ชวนอ่านนิยายวาย Heartbeat: A Retelling of Beauty and the Beast ค่ะ

สวัสดีค่ะ วันนี้มาขอเปิดกระทู้แนะนำ  ชวนให้อ่าน  และขายของไปด้วยในตัว

เป็นนิยายสายวาย แนวแฟนตาซีนิดๆ อิงๆจากเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดี

ในชื่อเรื่องว่า Heartbeat: A Retelling of Beauty and the Beast ค่ะ

ไปพบกับตอนแรกกันเลยจ้า...

----------------------------------

~ 1 ~


ณ ใจกลางป่ากว้างที่ไม่น่ามีสิ่งมีชีวิตใดออกมาเตร็ดเตร่นอกจากสัตว์กินเนื้อชนิดที่ออกล่าเหยื่อตอนกลางคืน กลับปรากฏร่างๆ หนึ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่เพียงลำพัง

เมื่อมองดูให้ดี นั่นคือชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมใหญ่ในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์ราคาแพงแต่เสียดายที่ตอนนี้ทั้งซอมซ่อ และมีรอยฉีกขาดอันเกิดจากการเดินทางสมบุกสมบัน สภาพของเสื้อผ้าก็ไม่ต่างจากผู้สวมใส่ หากใครที่เคยได้พบหรือเพียงได้ยินชื่อเสียงของ คุณมอร์ริส เจ้าของเรือเดินทะเลนับสิบลำที่เวียนเข้าออกเพื่อขนถ่ายสินค้าเป็นประจำที่ท่าเรือหลักของเมืองก็คงไม่อยากเชื่อสายตา พ่อค้าใหญ่ผู้มั่งคั่งยามนี้เป็นแค่ชายตกอับที่ไม่มีแม้แต่ม้าสักตัวจะโดยสาร ในกระเป๋าที่เคยตุงด้วยเหรียญทองและตั๋วแลกเงินกลับเต็มไปด้วยใบแจ้งหนี้ และจดหมายด่าทอของบรรดาคู่ค้าที่ถูกเบี้ยวเงิน

เขาไม่มีเงินสักแดง ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เย็นวาน และหากยังหาทางออกจากป่าไม่ได้ เขาก็คงไม่มีชีวิตกลับไปเจอหน้าลูกๆเป็นแน่
มือหยาบกุมสาบเสื้อให้กระชับตัวเพื่อกันลมหนาว ดวงตาพร่ามัวพยายามมองฝ่าละอองหิมะในขณะที่สองเท้าก้าวต่อไปแม้จะรู้สึกสิ้นหวัง เขาภาวนาต่อพระเจ้า อ้อนวอนขอเพียงให้ได้กลับถึงบ้าน เขาแค่อยากกลับไปเจอลูกๆเป็นครั้งสุดท้าย หากจะตายก็ขอให้ได้หมดลมลงบนเตียงนอนของตัวเอง รายล้อมด้วยคนในครอบครัว ไม่ใช่กลางป่ากว้างแล้วกลายเป็นอาหารให้สัตว์ป่ารุมทึ้ง

“ขอได้โปรด...” คำขอดังแผ่วติดริมฝีปากแห้งผาก น่าผิดหวังที่กลายเป็นแค่ ไอขาวแล้วสลายไป อาจส่งไม่ถึงพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์

“โปรดประทานพร... ขอร้อง... สักครั้ง... แค่ครั้งเดียว...”

ร่างนั้นพลันหยุดชะงักราวถูกสาปให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ดวงตาอ่อนล้า เบิกโพลง สองมือทำท่าไขว่คว้าขณะที่สองขาขยับเร็วขึ้น พละกำลังที่เหลือน้อยนิดทำให้เขาหกล้มอยู่หลายครั้ง แต่ยิ่งเข้าใกล้สิ่งที่กำลังมองเห็น ความปีติก็เติมเรี่ยวแรงให้กลับฟื้น ไม่เหลือเค้าความเหนื่อยล้าอย่างเมื่อครู่อีกเลย

“ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า ขอบคุณ...”

