แม่หมาป่าจะให้นมแก่พวกเขาอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ แม้จะไม่สามารถพูดได้ แต่ความรักและความผูกพันของแม่หมาป่ากับเด็กน้อยทั้งสองกลับแน่นแฟ้น
ในทุกวัน จะมีนกหัวขวาน ตัวหนึ่งบินมา พร้อมกับอาหารในปาก บ้างเป็นผลเบอร์รี่ บ้างเป็นเศษเนื้อสัตว์ที่มันหามาได้ มันส่งเสียงร้องเบาๆ ขณะที่วางอาหารลงตรงหน้าของเด็กน้อย โรมูลัสและเรมัสมักหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นปีกเล็กๆ ของนกหัวขวานกระพือไปมา
ใช่แล้วนกหัวขวานนั้นไม่ได้เป็นแค่ผู้ส่งอาหาร แต่ยังเป็นเพื่อนเล่นของพวกเขา บางครั้งมันจะบินวนรอบถ้ำอย่างสนุกสนาน เด็กทั้งสองจะยกมือขึ้นพยายามจับมัน แต่ไม่เคยทันกันสักครั้ง
.
เมื่อเริ่มโตขึ้น โรมูลัสและเรมัสเริ่มคลานออกมาสำรวจโลกภายนอก ภายใต้การดูแลของแม่หมาป่า พวกเขาเรียนรู้วิธีเดิน วิ่ง และกระโดด เด็กทั้งสองเล่นซนท่ามกลางต้นไม้และโขดหินในป่า แม่หมาป่ามักคอยดูแลอยู่ห่างๆ หากรู้สึกถึงอันตราย ก็จะส่งเสียงคำรามดังลั่นเพื่อเตือนภัย
โรมูลัสและเรมัสไม่ได้เพียงเรียนรู้จากแม่หมาป่าเท่านั้น พวกเขายังสังเกตชีวิตของสัตว์อื่นในป่า เรียนรู้ความอดทนจากเต่า ความรวดเร็วจากกวาง และความเฉลียวฉลาดจากนกหัวขวาน ยังเรียนรู้ความซุกซนจากเจ้ากระต่ายในโพงใต้ต้นไม้ใกล้ๆ อีกด้วย
ในคืนที่อากาศเย็น แม่หมาป่าจะนอนขดตัวรอบเด็กทั้งสอง เพื่อให้ความอบอุ่น คล้อยด้วยเสียงลมพัดผ่านใบไม้ และเสียงนกราตรีร้องประสานเป็นบทเพลงกล่อมเด็กน้อยทั้งสองให้หลับใหล ซึ่งแม้ชีวิตภายในถ่ำจะไม่สะดวกสบาย หากแต่อบอวลไปด้วยความรัก และความอบอุ่น
.
ในวันที่แสงแดดสาดส่องผ่านยอดไม้ในป่าใกล้แม่น้ำไทเบอร์ เสียงหัวเราะของเด็กน้อยสองคนดังก้องไปทั่วป่า โรมูลัส และเรมัส วิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ใบไม้ปลิวกระจายตามเท้าเล็กๆ ของพวกเขา ไม่ไกลจากที่นั่น "ฟอสตุลุส" ชายเลี้ยงแกะผู้ใจดี กำลังเดินตามแกะของเขาไปในป่า
ทันใดนั้น ฟอสตุลุสได้ยินเสียงหัวเราะ พร้อมทั้งมีการเคลื่อนไหวของพุ่งไม้ เขาระแวดระวังในทันที คิดว่าเป็นสัตว์ป่า หรือโจรป่าที่มาลอบทำร้ายฝูงแกะของเขา แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับทำให้เขาประหลาดใจ
เด็กชายสองคนที่เต็มไปด้วยดินและรอยขีดข่วน กำลังนั่งเล่นอยู่กับลูกหมาป่า พวกเขาดูมีความสุขราวกับอยู่ในโลกของตัวเอง ฟอสตุลุสก้มลงมองพวกเขา และรู้สึกสงสารที่เห็นเด็กทั้งสองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ากับธรรมชาติ
"เจ้าทั้งสองมาจากไหนกันรึ" ฟอสตุลุสถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เด็กน้อยไม่ตอบ แต่พวกเขาหันมายิ้มให้เขา โรมูลัสยกมือขึ้นแตะชายเสื้อของฟอสตุลุสอย่างไว้ใจ ขณะที่เรมัสชี้ไปยังท้องฟ้า และหัวเราะ
ฟอสตุลุสเข้าใจในทันทีว่าเด็กทั้งสองไม่เข้าใจในภาษา และรู้สึกว่าเด็กสองคนนี้ไม่ควรอยู่ในป่าเช่นนี้ต่อไป เขาตัดสินใจพาพวกเขาทั้งสองกลับไปยังบ้านของเขา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ทุ่งหญ้าสีเขียวที่มีฝูงแกะเล็มหญ้าอยู่โดยรอบ
.
