อนาวินแทบกุมขมับ เมื่อภาพของญาติสาวกับธีรเดชปรากฏหราอยู่ในหน้าจอโทรทัศน์จากหลายสำนักข่าว และด้วยความที่หญิงสาวนั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมชั้นสูงไม่น้อย เมื่อมีภาพหลุดออกมา ทำให้ชายหนุ่มผู้เหมือนเป็นปริศนาถูกขุดคุ้ยประวัติขึ้นมาตีแผ่ละเอียดยิบ จนกลายเป็นที่ฮือฮา เมื่อรู้ว่าเขาเป็นตำรวจ และยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของนายตำรวจใหญ่ผู้มีรายชื่อติดโผนายพลตำรวจ และยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับตระกูลนี้เป็นลำดับต้นๆ จึงเกิดคำถามมากมายในแวดวงโซเซียล ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา แม้แต่บุคคลในองค์กรตำรวจ ต่างก็ให้ความสนใจใคร่รู้ในเรื่องนี้เช่นกัน
ผู้กำกับทวีสินถึงกับมึนงง ตั้งรับกับคำถามของบรรดาเพื่อนตำรวจไม่ทัน และสิ่งที่เขาตอบได้ก็เพียงแค่ว่า
“เพิ่งรู้เรื่องนี้เหมือนกัน..คงต้องรอถามเจ้าตัว”
ในขณะที่ยังไม่สามารถติดต่อลูกได้เลย จนเริ่มหงุดหงิด จึงเรียกลูกน้องสองนายให้ตามเขาออกไปล่าเจ้าตัวต้นเรื่อง ซึ่งเขาจะต้องรู้เรื่องให้ได้ภายในวันนี้!
ธีรเดชเห็นข่าวของตัวเองจากโทรทัศน์เครื่องใหม่ที่ถูกนำมาเปลี่ยนแทนเครื่องเก่าที่เขาพังมันไป ความกังวลใจก่อตัวขึ้นมากมาย จึงขอให้เอ็มพาเขาไปหาอนาวินที่พักอยู่อีกฟากของอาคาร..ซึ่งเจ้าของห้องกำลังยืนมองความเวิ้งว้างของแผ่นฟ้าสีครามสดผ่านกระจกบานหนา และผินใบหน้าเพียงเพื่อเหลือบสายตามองผู้ที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนกลางห้อง
“ผมขอโทษ ที่ทำให้คุณต้องเจอเรื่องยุ่งยาก” เสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
อนาวินหันกลับมามองเต็มตา
“เรื่องนี้ผมสะเพร่าเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าที่นั่นเป็นโรงพยาบาล ยังไงก็ไม่สามารถควบคุมได้เต็มร้อยเหมือนพื้นที่ของตัวเอง ” และตอนนี้ เขาอยากจะถลกหนังไอ้คนปล่อยภาพนี้เป็นที่สุด!
