มัทนะพาธา เรื่องเล่าของดอกกุหลาบ เรื่องสั้น ดัดแปลงจากวรรณคดี (ใช้ในงานวิชาภาษาไทย/ขอคำแนะนำด้วยครับ)

เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ดัดแปลงมาจากวรรณคดีในพระราชนิพนธ์เรื่อง มัทนะพาธา ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
หากกระผมได้ทำการประการใดที่ผิด ไม่สมควร อันเกิดเพราะเรื่องสั้นที่กระผมแต่งขึ้นดังกล่าว ก็เนื่องด้วยกระผมไม่รู้ความ กระผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
-------------------------------------------------------


ขอบคุณภาพประกอบจากเพื่อนผู้รักการวาดรูปคนหนึ่ง

เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ดัดแปลงมา มีบางจุดที่ตรงกับวรรณคดีและบางจุดที่ไม่ตรงกับวรรณคดีนะครับ และเนื่องด้วยผมไม่ค่อยมีความชำนาญในด้านนี้เท่าที่ควร จึงอยากได้คำพิจารณา แนะนำ ติชม จากชาวพันทิปด้วยครับ ((ช่วยด้วยนะครับ คอมเม้นต์สักนิดหนึ่งก็ได้ผมขออ) (ถ้าอาจารย์ GTW ผ่านมาเห็นก็ขอรบกวนอีกครั้งด้วยนะครับอมยิ้ม36) (เรื่องสั้นเรื่องนี้เขียน เว้นวรรค และเว้นช่องไฟล์ในเวิร์ด เมื่อนำมาลงในพันทิป อาจทำให้การจัดหน้าแปลกๆไปบ้าง ก็ขออภัยด้วยครับ))

ขอบคุณมากๆนะครับอมยิ้ม17อมยิ้ม17
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------








เขาว่ากันว่าความรัก ก็เหมือนดอกกุหลาบ ดอกไม้ที่ งดงาม  น่าหลงใหล  แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีหนามที่แหลมคม เอาไว้คอยทิ่มแทง  ผู้ที่คิดจะจับมัน โดยไม่ระวังตัวอยู่เช่นกัน

    ค่ำคืนกลางป่าลึก ในคืนที่เงียบสงบ บนพื้นดินร่วนอันอุดมสมบูรณ์ของป่าโปร่ง ก็มีสิ่งที่น่าแปลกใจอยู่
มีดอกไม้สีแดงดอกน้อยๆดอกหนึ่ง มันขึ้นอย่างโดดเดี่ยว ไม่เข้าพวกกับพืชพรรณน้อยใหญ่ต้นใดๆในป่า ดอกไม้ดอกน้อยๆ
ที่สวยงาม แต่ก้านของมันกลับเต็มไปด้วยหนามแหลมคม

กุหลาบ

    แต่สิ่งน่าแปลกยิ่งกว่านั้น คือดอกกุหลาบดอกน้อย ไม่ได้เป็นเพียงดอกไม้ที่ขึ้นผิดที่ผิดทางธรรมดา

และดอกกุหลาบดอกนั้น ในตอนนี้ มันก็กำลังเปล่งแสงนวล แล้วค่อยๆจ้าขึ้นช้าๆอย่างน่าอัศจรรย์

นานมาแล้ว ไกลแสนไกลออกไป ในสมัยอดีตกาล
มีดอกกุหลาบมหัศจรรย์ดอกหนึ่ง ซึ่งในทุกๆวันเพ็ญ ดอกกุหลาบดอกนี้จะกลายเป็นมนุษย์  เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม


นี่เป็นตำนานของหญิงสาว และ ดอกไม้


-มัทนะพาธา-
เรื่องเล่าของดอกกุหลาบ




    แสงจากดวงจันทร์ส่องสว่างลงมายังวัดโบราณกลางป่า ที่นี่เป็นวัดเล็กๆ ซึ่งเมื่อตอนยังมีหมู่บ้านอยู่บริเวณนี้
ที่นี่ก็เคยเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่มีผู้คนไปมาอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้ที่นี่เป็นวัดร้าง เหลือเพียงโบสถ์และเจดีย์เก่าๆกับ
ศาลาเล็กๆอีกสองศาลาเท่านั้น