ขณะกำลังจะเข้าอุ้มตัวเด็กทั้งสอง ทันใดนั้นร่างสูงตะหง่านของแม่หมาป่า พลันกระโจมเข้ามาขัดขว้างอยู่ตรงหน้าของฟอสตุลุส พร้อมเสียงคำรามดังสนั่น
ฟอสตุลุตกใจเป็นอย่างมาก ล้มลงไปตรงหน้าของแม่หมาป่า ในสถานการณ์ที่กำลังทำอะไรไม่ถูกนี้ ฟอสตุลุก็ตั้งสติขึ้นมาได้ พร้อมทั้งมองดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างละเอียด จึงเข้าใจว่า แม่หมาป่านั้นเพียงปกป้องเด็กน้อยทั้งสองคนเท่านั้น
ฟอสตุลุสมองแม่หมาป่าด้วยความเคารพ เขาเห็นความผูกพันระหว่างสัตว์ป่ากับเด็กสองคน และเข้าใจในทันทีว่า แม่หมาป่านี้เป็นผู้ช่วยชีวิตและเลี้ยงดูพวกเขามา แต่ฟอสตุลุสตัดสินใจแล้วว่าเด็กทั้งสองควรจะมีชีวิตในหมู่มนุษย์ เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์
.
แม่หมาป่าเดินเข้าไปใกล้ฟอสตุลุสอย่างช้าๆ เธอหยุดแสดงท่าทีดุร้ายอีก แต่สายตาของเธอกลับสื่อถึงความรู้สึกมากมาย เสียงลมพัดเบาๆ ผ่านป่า ราวกับธรรมชาติกำลังรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง
ฟอสตุลุ จึงพูดขึ้นมาว่า ต้องการพาเด็กน้อยทั้งสองไปยังสถานที่ที่มีมนุษย์อยู่ และจะเลี้ยงให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ พูดพร้อมทั้งทำท่าทางชี้มือไปยังเด็กทั้งสอง และชี้มาที่ตัวเอง
แม่หมาป่าเข้าใจในทันที พร้อมหันไปเลียหน้าเด็กชายทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย โรมูลัส และเรมัส กอดคอเธอแน่น พวกเขาหัวเราะ และส่งเสียงเรียกเธอในแบบที่เคยทำ แม่หมาป่ารู้สึกถึงความผูกพันที่ยากจะตัดขาด แต่เธอก็รู้ดีว่า ถึงเวลาแล้วที่เด็กสองคนต้องเดินทางไปในโลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิม
ฟอสตุลุสย่อตัวลงตรงหน้าแม่หมาป่า เขาไม่ได้พูดอะไร แต่แสดงท่าทีเคารพเธอราวกับขอบคุณสำหรับการดูแลเด็กทั้งสอง แม่หมาป่าเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถอยหลังไปช้าๆ เธอหันกลับไปยังป่าที่เธอเรียกว่าบ้าน เสียงฝีเท้าของเธอค่อยๆ หายไปในหมู่ไม้ แต่ในหัวใจของเธอ เธอรู้ว่าเด็กสองคนจะปลอดภัยในมือของฟอสตุลุส
แม้แม่หมาป่าจะลาจากไป เธอยังคงแอบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล เฝ้าดูเด็กชายทั้งสองเดินตามฟอสตุลุสไปยังหมู่บ้าน เธอมองพวกเขาจนกระทั่งหายลับไปในสายตา
.