แต่สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนก็คือ เขาจะเอาตัวรอดจากความโกรธเกรี้ยวของบิดาและผู้เป็นอาได้อย่างไร ลำพังแค่บิดาก็เต็มกลืนแล้ว ครั้งนี้ยังพ่วงศราเข้ามาอีกคน แม้จะรู้ดีว่า ผู้เป็นอานั้นจะไม่ต่อว่าในการกระทำที่ล้ำเส้น แต่เขามั่นใจว่า ความขุ่นเคืองนี้จะต้องระอุอยู่ภายในใจ และมันคงกลายเป็นปัญหาเรื้อรังเกาะกินใจอย่างไม่มีวันหายแน่นอน
แม้ว่าชนวนเหตุมันจะเริ่มต้นมาจากน้องสาว แต่ในเมื่อเขาเป็นพี่ชายและปล่อยให้เรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบ และเพียงแค่คำขอโทษมันคงไม่เพียงพอ เขาต้องหาคำแถลงการณ์อื่นที่น่าสนใจมาช่วยรองรับในการกระทำครั้งนี้
ซึ่งมันคืออะไร !? นั่นล่ะคือหนทางที่เขาต้องเร่งหา
ขณะกำลังใช้ความคิด บิดาก็โทรศัพท์เข้ามา เขามองมันด้วยใจระส่ำระสาย แล้วก็ปล่อยให้ดังอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเงียบไป จึงรีบหันไปบอกบอดี้การ์ดคนสนิทที่ยืนมุมห้อง
“ถ้าป๊าโทรมา บอกอั๊วไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน..แล้วกำชับไอ้พวกนั้นด้วย”
โจ้หน้าเหยเก
“คุณจิลก็รู้ ว่าเสี่ยไม่เชื่อผมหรอก”
“เออ จะพูดอะไรก็พูดไปเหอะ เห็นทุกทีลื่นเป็นปลาไหลนี่หว่า”
“โห! ระหว่างเสี่ย กับสาวๆน่ะ เหมือนกันที่ไหนล่ะครับ” โจ้อิดออด พลันสะดุ้งโหยง เมื่ออชิรโทรเข้าเครื่องของเขาเร็วเกินคาด ซึ่งเป็นอีกครั้งที่รู้สึกหนาวๆร้อนๆยามต้องหาข้อแก้ตัวแทนเจ้านายหนุ่ม
เขามองด้วยสายตาขอความเห็นใจ แต่เจ้านายกลับจ้องเขม็งและพยักพเยิดให้เขารับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้ ก่อนที่บิดาจะโกรธจนหาคำอุทธรณ์ใดๆไม่ได้อีก
บอดี้การ์ดหนุ่มจึงจำใจรับสาย
“..เอ่อ..” และเปล่งเสียงได้แค่นั้น อีกฝ่ายแค่นเสียงเหี้ยมสวนทันควัน
“เอ็งไม่ต้องแก้ตัวอะไรให้เจ้านายทั้งนั้น แค่ไปบอกมัน ว่าอั๊วให้เวลาหนึ่งชั่วโมง คิดหาข้อแก้ตัวดีๆที่ไม่ทำให้มันถูกตัดออกจากกองมรดก และถ้ามันเบี้ยวไม่ยอมมา เมียมัน! อั๊วก็จะไม่ไปขอให้..บอกมันแค่นี้ล่ะ”
สิ้นสุดคำสั่ง สัญญาณก็ถูกตัดขาด โจ้เก็บโทรศัพท์ด้วยสีหน้าจืดเจื่อน ก่อนรายงานในคำสั่งของผู้เป็นนายใหญ่ให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกภูเขาทั้งลูกทุ่มใส่
..แค่ขู่เรื่องมรดก เขาก็เครียดหนักแล้ว..นี่ยังจะยกเรื่องคนรักมาข่มอีก..แบบนี้มันฆ่ากันทางอ้อมชัดๆ!
“ป๊านะป๊า..คิดได้ไง!”