เขาพร่ำพรรณนาให้กับภาพตรงหน้าที่อาจเป็นทางรอดเดียว จนเมื่อเข้าใกล้ความเป็นจริงแค่เอื้อมมือสัมผัส เขาก็พบว่ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ บรรยากาศโดยรอบมืดสนิทจนมองไม่เห็นรายละเอียดใดๆ แต่เพียงแสงไฟริบหรี่ที่ลอดออกมาจากหน้าต่างบานหนึ่งก็เพียงพอจะชุบหัวใจให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

“มีใครอยู่บ้างมั้ย” เขาพยายามตะโกนแม้จะไม่ดังอย่างที่ต้องการ “ข้าหลงทางมา ได้โปรดขอให้ข้าได้พักที่นี่สักคืน”

เขาพยายามเคาะจนกลายเป็นออกแรงทุบที่ประตู มีเพียงความเงียบและเสียงลมหวีดหวิวตอบกลับมา ยิ่งทำให้เขาสะท้านด้วยกลัวว่าความหวังเดียวจะเปล่าประโยชน์

“ใครก็ได้ โปรดมีเมตตา ข้าแค่ขอที่ซุกหัวนอน เศษอาหารสักมื้อ แค่เท่านี้จริงๆ ขอร้องเถอะ”

เขาทรุดตัวคุกเข่าอยู่หน้าประตู พร่ำวอนซ้ำไปซ้ำมาจนลำคอแห้งผากเป็นผง สายลมปนละอองหิมะปลิวฟุ้งยิ่งทำให้รู้สึกยะเยือกจนชาไปทั้งตัว ความหวังที่กำลังจะดับลงพร้อมลมหายใจสุดท้ายพลันสว่างขึ้นเมื่อมีสัญญาณความเคลื่อนไหวจากภายใน ประตูเปิดออกช้าๆพร้อมกับเสียงบานพับดังลั่น แต่สำหรับคนที่รอคอยนั้นประหนึ่งเสียงจากประตูแห่งสวรรค์

เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไป แสงเทียนก็เหมือนถูกจุดขึ้นด้วยมือที่มองไม่เห็น จากหนึ่งเป็นสองและสามสี่เรียงรายเป็นทางให้เดินตามจนมาถึงห้องๆหนึ่ง ที่กลางห้องปรากฏโต๊ะตัวยาวแต่มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว เขารีบนั่งลงอย่างจดจ่อกับสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้า

“เอ่อ... ถ้าข้าจะขอ...” เหมือนพูดกับตัวเองเพราะรอบด้านคือความมืดสนิท เทียนสว่างอยู่แค่เล่มเดียวและเพียงพอให้เห็นแค่อาหารค่ำอย่างง่ายๆ ขนมปัง ซุปร้อนๆ และเนื้อเสต็ก แต่แค่นั้นก็ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายอยู่ตลอด

“ถ้าอย่างนั้นก็... ขอบคุณนะครับ” เขาถือความเงียบเป็นคำตอบและเริ่มลงมืออย่างหิวโหย ชั่วพริบตาทุกอย่างก็หายเข้าไปอยู่ในท้อง ไม่เว้นแม้แต่เศษขนมปังป่นๆยังถูกหยิบเข้าปากอย่างระวัง ทั้งที่ในยามปกติมักจะถูกปัดลงพื้นแล้วกวาดทิ้งเป็นขยะ

เมื่อไวน์ทั้งเหยือกล่วงเข้าริมฝีปากหมดจนหยดสุดท้าย แสงเทียนก็สว่างขึ้นอีกครั้ง เขาลุกเดินตามอย่างว่าง่าย แม้ปลายทางจะยังเป็นห้องมืดเหมือนเดิม
แต่เตียงหลังเล็กๆที่ตั้งอยู่ทำให้เขาไม่รอช้าที่จะล้มตัวลงนอน โดยไม่ลืมเอ่ยคำขอบคุณให้ทันก่อนที่ดวงตาจะปิดลงและหลับสนิท