เมื่อมาถึงบ้าน ลาริเซีย ภรรยาของเขารีบออกมาต้อนรับ และเมื่อเธอเห็นเด็กสองคน เธอก็อ้าแขนรับพวกเขาทันที "พวกเขาคงจะเป็นพรจากเทพเจ้า" เธอพูดพร้อมรอยยิ้ม
ฟอสตุลุสและลาริเซียเลี้ยงดูเด็กสองคนราวกับเป็นลูกของตัวเอง พวกเขาสอนให้โรมูลัส และเรมัสรู้จักการพูด การเดินทางไกล และการดูแลแกะ เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นในทุกสิ่งที่ทำ โรมูลัสมักจะเป็นผู้นำในการเล่นเกมหรือวางแผนต่างๆ ส่วนเรมัสเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ และใจดี เด็กทั้งสองมีความกล้าหาญ และฉลาดหลักแหลม จนชาวบ้านในละแวกนั้นต่างชื่นชม
พวกเขาทั้งสองได้เติบโตขึ้นจนเป็นหนุ่ม ด้วยในใจลึกๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองยังมีบางสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จอยู่ จึงตัดสินใจเดินทางกลับไปยังแม่น้ำไทเบอร์ เพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพวกเขา ฟอสตุลุสและลาริเซียส่งพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ แม้จะเศร้าที่ต้องลาจาก แต่พวกเขาเชื่อว่าเด็กทั้งสองที่เคยได้รับการช่วยเหลือในป่า จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวันหนึ่ง และการพบเจอในวันนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชะตากรรมอันยิ่งใหญ่ของโรมูลัส และเรมัส
...
EP 1
ต่อ EP 2 ในโพสหน้านะครับผม
...
อาหารอินเดีย หลายคนอาจจะมีภาพติดตาในเรื่องของความไม่สะอาด ไม่ถูกหลัดโภชนาการ และออกไปทางมันๆ จริงแล้วมีอาหารอินเดียมากมายที่อร่อย และมีประโยชน์ และอาหารที่ทำจากนมแสนอร่อย และมีคุณค่า ทั้งน่ากินน่าอร่อยของประเทศอินเดีย ที่อยากให้มาดูเมนูกัน
1. Kheer
2. Ras malai
3. Paneer
พะเนียร์หนึ่งในอาหารยอดนิยมของคนอินเดียเกือบทุกคน
4. Gazar Halwa
เป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอินเดีย
5. Dahi Bhalla
หนึ่งในอาหารอินเดียที่อุดมด้วยสารอาหารเนื่องจากมีนมเปรี้ยว และถั่วเป็นส่วนผสมหลัก
6. Khandvi
ขนมปังเบซันที่ปรุงสุก มีบัตเตอร์มิลค์ เบซัน เกลือ จะโรยด้วยมะพร้าวหรือผักชีด้วยก็ได้
.
หวังว่าจะไม่ทำให้เพื่อนๆ หิวเมื่อได้เห็นนะครับผม
ปล. แต่ว่า..ผู้เขียนหิวครับผม
ปล. อย่าลืม EP2 ในโพสหน้ากันนะครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates .org
: crazymasalafood
: tasteatlas
: britannica
: worldhistory .org
: historycooperative .org
: wikipedia .org
.
นามปากกา: YiiYee
LookAt
มาดื่มนมกัน! และเล่าเรื่องช่วงเวลาหนึ่งของโรมูลัส (Romvlvs) และเรมัส (Remvs) ที่หลายคนอาจยังไม่รู้
ตั้งแต่ยุคกลาง ผู้คนมองว่านมเป็น "ไวน์ขาวแห่งความมีคุณธรรม" เพราะในขณะนั้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความน่าเชื่อถือมากกว่าน้ำ ในปี ค.ศ. 1863 หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) นักเคมีและนักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส ได้พัฒนาวิธีการเก็บรักษานมและอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ให้สามารถเก็บได้นานขึ้น ด้วยการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อันตราย ซึ่งวิธีการนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "การพาสเจอไรซ์"
ต่อมาในปี ค.ศ. 1884 แพทย์ชาวอเมริกัน เฮอร์วีย์ แทตเชอร์ (Hervey Thatcher) จากนิวยอร์ก ได้พัฒนาขวดแก้วสำหรับเด็กแบบสมัยใหม่ขวดแรก เขาเรียกขวดนี้ว่า "ขวดสามัญสำนึกของแทตเชอร์" เขาใช้แผ่นกระดาษเคลือบขี้ผึ้งปิดผนึกนมในขวดแก้ว ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1932 กล่องนมเคลือบพลาสติกจะถือกำเนิดขึ้น
.