เขาถอนใจเฮือกใหญ่ และหยิบลูกเหล็กบริหารมือที่วางบนโต๊ะมาหมุนเล่น เพราะดูเหมือนว่ามันจะช่วยให้ความคิดแล่นได้เป็นอย่างดี
ธีรเดชได้แต่ยืนนิ่ง จดจ้องใบหน้าเคร่งเครียดของอนาวิน ระทึกไปแต่ละวินาทีว่า ชายหนุ่มจะหาวิธีผ่าทางตันในเรื่องนี้ได้อย่างไร และไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่า คนอย่างเขาจะต้องให้ผู้อื่น ซึ่งถือว่าเป็นคู่อริ มาเป็นคนกำหนดชะตาชีวิต..แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขายอมให้จิตวิญญาณของตัวเองผูกติดอยู่กับสาวคนรัก และจิตใจนั้นก็อ่อนแอเกินกว่าจะยอมตัดขาดไปจากเธอได้ จึงจำต้องยอมรับชะตากรรมครั้งนี้อย่างไม่มีข้อแม้
จนกระทั่ง..อนาวินวางลูกเหล็กในมือคืนกลับที่ และเดินมาหยุดยืนตรงหน้า สายตาคมกริบจับจ้องราวชำแหละลึกในความนึกคิดของเขาแทบทุกตารางนิ้ว ก่อนน้ำเสียงเย็นเยือกเอ่ยขึ้น
“คุณเคยมีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตปกติสุข แต่ก็เลือกที่จะโยนมันทิ้ง และในตอนนี้ เรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ มันคงถึงเวลาที่คุณต้องขายวิญญาณให้ผมจริงๆเสียที ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ต่อไปนี้..คุณต้องทำตามคำสั่งของผม ซึ่งถ้าไม่ยอมรับ ผมจะขังคุณชนิดที่ไม่ให้เห็นแม้แต่เดือนหรือตะวัน..ให้คุณตายช้าๆในความมืดอย่างโดดเดี่ยว คุณพอจะนึกรสชาติของความทรมานนี้ได้ใช่ไหม”
รอยยิ้มหยัดขึ้นมุมปากได้รูป เผยความอำมหิตในอีกตัวตนของผู้มีใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร ที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นปิศาจร้ายได้เกินกว่าที่ใครจะคาดเดา
ธีรเดชกล้ำกลืนความรู้สึก ก่อนแค่นเสียงตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
“ผมจะทำเท่าที่ทำได้..ถึงคุณจะใช้คุณขวัญมาเป็นข้อต่อรอง..แต่อย่าลืม ว่าผมเป็นตำรวจ และคำปฏิญาณมันยังคงดังอยู่ในหัวของผมเสมอ ไม่มีวันลบออกไปได้”
“งั้นในบางครั้ง คุณคงต้องทำเป็นไม่ได้ยินมันบ้างล่ะ” อนาวินมองสบสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายอย่างใคร่ครวญ “แต่ไม่ต้องห่วง พวกผมไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิดหรอก สิ่งที่พวกผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เรียนรู้จากประสบการณ์ที่พวกคุณสั่งสอนมาทั้งนั้น และผมก็หวังว่า คุณจะไม่หักหลังพวกเราเหมือนอย่างในอดีตที่พวกคุณเคยทำไว้นะ”
“ผมสาบานกับคุณขวัญไว้ ว่าจะไม่ทรยศเธอ..และผมก็จะทำตามนั้น”
ประโยคที่ได้ยินมันเสมือนเป็นการเลี่ยงบาลีของผู้พูด
อนาวินแค่นหัวเราะ ไม่ว่านายตำรวจหนุ่มจะให้ความภักดีกับใคร เขาก็ไม่อนาทรร้อนใจ เพราะเชื่อมั่นถึงความภักดีของน้องสาวต่างสายเลือด ว่าจะไม่มีวันกระทำการใดๆที่เป็นการส่งผลร้ายต่อวงศ์ตระกูลเด็ดขาด