มอร์ริสรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตย์ฉายแสงจ้าจนไม่อาจนอนต่ออย่างสงบ บรรยากาศรอบตัวทำให้เขายิ่งตื่นตาตื่นใจ ห้องมืดที่มองไม่เห็นอะไรเมื่อคืนแท้จริงแล้วงดงามราวกับความฝัน แม้เตียงที่เขานอนจะดูธรรมดาแต่ก็เป็นเตียงไม้หอมชั้นดีที่สงวนไว้เฉพาะราชวงศ์หรือชนชั้นสูง เมื่อประกอบกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องตกแต่งชิ้นอื่นๆที่ดูงดงาม มีราคาก็ยิ่งทำให้ห้องนี้หรูหราเกินกว่าจะเป็นที่พักแรมของชายหลงทางคนหนึ่ง

เขาลุกลงจากเตียงไล่ดูสิ่งของมีค่ามากมาย นึกเปรียบอย่างอดสูว่าครั้งหนึ่งก็เคยได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าไม่ต่างจากของพวกนี้ แต่เพราะการคิดคำนวณที่ผิดพลาด คาดหวังกำไรมหาศาลจนประมาทและถูกหักหลัง ซ้ำร้ายมรสุมหลงฤดูก็กลืนกินเรือสินค้าของเขาไปจนเกลี้ยง เขากับลูกๆต้องรีบเก็บข้าวของที่พอหยิบฉวยย้ายออกไปอยู่นอกเมือง อาศัยปลูกผัก ทำไร่พอเลี้ยงตัวไปวันๆ

วันหนึ่งได้รับข่าวดีว่าพบเรือที่หายไป เขาก็รีบเข้าเมืองด้วยความหวังว่าครอบครัวจะได้ลืมตาอ้าปาก แต่กลายเป็นว่าถึงขายไม้กระดานเรือแผ่นสุดท้ายยังไม่พอใช้หนี้ โชคดีเหลือเกินแล้วที่บรรดาเจ้าหนี้ยังมีมนุษยธรรม ไม่ถึงกับจะให้เขาชดใช้ด้วยชีวิต นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องซมซานกลับบ้าน โชคร้ายซ้ำหลงทางกลางป่า แถมเจอพายุเกือบตายจนได้มาพบที่แห่งนี้เข้า

เสียงดนตรีดังแว่วเรียกสติกลับมาจากคืนวันอันโหดร้าย เมื่อคืนเขาเดินไปตามแสงเทียน มาตอนนี้จึงเรียนรู้ที่จะก้าวตามเสียงเพลง รายทางที่เดินผ่านยิ่งเรียกความตื่นตาตื่นใจให้อ้าปากค้างอยู่ตลอด เครื่องตกแต่งทุกชิ้นบ่งบอกรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ และมูลค่าก็บ่งบอกฐานะชนิดที่ตัวเขาในอดีตเทียบไม่ติด หากได้ออกไปด้านนอกและเห็นทั่วทั้งบริเวณ เขาเชื่อว่าที่นี่จะต้องเป็นคฤหาสน์ที่งดงาม ตระการตาหลังหนึ่ง ไม่อยากเชื่อว่าจะมีสถานที่เช่นนี้อยู่กลางป่ากลางเขา

เสียงเพลงเงียบลงเมื่อเขากลับมายังที่เดิมซึ่งได้มีของกินตกถึงท้อง ห้องนี้ไม่เพียงกว้างขวางแต่ยังเป็นโถงสูง กลางเพดานคือช่อโคมไฟระย้า ผนังแบ่งเป็นช่องกรุกระจกใสโดยรอบทำให้ดูโปร่งตา เสียแต่ว่าม่านหนาถูกปล่อยลงเกือบหมดทำให้พื้นที่ส่วนหนึ่งตกอยู่ในความมืดไปโดยปริยาย

“เชิญ”

เสียงห้าวดังก้องมาจากหัวโต๊ะด้านหนึ่ง เจ้าของเสียงเหมือนซ่อนอยู่ในเงามืดทำให้ไม่เห็นหน้าค่าตา แต่เค้าร่างน่าจะเป็นชายตัวสูงใหญ่ แนวบ่ากว้าง ช่วงไหล่และแผงอกหนากว่าคนทั่วไป