และที่นี่ก็มักจะมีคนมาแวะพักอยู่บ่อยๆมีทั้งนักเดินป่า นายพราน หรือแม้กระทั่งคนหลงทาง ซึ่งในวันนี้ก็มีชาย
สองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ คนหนึ่งเป็นคนหลงทาง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือคนที่ช่วยคนหลงทางคนนั้น

“มีวันนึงที่ข้าเข้าป่าไปแล้วบังเอิญไปเจอหญิงสาวคนหนึ่งเข้า เธอสวยมาก เธอสวยจนข้าตกหลุมรักเลยล่ะ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่า

ชายคนนี้เป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วน รูปร่างไม่เหมือนนักเดินป่า หรือ นายพราน อีกทั้งยังมีใบหน้า และ  ผิวพรรณดี
จัดว่าเป็นคนหล่อคนหนึ่ง แต่ก็เหมือนพวกคุณชายในวังมากกว่าที่จะออกมาเดินป่า และกลายมาเป็นคนหลงทางแบบ
ในตอนนี้

“แต่ไม่รู้ทำไม หาเธอเท่าไหร่ข้าก็หาไม่เจอสักที ข้าก็เลยไปปรึกษาโหร โหรท่านก็บอกข้าว่า”

“มีดอกกุหลาบมหัสจรรย์ดอกหนึ่ง ซึ่งในทุกๆวันเพ็ญ ดอกกุหลาบดอกนี้จะกลายเป็นมนุษย์  เป็นหญิงสาวที่มีรูป
โฉมงดงาม”

    ชายหนุ่มอีกคนนั่งฟังนิ่งๆ อยู่ในเงาของแสงจันทร์ มีตะเกียงเจ้าพะยุที่ดับแล้ววางอยู่ข้างๆ เหนือริมฝีปากมี
หนวดครึ้ม และคาดผ้าโพกหัวอย่างลวกๆ  ซึ่งหากสังเกตดูดีๆก็จะพบความผิดปกติบางอย่างในตัวของชายหนุ่มคนนี้
บางอย่างที่คนเป็นพระเอกมักจะไม่รู้

“แต่ไม่ว่าข้าจะหายังไง ข้าก็หาดอกกุหลาบดอกนั้นไม่เจอสักที วันเพ็ญก็มะรืนนี้แล้วแท้ๆ ข้าต้องรีบหาให้เจอก่อน
จะถึงวันนั้น” หนุ่มหลงทางพูดต่อ
“ลำบากแย่เลยเนอะ” หนุ่มผู้นำทางพูด

“ลำบากสิ ลำบากมากๆเลยด้วย เฮ้อ..” หนุ่มหลงทางถอนหายใจอย่างอ่อนล้า
แล้วเขาก็ลุกยืนขึ้น คงเป็นเพราะลมหนาวของยามค่ำคืน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา

“ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ขอบคุณที่นำทางมาวัดให้ ไม่งั้นข้าคงหลงป่าตาย”

“ ไม่เป็นไรๆ” เขาตอบคำ

“แต่ว่าเจ้าลองนับวันดูให้ดีๆสิ บางทีเจ้าอาจจะนับผิดก็ได้นะ” หนุ่มนำทางแนะนำ

“อ่า.. งั้นหรอ” เขาหันกลับมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากศาลานัก ซึ่งมันก็เป็น
ห้องน้ำเก่าๆที่สภาพไม่น่าจะใช้งานได้อย่างปลอดภัยสักเท่าไหร่  เขาจึงเดินเลี่ยงมาปล่อยเบาบริเวณด้านหลัง
ของห้องน้ำ