“จำในสิ่งที่พูดวันนี้ให้ขึ้นใจก็แล้วกัน เพราะคุณไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนใจแล้ว”
“ผมรู้ดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี..ตอนนี้คุณกลับไปที่ห้องก่อน แล้วผมจะบอกอีกทีว่าให้ทำอะไรต่อไป อ้อ! ช่วงนี้คงต้องขอเก็บตัวคุณก่อน จนกว่าอาเจ็กจะทำใจเรื่องของคุณได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน..หวังว่าจะให้ความร่วมมือนะ อย่าเพิ่งสติแตกอีกล่ะ”
ธีรเดชไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากเดินกลับห้องพัก หรืออีกนัย มันก็ไม่ต่างอะไรจากห้องขังชั้นดีนี่เอง
อนาวินมองตามอย่างตรึกตรอง..เขาไม่จำเป็นต้องกดดันอีกฝ่ายจนไม่เหลือแม้แต่พื้นที่ให้หายใจ แต่เป็นการเว้นระยะห่างเพื่อง่ายต่อการเข้า ‘ควบคุม’
และหากแผนการที่คาดไว้สำเร็จลุล่วง นายตำรวจผู้นี้ ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่คุ้มค่า ต่อการเทหมดหน้าตักเป็นอย่างยิ่ง
(ต่อค่ะ)
ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจ ในควันปืน : ปรปักษ์เสน่หา (บทที่ ๓๓)
ผู้กำกับทวีสินถึงกับมึนงง ตั้งรับกับคำถามของบรรดาเพื่อนตำรวจไม่ทัน และสิ่งที่เขาตอบได้ก็เพียงแค่ว่า
“เพิ่งรู้เรื่องนี้เหมือนกัน..คงต้องรอถามเจ้าตัว”
ในขณะที่ยังไม่สามารถติดต่อลูกได้เลย จนเริ่มหงุดหงิด จึงเรียกลูกน้องสองนายให้ตามเขาออกไปล่าเจ้าตัวต้นเรื่อง ซึ่งเขาจะต้องรู้เรื่องให้ได้ภายในวันนี้!
ธีรเดชเห็นข่าวของตัวเองจากโทรทัศน์เครื่องใหม่ที่ถูกนำมาเปลี่ยนแทนเครื่องเก่าที่เขาพังมันไป ความกังวลใจก่อตัวขึ้นมากมาย จึงขอให้เอ็มพาเขาไปหาอนาวินที่พักอยู่อีกฟากของอาคาร..ซึ่งเจ้าของห้องกำลังยืนมองความเวิ้งว้างของแผ่นฟ้าสีครามสดผ่านกระจกบานหนา และผินใบหน้าเพียงเพื่อเหลือบสายตามองผู้ที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนกลางห้อง
“ผมขอโทษ ที่ทำให้คุณต้องเจอเรื่องยุ่งยาก” เสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
อนาวินหันกลับมามองเต็มตา
“เรื่องนี้ผมสะเพร่าเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าที่นั่นเป็นโรงพยาบาล ยังไงก็ไม่สามารถควบคุมได้เต็มร้อยเหมือนพื้นที่ของตัวเอง ” และตอนนี้ เขาอยากจะถลกหนังไอ้คนปล่อยภาพนี้เป็นที่สุด!
แต่สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนก็คือ เขาจะเอาตัวรอดจากความโกรธเกรี้ยวของบิดาและผู้เป็นอาได้อย่างไร ลำพังแค่บิดาก็เต็มกลืนแล้ว ครั้งนี้ยังพ่วงศราเข้ามาอีกคน แม้จะรู้ดีว่า ผู้เป็นอานั้นจะไม่ต่อว่าในการกระทำที่ล้ำเส้น แต่เขามั่นใจว่า ความขุ่นเคืองนี้จะต้องระอุอยู่ภายในใจ และมันคงกลายเป็นปัญหาเรื้อรังเกาะกินใจอย่างไม่มีวันหายแน่นอน