จริงแล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดนั้น สามารถผิลตนมได้ ทั้ง ควาย, แพะ, แกะ, อูฐ, ลา, ม้า, กวางเรนเดียร์ และจามรี ซึ่งสัตว์เหล่านี้ก็ถูกนำนมมาผลิตในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาอย่าง ไอศกรีม เนย โยเกิร์ต และชีส แต่ถ้าในรูปแบบเชิงการค้า นมวัวถือพบได้มากที่สุด ในปี ค.ศ. 2011 องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประมาณการว่าวัวให้ผลผลิตนมถึง 85% ของนมทั้งหมดในโลก
...
หากกล่าวถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับ "นม" ในตำนานอันเป็นเรื่องเล่าที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ก็คงต้องขอกล่าวถึง "โรมูลัส" (Romvlvs) และ"เรมัส" (Remvs) สองพี่น้องฝาแฝดที่เกิดจากเทพมาร์ส (Mars) และเรอาซิลเวีย (Rhea Silvia)พวกเขาถูกทิ้งลงในแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber) แต่รอดชีวิตมาได้ด้วยการดูแลของแม่หมาป่าที่ทั้งให้นม และคอยปกป้อง ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำลูเปอร์คาล (Lupercal) จนกระทั่งถูกพบและเลี้ยงดูโดยคนเลี้ยงแกะชื่อฟอสตุลุส (Faustulus) ต่อมา โรมูลัสได้ก่อตั้งกรุงโรมขึ้นในปี 753 ก่อนคริสต์ศักราช
: ภาพของแม่หมาป่าที่ให้นมโรมูลัส และเรมัสกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของกรุงโรม แสดงถึงความกล้าหาญและการอยู่รอด รูปปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "Capitoline Wolf"
...
แล้วตำนานช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร และเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง!
...
.
ณ ดินแดนอันไกลโพ้น อาณาจักรโบราณชื่อว่า "อัลบา ลองกา" ที่ซึ่งกษัตริย์แห่งดินแดนนี้ถูกยึดอำนาจ โดยผู้ปกครองผู้โหดร้ายชื่อว่า "อามูลิอัส" ตัวของกษัตริย์นั้นเกรงกลัวที่จะมีใครมาท้าทายบัลลัก์ จึงได้บังคับให้เจ้าหญิง "เรอา ซิลเวีย" ผู้เป็นหลานสาว ให้บวชในวิหารศักดิ์สิทธ์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เธอมีบุตรที่อาจจะกลับมาแย่งชิงอำนาจได้
โชคชะตานั้นเล่นตลก เมื่อเทพเจ้า มาร์ส (เทพสงคราม) ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับมอบบุตรชายฝาแฝดให้แก่เรอา ซิลเวีย พวกเขามีชื่อว่า โรมูลัส และ เรมัส
ครั้นเมื่อกษัติย์อามูลิอัสทรงทราบเรื่อง ก็ถึงกับโมโหเป็นอย่างมาก สั่งให้โยนเด็กทั้งสองลงแม่น้ำไทเบอร์ทิ้งในทันที
แม่น้ำไทเบอร์ที่เชี่ยวกรากอยู่ตลอดเวลา แต่กลับอ่อนโยนในขณะที่ โรมูลัส และเรมัส อยู่ในตะกร้าขณะลอยอยู่ในแม่น้ำ ราวกับล่วงรู้ถึงชะตาอันยิ่งใหญ่ของเด็กทั้งสอง
.