“นับวัน เอ ..” ชายหนุ่มพึมพำ
‘ บางทีอาจจะเป็นเพราะช่วงเดินงมทางในตอนแรกๆ  ตอนที่เราหลงรึเปล่า..’ ชายหนุ่มคิด พลางเงยหน้ามอง
พระจันทร์บนท้องฟ้า
‘แต่ว่าผู้ชายคนนั้นก็หน้าคุ้นๆเหมือนกันนะ’

“ อืม..” ชายหนุ่มคิดทบทวน การเดินทางของเขาออกจะสับสนอยู่พอสมควร แต่เมื่อคิดดูดีๆเขาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไร
บางอย่าง บางอย่างที่เขามองข้าม พลันชายหนุ่มก็เงยหน้ามองจันทร์ ดวงจันทร์เต็มดวงส่องสว่างจ้า ราวกับกำลัง
ตะโกนด่าหนุ่มหลงทางที่แสนเซ่อ



“ วันนี้มัน วันเพ็ญ นี่หว่า !!”



ชายหนุ่มผู้นำทาง เดินอยู่ในป่าห่างออกมาจากบริเวณวัดร้าง มือข้างซ้ายก็ค่อยๆดึงหนวดครึ้มๆที่ไม่ว่าจะดูยังไง
ก็ผิดธรรมชาติออกมาจากใบหน้าที่ขาวนวล มือข้างขวาก็ดึงผ้าโพกหัวออกมาเผยให้เห็นเรือนผมที่นุ่มสลวย

“ ซื่อบื้อเป็นบ้า ทำไมแค่ติดหนวดนี่ก็ไม่รู้เลยรึไงนะ แปลกจริงๆผู้ชายเนี่ย” หนุ่มนำทาง ซึ่งตัวจริงนั้นคือหญิงสาว
ปริศนาพูดขึ้น ด้วยความประหลาดใจปนสงสัย และนึกขำในความเซ่อของหนุ่มหลงทาง

    เธอเป็นหญิงสาวที่เรียกได้ว่าสวยคนหนึ่ง ผิวขาวนวลเนียนงดงาม เรือนผมตรงดำยาวเข้ากับใบหน้าราวกับ
ท้องฟ้ากับดวงดาว รูปร่างสัดส่วนพอเหมาะพอควร เข้าตำราอย่างที่ชายต้องตาต้องใจ

“ แต่ก็ช่างเถอะ”

“ยังไงก็ไม่ได้เจอกันอีกอยู่แล้ว”
หญิงสาวนั่งลงกอดเข่าพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใบหน้าของเธอแฝงไปด้วยความเหงาและความเศร้า
    
‘ต้องอยู่อย่าง มืดมิด โดดเดี่ยวไปอีกหนึ่งเดือน’
‘ วันเพ็ญ วันขึ้น 15 ค่ำ มันมีได้แค่เดือนละครั้งเท่านั้น’

    ‘เดี๋ยวก็คงลืมข้าแล้วล่ะ’

    หากป่าแห่งนี้เป็นป่าธรรมดาเธอคงไม่คิดแบบนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีข่าวลือมากมาย บ้างก็จริงบ้างก็เท็จ
เกี่ยวกับป่าแห่งนี้ เชื่อมโยงไปถึงเหตุที่หมู่บ้านในเขตป่าต้องร้างไป ผู้คนเริ่มหวาดกลัว นั่นทำให้ใครก็ตามที่เธอเคยพบใน
ป่าแห่งนี้ส่วนใหญ่ล้วนไม่เคยกลับมาอีก เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่และนานแค่ไหนเธอเองก็จำไม่ได้ เวลามันล่วงเลยมา
นานมากแล้ว ต้นเหตุนั้นไม่มีใครทราบ แต่บางทีมันก็อาจจะเป็นฤทธิ์ของคำสาปของเธอก็เป็นได้

คำสาป ซึ่งเธอได้ถูกสาปเมื่อนานมาแล้ว
    

    แล้วร่างกายของเธอก็เปล่งแสงนวล แล้วค่อยๆจ้าขึ้นช้าๆอย่างน่าอัศจรรย์

ก่อนจะเหลือเพียงกุหลาบสีแดงดอกน้อย ที่ขึ้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในป่าโปร่งที่สงบเงียบและอ้างว้าง