แม้ว่าชนวนเหตุมันจะเริ่มต้นมาจากน้องสาว แต่ในเมื่อเขาเป็นพี่ชายและปล่อยให้เรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบ และเพียงแค่คำขอโทษมันคงไม่เพียงพอ เขาต้องหาคำแถลงการณ์อื่นที่น่าสนใจมาช่วยรองรับในการกระทำครั้งนี้
ซึ่งมันคืออะไร !? นั่นล่ะคือหนทางที่เขาต้องเร่งหา
ขณะกำลังใช้ความคิด บิดาก็โทรศัพท์เข้ามา เขามองมันด้วยใจระส่ำระสาย แล้วก็ปล่อยให้ดังอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเงียบไป จึงรีบหันไปบอกบอดี้การ์ดคนสนิทที่ยืนมุมห้อง
“ถ้าป๊าโทรมา บอกอั๊วไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน..แล้วกำชับไอ้พวกนั้นด้วย”
โจ้หน้าเหยเก
“คุณจิลก็รู้ ว่าเสี่ยไม่เชื่อผมหรอก”
“เออ จะพูดอะไรก็พูดไปเหอะ เห็นทุกทีลื่นเป็นปลาไหลนี่หว่า”
“โห! ระหว่างเสี่ย กับสาวๆน่ะ เหมือนกันที่ไหนล่ะครับ” โจ้อิดออด พลันสะดุ้งโหยง เมื่ออชิรโทรเข้าเครื่องของเขาเร็วเกินคาด ซึ่งเป็นอีกครั้งที่รู้สึกหนาวๆร้อนๆยามต้องหาข้อแก้ตัวแทนเจ้านายหนุ่ม
เขามองด้วยสายตาขอความเห็นใจ แต่เจ้านายกลับจ้องเขม็งและพยักพเยิดให้เขารับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้ ก่อนที่บิดาจะโกรธจนหาคำอุทธรณ์ใดๆไม่ได้อีก
บอดี้การ์ดหนุ่มจึงจำใจรับสาย
“..เอ่อ..” และเปล่งเสียงได้แค่นั้น อีกฝ่ายแค่นเสียงเหี้ยมสวนทันควัน
“เอ็งไม่ต้องแก้ตัวอะไรให้เจ้านายทั้งนั้น แค่ไปบอกมัน ว่าอั๊วให้เวลาหนึ่งชั่วโมง คิดหาข้อแก้ตัวดีๆที่ไม่ทำให้มันถูกตัดออกจากกองมรดก และถ้ามันเบี้ยวไม่ยอมมา เมียมัน! อั๊วก็จะไม่ไปขอให้..บอกมันแค่นี้ล่ะ”
สิ้นสุดคำสั่ง สัญญาณก็ถูกตัดขาด โจ้เก็บโทรศัพท์ด้วยสีหน้าจืดเจื่อน ก่อนรายงานในคำสั่งของผู้เป็นนายใหญ่ให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกภูเขาทั้งลูกทุ่มใส่
..แค่ขู่เรื่องมรดก เขาก็เครียดหนักแล้ว..นี่ยังจะยกเรื่องคนรักมาข่มอีก..แบบนี้มันฆ่ากันทางอ้อมชัดๆ!
“ป๊านะป๊า..คิดได้ไง!”
เขาถอนใจเฮือกใหญ่ และหยิบลูกเหล็กบริหารมือที่วางบนโต๊ะมาหมุนเล่น เพราะดูเหมือนว่ามันจะช่วยให้ความคิดแล่นได้เป็นอย่างดี
ธีรเดชได้แต่ยืนนิ่ง จดจ้องใบหน้าเคร่งเครียดของอนาวิน ระทึกไปแต่ละวินาทีว่า ชายหนุ่มจะหาวิธีผ่าทางตันในเรื่องนี้ได้อย่างไร และไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่า คนอย่างเขาจะต้องให้ผู้อื่น ซึ่งถือว่าเป็นคู่อริ มาเป็นคนกำหนดชะตาชีวิต..แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขายอมให้จิตวิญญาณของตัวเองผูกติดอยู่กับสาวคนรัก และจิตใจนั้นก็อ่อนแอเกินกว่าจะยอมตัดขาดไปจากเธอได้ จึงจำต้องยอมรับชะตากรรมครั้งนี้อย่างไม่มีข้อแม้
จนกระทั่ง..อนาวินวางลูกเหล็กในมือคืนกลับที่ และเดินมาหยุดยืนตรงหน้า สายตาคมกริบจับจ้องราวชำแหละลึกในความนึกคิดของเขาแทบทุกตารางนิ้ว ก่อนน้ำเสียงเย็นเยือกเอ่ยขึ้น
“คุณเคยมีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตปกติสุข แต่ก็เลือกที่จะโยนมันทิ้ง และในตอนนี้ เรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ มันคงถึงเวลาที่คุณต้องขายวิญญาณให้ผมจริงๆเสียที ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ต่อไปนี้..คุณต้องทำตามคำสั่งของผม ซึ่งถ้าไม่ยอมรับ ผมจะขังคุณชนิดที่ไม่ให้เห็นแม้แต่เดือนหรือตะวัน..ให้คุณตายช้าๆในความมืดอย่างโดดเดี่ยว คุณพอจะนึกรสชาติของความทรมานนี้ได้ใช่ไหม”
รอยยิ้มหยัดขึ้นมุมปากได้รูป เผยความอำมหิตในอีกตัวตนของผู้มีใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร ที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นปิศาจร้ายได้เกินกว่าที่ใครจะคาดเดา
ธีรเดชกล้ำกลืนความรู้สึก ก่อนแค่นเสียงตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
“ผมจะทำเท่าที่ทำได้..ถึงคุณจะใช้คุณขวัญมาเป็นข้อต่อรอง..แต่อย่าลืม ว่าผมเป็นตำรวจ และคำปฏิญาณมันยังคงดังอยู่ในหัวของผมเสมอ ไม่มีวันลบออกไปได้”
“งั้นในบางครั้ง คุณคงต้องทำเป็นไม่ได้ยินมันบ้างล่ะ” อนาวินมองสบสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายอย่างใคร่ครวญ “แต่ไม่ต้องห่วง พวกผมไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิดหรอก สิ่งที่พวกผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เรียนรู้จากประสบการณ์ที่พวกคุณสั่งสอนมาทั้งนั้น และผมก็หวังว่า คุณจะไม่หักหลังพวกเราเหมือนอย่างในอดีตที่พวกคุณเคยทำไว้นะ”
“ผมสาบานกับคุณขวัญไว้ ว่าจะไม่ทรยศเธอ..และผมก็จะทำตามนั้น”
ประโยคที่ได้ยินมันเสมือนเป็นการเลี่ยงบาลีของผู้พูด
อนาวินแค่นหัวเราะ ไม่ว่านายตำรวจหนุ่มจะให้ความภักดีกับใคร เขาก็ไม่อนาทรร้อนใจ เพราะเชื่อมั่นถึงความภักดีของน้องสาวต่างสายเลือด ว่าจะไม่มีวันกระทำการใดๆที่เป็นการส่งผลร้ายต่อวงศ์ตระกูลเด็ดขาด
“จำในสิ่งที่พูดวันนี้ให้ขึ้นใจก็แล้วกัน เพราะคุณไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนใจแล้ว”
“ผมรู้ดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี..ตอนนี้คุณกลับไปที่ห้องก่อน แล้วผมจะบอกอีกทีว่าให้ทำอะไรต่อไป อ้อ! ช่วงนี้คงต้องขอเก็บตัวคุณก่อน จนกว่าอาเจ็กจะทำใจเรื่องของคุณได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน..หวังว่าจะให้ความร่วมมือนะ อย่าเพิ่งสติแตกอีกล่ะ”
ธีรเดชไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากเดินกลับห้องพัก หรืออีกนัย มันก็ไม่ต่างอะไรจากห้องขังชั้นดีนี่เอง
อนาวินมองตามอย่างตรึกตรอง..เขาไม่จำเป็นต้องกดดันอีกฝ่ายจนไม่เหลือแม้แต่พื้นที่ให้หายใจ แต่เป็นการเว้นระยะห่างเพื่อง่ายต่อการเข้า ‘ควบคุม’
และหากแผนการที่คาดไว้สำเร็จลุล่วง นายตำรวจผู้นี้ ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่คุ้มค่า ต่อการเทหมดหน้าตักเป็นอย่างยิ่ง
(ต่อค่ะ)