มอร์ริสมองรอบตัวและเห็นที่นั่งเดิมของตนมีอาหารจัดวางพร้อมจึงเดินไปนั่งลงอย่างมีมารยาท อาหารเช้าอย่างง่ายๆแต่ดูน่ากินจนเขาไม่อาจรอช้า เมื่อไม่มีสัญญาณขัดขวางใดๆจึงลงมือกินอย่างหิวโหย ไม่ช้าก็หมดลงไม่เว้นแม้แต่เศษขนมปังเช่นเดิม

“เอ่อ... ขอบคุณมากสำหรับที่พักและอาหาร”

เขาพยายามเพ่งมองหัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามแล้วตะโกนบอก แม้จะดูเสียมารยาทก็ดีกว่าพูดปกติแล้วอาจจะไม่ได้ยินเพราะระยะที่ห่างกันเหลือเกิน

“ถ้าท่านต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน...”

“แล้วเจ้าจะให้สิ่งใดตอบแทนได้บ้างล่ะ” เสียงห้าวสวนตอบจนคนถามเผลอสะดุ้ง ขนาดแก้วน้ำที่วางอยู่ยังเกิดอาการสั่นไหว

“เอ่อ... คือจริงๆข้าก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนท่านได้หรอก”

เขาตอบทั้งที่ก้มหน้า ความทดท้อกับโชคชะตาพาลให้ไม่อยากพูดอะไรต่อ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงควักกระเป๋า หยิบเหรียญทองโยนลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปอย่างผ่าเผย แต่ตอนนี้กลับจนตรอกจนต้องซานเข้ามาขออาหารประทังชีวิตไม่ต่างจากหมาข้างถนนตัวหนึ่ง

“เรื่องของเจ้า เล่ามา ข้าอยากฟัง”

เพียงเท่านั้นก็เหมือนประกายไฟจุดติดเศษฟางแล้วลามไหม้ไปทั้งทุ่งหญ้า เรื่องราวความเป็นมาของตัวเอง ชีวิตครอบครัวที่ต้องสูญเสียภรรยา เหลือเพียงพ่อและลูกๆสี่คน การต่อสู้บากบั่น เริ่มทำงานตั้งแต่เป็นลูกจ้างท่าเรือตัวเล็กๆจนกระทั่งมีเรือสินค้าในครอบครอง การค้าขายที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งแต่ก็จบลงแบบสิ้นเนื้อประดาตัว การเดินทางจากบ้านพร้อมความหวังสุดท้าย แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้งจนเกือบจะต้องจบชีวิตลงกลางป่า

มอร์ริสบอกเล่าทุกอย่างโดยไม่ลังเลราวกับว่าที่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะตัวยาวคือหลุมดำซึ่งจะช่วยดูดกินความโชคร้ายของเขาให้หมดไป เมื่อประโยคสุดท้ายจบลง เขาก็โล่งอก หัวใจที่เคยหนักอึ้งเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“ม้าเตรียมไว้พร้อมแล้วครับนายท่าน”

มอร์ริสสะดุ้ง ความวังเวงในค่ำคืนที่ผ่านมาชวนให้คิดว่าที่นี่ไม่น่าจะมีใครอาศัยอยู่ คนที่อีกฝั่งโต๊ะนั่นก็แปลกเกินคน จนทำให้รายที่เพิ่งโผล่มาดูธรรมดาจนน่าตกใจ

“เชิญครับคุณมอร์ริส” ร่างสูงในชุดพ่อบ้านกล่าวซ้ำ

คนถูกเรียกลนลาน ถึงจะลุกจากเก้าอี้แต่ยังไม่กล้าขยับตัวไปทางไหน

“นายท่านสั่งให้เตรียมม้าไว้ให้คุณแล้ว เจ้าสโนว์เชื่องและถูกฝึกมาอย่างดี รับรองว่าคุณจะเดินทางกลับถึงบ้านได้แน่นอน ส่วนเรื่องอาหารและที่พักนั้นอย่าถือเป็นกังวล เพราะนายท่านต้องการให้คุณได้กลับไปหาครอบครัวอย่างปลอดภัยโดยมีน้ำใจของท่านติดตัวไปเท่านั้นก็พอ”