สุเทษณ์เทพบุตร อดีตชาตินั้นคือกษัตริย์แคว้นปัญจาล
นางมัทนา อดีตชาติเป็นราชธิดาในกษัตริย์แคว้นสุราษฎร์
ทั้งคู่ได้มาเกิดใหม่บนสวรรค์ สุเทษณ์เทพบุตรนั้นรักนางฟ้ามัทนาเป็นอย่างมาก
แต่ก็ไม่อาจจะสมใจรักได้ด้วยกรรมที่เคยทำมาแต่อดีต เมื่อครั้งยังเป็นกษัตริย์
ครั้งที่รักนางแล้วนางไม่รักตอบ ครั้งที่ความรักทำให้เกิดสงคราม ครั้งที่ความรักทำให้นางต้องเศร้าโศกา
เหตุนั้นจึงจำต้องใช้มนต์สะกดนางมัทนาให้เข้ามาหาตน…



    ในคืนวันเพ็ญ เวลาล่วงเลยมาแล้วราวเดือนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นกุหลาบแต่ก็รับรู้ได้จากความรู้สึก เธอรู้ว่าในวันนี้
เธอจะได้ลืมตาตื่นขึ้นมาจากความมืดอีกครั้ง แต่บางทีเธอก็กลัวเหมือนกันว่าหากลืมตาขึ้นมาแล้วจะพบกับความมืด
ความมืดที่มากเสียยิ่งกว่าตอนที่หลับตา

“!!”
“นี่เจ้า!” หญิงสาวพูดตื่นๆเมื่อลืมตาขึ้นมาพบกับภาพตรงหน้า
หนุ่มหลงทางนั่งรอคอยการปรากฏตัวของเธออยู่ก่อนแล้ว

“ ใช่จริงๆด้วยสำเร็จแล้ว เป็นเธอจริงๆด้วย เธอปลอมตัวจริงๆด้วย เธอนี่เนียนจริงๆ” ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า มือจับ
ไหล่หญิงสาวแล้วเขย่าไปมาอย่างตื่นเต้น

“ เนียนบ้าอะไรยะ ดูไม่ออกเลยรึไง แค่ใส่หนวดแค่นี้เนี่ย!? แล้วก็ช่วยหยุดเขย่าซะทีได้มั้ยยะ!!”

เธอไม่นึกว่าจะได้เจอเขาอีกครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานนี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกแต่เธอก็อดประหลาดใจ
ในความมุ่งมั่นของเขาไม่ได้

“ ฉันชื่อ ชัยเสน ยินดีที่ได้รู้จักสุดๆเลย” หนุ่มหลงทางแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มที่กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้
“ฉัน มัทนา ยินดีที่ได้รู้จัก นิดหน่อย..” หญิงสาวตอบคำ ยิ้มเล็กๆด้วยความรู้สึกสับสน

“ตอนแรกพอข้าหาเจ้า.. เอ่อ ดอกกุหลาบพบ ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่รึเปล่าแต่พอข้าหาดูรอบๆแล้วมันก็มีแค่ดอก
เดียวจริงๆ พอข้าแน่ใจข้าก็รีบขุดเจ้า หมายถึงดอกกุหลาบนะ ใส่กระถางแล้วพากลับเมือง แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็หาทางออก
ไม่ได้เดินวนไปวนมาอยู่ในป่าไม่รู้กี่รอบข้าคิดว่าคงเป็นคำสาป จนในที่สุดข้าเลยเอาเจ้า มาปลูกไว้ที่เดิม แล้วก็รออยู่ที่นี่”
ชายหนุ่มเล่าอย่างตื่นเต้น เขาดีใจมากที่ในที่สุดความพยามตลอดทั้งเดือนของเขาก็สำเร็จได้เสียที