ณ ริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ ท่ามกลางเสียงน้ำที่ไหลเอื่อย..ตะกร้าของเด็กน้อยลอยมาจนถึงริมฝั่งแม่น้ำ และที่นั่นเอง เด็กน้อยทั้งสองถูกพบโดย แม่หมาป่าตัวหนึ่ง มันมีขนสีเทาเข้ม ดวงตาคมกริบ แต่กับแฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม่หมาป่าไม่ได้ทำร้ายเด็กน้อยทั้งสอง แต่กลับใช้ลิ้นเลียพวกเขาอย่างอ่อนโยน และใช้ท้าวทั้งสองข้าง ประคองตะกร้าขึ้นจากน้ำ
แม่หมาป่าพาพวกเขาไปยังถ้ำ "ลูเปอร์คาล" บ้านอันปลอดภัยที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางเนินเขา เมื่อได้ยินเสียงร้องของเด็กน้อยทั้งสอง จึงเขาใจว่ากำลังหิวโหย จึงให้นมกับเด็กน้อยทั้งสองอย่างระมัดระวัง
ในถ้ำนั้น โรมูลัส และเรมัสได้รับการดูแลจากแม่หมาป่าอย่างใกล้ชิด ยามเช้า เด็กน้อยทั้งสองจะลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของป่าไม้ แม่หมาป่าจะให้นมแก่พวกเขาอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ แม้จะไม่สามารถพูดได้ แต่ความรักและความผูกพันของแม่หมาป่ากับเด็กน้อยทั้งสองกลับแน่นแฟ้น
ในทุกวัน จะมีนกหัวขวาน ตัวหนึ่งบินมา พร้อมกับอาหารในปาก บ้างเป็นผลเบอร์รี่ บ้างเป็นเศษเนื้อสัตว์ที่มันหามาได้ มันส่งเสียงร้องเบาๆ ขณะที่วางอาหารลงตรงหน้าของเด็กน้อย โรมูลัสและเรมัสมักหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นปีกเล็กๆ ของนกหัวขวานกระพือไปมา
ใช่แล้วนกหัวขวานนั้นไม่ได้เป็นแค่ผู้ส่งอาหาร แต่ยังเป็นเพื่อนเล่นของพวกเขา บางครั้งมันจะบินวนรอบถ้ำอย่างสนุกสนาน เด็กทั้งสองจะยกมือขึ้นพยายามจับมัน แต่ไม่เคยทันกันสักครั้ง
.
เมื่อเริ่มโตขึ้น โรมูลัสและเรมัสเริ่มคลานออกมาสำรวจโลกภายนอก ภายใต้การดูแลของแม่หมาป่า พวกเขาเรียนรู้วิธีเดิน วิ่ง และกระโดด เด็กทั้งสองเล่นซนท่ามกลางต้นไม้และโขดหินในป่า แม่หมาป่ามักคอยดูแลอยู่ห่างๆ หากรู้สึกถึงอันตราย ก็จะส่งเสียงคำรามดังลั่นเพื่อเตือนภัย
โรมูลัสและเรมัสไม่ได้เพียงเรียนรู้จากแม่หมาป่าเท่านั้น พวกเขายังสังเกตชีวิตของสัตว์อื่นในป่า เรียนรู้ความอดทนจากเต่า ความรวดเร็วจากกวาง และความเฉลียวฉลาดจากนกหัวขวาน ยังเรียนรู้ความซุกซนจากเจ้ากระต่ายในโพงใต้ต้นไม้ใกล้ๆ อีกด้วย
ในคืนที่อากาศเย็น แม่หมาป่าจะนอนขดตัวรอบเด็กทั้งสอง เพื่อให้ความอบอุ่น คล้อยด้วยเสียงลมพัดผ่านใบไม้ และเสียงนกราตรีร้องประสานเป็นบทเพลงกล่อมเด็กน้อยทั้งสองให้หลับใหล ซึ่งแม้ชีวิตภายในถ่ำจะไม่สะดวกสบาย หากแต่อบอวลไปด้วยความรัก และความอบอุ่น
.