“ขอบคุณมากครับ ข้าสัญญาว่าจะไม่เอาสิ่งใดติดตัวไปอย่างที่นายท่านต้องการ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความกรุณาและขอลา”

เขาเข้าใจว่านั่นคือการเชิญตัวกลับ และคำขู่ไม่ให้ทำตัวเป็นพวกมือไวใจเร็วอย่างสุภาพ จึงรีบเอ่ยลาและเดินตามออกมาที่ประตู ผู้นำทางหายตัวไปโดย
ไม่ทันให้สังเกต เรียกว่าพริบตาเดียวก็เหลือเพียงเขากับม้าตัวโตสีขาวปลอดราวหิมะ

“เจ้าคงชื่อสโนว์สินะ”

เขาถูมือให้อุ่นแล้วค่อยๆลูบไปบนสันจมูก และหัวของม้าแสนเชื่องเพื่อสร้างความคุ้นเคย มันส่งเสียงร้องตอบแล้วยืนรอให้เขาเหยียบโกลน เหวี่ยงตัวขึ้นหลังอย่างง่ายดาย

สโนว์ค่อยๆเหยาะย่างและคงจะคุ้นทางเหมือนอย่างที่เจ้าของเอ่ยอ้าง เขาจึงวางใจ และใช้เวลาช่วงสุดท้ายสำรวจคฤหาสน์รูปทรงโบราณที่อาจดูทรุดโทรมตามกาลเวลาแต่ยังคงความสง่างาม น่าเกรงขาม บริเวณโดยรอบคงจะเป็นสวนที่จัดตกแต่งอย่างดีแต่เสียดายที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาจนขาวโพลนไปหมด

“เดี๋ยวๆ หยุดประเดี๋ยวนะเจ้าเพื่อนยาก”

เขารีบดึงรั้งสายบังเหียนแล้วเบนทิศไปยังจุดที่หมายตา ตรงกลางลานโล่งมีพุ่มไม้ใหญ่โดดเด่น แม้กิ่งก้านจะแห้งกรังไม่มีสีเขียวแซมสักจุด แต่กลับปรากฏดอกไม้สีแดงที่ยิ่งโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางสีขาวของหิมะ

“ทำไมอากาศอย่างนี้ถึงยังเหลือกุหลาบให้เห็นอีกนะ”

เขารำพึงกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ พลันคิดถึงเมื่อตอนออกจากบ้าน ลูกๆต่างรบเร้าขอของฝากมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว เครื่องสำอาง และหนึ่งในนั้นก็คือกุหลาบนี่ล่ะ

‘นะคะพ่อ แค่กุหลาบสักช่อ หรือดอกเดียวก็ได้ ลูกคิดถึงบ้านเก่าของเรา คิดถึงสวนดอกไม้ของแม่ ที่นั่นดอกไม้จะออกดอกงดงามทั้งปี แต่ที่นี่มองไปมีแต่ทุ่งหญ้าแห้งแล้ง ลูกเลยอยากได้กุหลาบมาทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นสักหน่อย’

ตอนนั้นเขารู้สึกขำความคิดแปลกๆของ เบลล่า ลูกสาวคนเล็กอยู่ไม่น้อย ถึงกับตกปากรับคำว่าจะขนกลับไปให้สักคันรถหนึ่ง แต่ตอนนี้คงเหลือแค่กุหลาบสักดอกอย่างที่เธอต้องการ แต่ทันทีที่เขาหักก้านริดกุหลาบดอกหนึ่งออกจากต้น เสียงคำรามอย่างสัตว์ป่าก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เจ้าสโนว์หวีดร้อง ยกขาตะกุยตะกาย ตัวเขาที่ไม่ทันระวังตกลงมานอนกองที่พื้น สัญชาติญาณบอกว่าถึงหนีก็คงไม่รอดจึงได้แต่หมอบคู้ ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

“เจ้าผิดคำพูด!”

(ต่อด้านล่างนะคะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่