    “อืม นั่นก็เป็นคำสาปเหมือนกัน” หญิงสาวตอบเบาๆ

“ อ่า.. เอ่อ..”
“ คือ ข้า..” ชัยเสนพูดกระอ่อมกระแอ้ม พร้อมๆกับความนึกคิดในหัวก็แล่นขึ้นมา

“มีวันนึงที่ข้าเข้าป่าไปแล้วบังเอิญไปเจอหญิงสาวคนหนึ่งเข้า เธอสวยมาก เธอสวยจนข้าตกหลุมรักเลยล่ะ”

ชายหนุ่มหน้าขึ้นสี แล้วรีบสะบัดหน้าไล่ความเขินอาย มัทนามองอย่างงๆ ‘ผู้ชายคนนี้นี่ประหลาดจริงๆ’
เมื่อสติกลับมาเขาก็พูดขึ้น

“ ข้าจะแก้คำสาปให้เจ้าเอง มัทนา บอกมาสิวิธีแก้คำสาปน่ะ”
ชัยเสนพูดด้วยความตั้งใจ มองไปที่ดวงตาของมัทนา เธอก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่มุ่งมั่นผ่านในแววตานั้น


“ บอกไม่ได้” เธอตอบเศร้าๆ


“ อะไรนะ??”
“ บอกไม่ได้ มันเป็นคำสาป บอกวิธีแก้ไม่ได้หรอก”
“ หา!?” ชายหนุ่มตกใจมากเพราะเขารอวันนี้มาตลอด และวางแผนไว้อย่างดิบดีแล้วว่าเมื่อวันเพ็ญมาถึงเขาจะแก้คำสาปให้เรียบร้อยไป ในเดือนแรกเขาก็พลาด พอมาเดือนนี้ไม่พลาดแต่ก็มีปัญหาใหญ่ตามมาอีก นี่กระมังที่เขาเรียกว่า หนีเสือปะจระเข้

“ แล้วจะทำยังไงล่ะ มีเวลาแค่วันเดียวเองนะ”  เขาพูด
“ ข้าบอกไม่ได้หรอก”
“ รู้แล้วว่าบอกไม่ได้น่ะ จะทำยังไงดีเนี่ย โธ่ เอ้ยย”
ชายหนุ่มครุ่นคิดหาวิถีทางที่จะแก้คำสาป  

“ ใช้สายสินพันรอบตัวแบบที่เขาไล่ผีกันแก้คำสาปได้รึเปล่า” ชายหนุ่มถาม
“  ก็ข้าบอกแล้วไงว่าบอกไม่ได้”
“นั่นก็แสดงว่าอาจจะได้หรือไม่ได้สินะ” ชายหนุ่มไม่ได้มั่นใจอะไรนัก แต่ตอนนี้ถ้ามีวิธีอะไรก็ต้องลองทำดู
แล้วเขาก็จูงมือหญิงสาวกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางวัดร้างที่เดิม เผื่อว่าในวัดจะมีอุปกรณ์อะไรที่พอจะใช้แก้คำสาปได้บ้าง


“นี่ๆเดี๋ยวสิ ชัยเสน”
ในวัดมีสายสินเก่าๆเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง สายสินถูกพันรอบตัวมัทนา ดูๆไปก็คล้ายกับสิ่งที่เรียกว่ามัมมี่ ที่ชัยเสน
เคยอ่านเจอในหนังสือบันทึกของต่างประเทศเมื่อตอนเด็กๆ

“เป็นไงบ้างคำสาปหายรึยัง” ปากถาม แต่มือก็ยังพันสายสินไม่หยุด
“ยังๆ หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดๆ!”


“งั้นลองวิธีพรมน้ำมนต์”
หลังจากวิธีพันสายสินไม่สำเร็จ ชัยเสนหยิบขวดน้ำมนต์ที่ได้มาจากวัดในเมือง เหยาะใส่ศีรษะมัทนาเบาๆ
“หายมั้ย”
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“น่าจะยังนะ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่