ในวันที่แสงแดดสาดส่องผ่านยอดไม้ในป่าใกล้แม่น้ำไทเบอร์ เสียงหัวเราะของเด็กน้อยสองคนดังก้องไปทั่วป่า โรมูลัส และเรมัส วิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ใบไม้ปลิวกระจายตามเท้าเล็กๆ ของพวกเขา ไม่ไกลจากที่นั่น "ฟอสตุลุส" ชายเลี้ยงแกะผู้ใจดี กำลังเดินตามแกะของเขาไปในป่า
ทันใดนั้น ฟอสตุลุสได้ยินเสียงหัวเราะ พร้อมทั้งมีการเคลื่อนไหวของพุ่งไม้ เขาระแวดระวังในทันที คิดว่าเป็นสัตว์ป่า หรือโจรป่าที่มาลอบทำร้ายฝูงแกะของเขา แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับทำให้เขาประหลาดใจ
เด็กชายสองคนที่เต็มไปด้วยดินและรอยขีดข่วน กำลังนั่งเล่นอยู่กับลูกหมาป่า พวกเขาดูมีความสุขราวกับอยู่ในโลกของตัวเอง ฟอสตุลุสก้มลงมองพวกเขา และรู้สึกสงสารที่เห็นเด็กทั้งสองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ากับธรรมชาติ
"เจ้าทั้งสองมาจากไหนกันรึ" ฟอสตุลุสถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เด็กน้อยไม่ตอบ แต่พวกเขาหันมายิ้มให้เขา โรมูลัสยกมือขึ้นแตะชายเสื้อของฟอสตุลุสอย่างไว้ใจ ขณะที่เรมัสชี้ไปยังท้องฟ้า และหัวเราะ
ฟอสตุลุสเข้าใจในทันทีว่าเด็กทั้งสองไม่เข้าใจในภาษา และรู้สึกว่าเด็กสองคนนี้ไม่ควรอยู่ในป่าเช่นนี้ต่อไป เขาตัดสินใจพาพวกเขาทั้งสองกลับไปยังบ้านของเขา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ทุ่งหญ้าสีเขียวที่มีฝูงแกะเล็มหญ้าอยู่โดยรอบ
.
ขณะกำลังจะเข้าอุ้มตัวเด็กทั้งสอง ทันใดนั้นร่างสูงตะหง่านของแม่หมาป่า พลันกระโจมเข้ามาขัดขว้างอยู่ตรงหน้าของฟอสตุลุส พร้อมเสียงคำรามดังสนั่น
ฟอสตุลุตกใจเป็นอย่างมาก ล้มลงไปตรงหน้าของแม่หมาป่า ในสถานการณ์ที่กำลังทำอะไรไม่ถูกนี้ ฟอสตุลุก็ตั้งสติขึ้นมาได้ พร้อมทั้งมองดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างละเอียด จึงเข้าใจว่า แม่หมาป่านั้นเพียงปกป้องเด็กน้อยทั้งสองคนเท่านั้น
ฟอสตุลุสมองแม่หมาป่าด้วยความเคารพ เขาเห็นความผูกพันระหว่างสัตว์ป่ากับเด็กสองคน และเข้าใจในทันทีว่า แม่หมาป่านี้เป็นผู้ช่วยชีวิตและเลี้ยงดูพวกเขามา แต่ฟอสตุลุสตัดสินใจแล้วว่าเด็กทั้งสองควรจะมีชีวิตในหมู่มนุษย์ เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์
.
แม่หมาป่าเดินเข้าไปใกล้ฟอสตุลุสอย่างช้าๆ เธอหยุดแสดงท่าทีดุร้ายอีก แต่สายตาของเธอกลับสื่อถึงความรู้สึกมากมาย เสียงลมพัดเบาๆ ผ่านป่า ราวกับธรรมชาติกำลังรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง
ฟอสตุลุ จึงพูดขึ้นมาว่า ต้องการพาเด็กน้อยทั้งสองไปยังสถานที่ที่มีมนุษย์อยู่ และจะเลี้ยงให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ พูดพร้อมทั้งทำท่าทางชี้มือไปยังเด็กทั้งสอง และชี้มาที่ตัวเอง
แม่หมาป่าเข้าใจในทันที พร้อมหันไปเลียหน้าเด็กชายทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย โรมูลัส และเรมัส กอดคอเธอแน่น พวกเขาหัวเราะ และส่งเสียงเรียกเธอในแบบที่เคยทำ แม่หมาป่ารู้สึกถึงความผูกพันที่ยากจะตัดขาด แต่เธอก็รู้ดีว่า ถึงเวลาแล้วที่เด็กสองคนต้องเดินทางไปในโลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิม
ฟอสตุลุสย่อตัวลงตรงหน้าแม่หมาป่า เขาไม่ได้พูดอะไร แต่แสดงท่าทีเคารพเธอราวกับขอบคุณสำหรับการดูแลเด็กทั้งสอง แม่หมาป่าเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถอยหลังไปช้าๆ เธอหันกลับไปยังป่าที่เธอเรียกว่าบ้าน เสียงฝีเท้าของเธอค่อยๆ หายไปในหมู่ไม้ แต่ในหัวใจของเธอ เธอรู้ว่าเด็กสองคนจะปลอดภัยในมือของฟอสตุลุส
แม้แม่หมาป่าจะลาจากไป เธอยังคงแอบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล เฝ้าดูเด็กชายทั้งสองเดินตามฟอสตุลุสไปยังหมู่บ้าน เธอมองพวกเขาจนกระทั่งหายลับไปในสายตา
.
เมื่อมาถึงบ้าน ลาริเซีย ภรรยาของเขารีบออกมาต้อนรับ และเมื่อเธอเห็นเด็กสองคน เธอก็อ้าแขนรับพวกเขาทันที "พวกเขาคงจะเป็นพรจากเทพเจ้า" เธอพูดพร้อมรอยยิ้ม
ฟอสตุลุสและลาริเซียเลี้ยงดูเด็กสองคนราวกับเป็นลูกของตัวเอง พวกเขาสอนให้โรมูลัส และเรมัสรู้จักการพูด การเดินทางไกล และการดูแลแกะ เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นในทุกสิ่งที่ทำ โรมูลัสมักจะเป็นผู้นำในการเล่นเกมหรือวางแผนต่างๆ ส่วนเรมัสเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ และใจดี เด็กทั้งสองมีความกล้าหาญ และฉลาดหลักแหลม จนชาวบ้านในละแวกนั้นต่างชื่นชม
พวกเขาทั้งสองได้เติบโตขึ้นจนเป็นหนุ่ม ด้วยในใจลึกๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองยังมีบางสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จอยู่ จึงตัดสินใจเดินทางกลับไปยังแม่น้ำไทเบอร์ เพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพวกเขา ฟอสตุลุสและลาริเซียส่งพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ แม้จะเศร้าที่ต้องลาจาก แต่พวกเขาเชื่อว่าเด็กทั้งสองที่เคยได้รับการช่วยเหลือในป่า จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวันหนึ่ง และการพบเจอในวันนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชะตากรรมอันยิ่งใหญ่ของโรมูลัส และเรมัส
...
EP 1
ต่อ EP 2 ในโพสหน้านะครับผม
...
อาหารอินเดีย หลายคนอาจจะมีภาพติดตาในเรื่องของความไม่สะอาด ไม่ถูกหลัดโภชนาการ และออกไปทางมันๆ จริงแล้วมีอาหารอินเดียมากมายที่อร่อย และมีประโยชน์ และอาหารที่ทำจากนมแสนอร่อย และมีคุณค่า ทั้งน่ากินน่าอร่อยของประเทศอินเดีย ที่อยากให้มาดูเมนูกัน
1. Kheer
2. Ras malai
3. Paneer
พะเนียร์หนึ่งในอาหารยอดนิยมของคนอินเดียเกือบทุกคน
4. Gazar Halwa
เป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอินเดีย
5. Dahi Bhalla
หนึ่งในอาหารอินเดียที่อุดมด้วยสารอาหารเนื่องจากมีนมเปรี้ยว และถั่วเป็นส่วนผสมหลัก
6. Khandvi
ขนมปังเบซันที่ปรุงสุก มีบัตเตอร์มิลค์ เบซัน เกลือ จะโรยด้วยมะพร้าวหรือผักชีด้วยก็ได้
.
หวังว่าจะไม่ทำให้เพื่อนๆ หิวเมื่อได้เห็นนะครับผม
ปล. แต่ว่า..ผู้เขียนหิวครับผม
ปล. อย่าลืม EP2 ในโพสหน้ากันนะครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates .org
: crazymasalafood
: tasteatlas
: britannica
: worldhistory .org
: historycooperative .org
: wikipedia .org
.
นามปากกา: YiiYee
LookAt