ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจ ในควันปืน : ปรปักษ์เสน่หา (บทที่ ๒๙)

ภายในห้องรับรองของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ อนาวินยืนกอดอกฟังผลวินิจฉัยของนายแพทย์ร่วมกับผู้ให้กำเนิดทั้งสองของพิมพ์ศิริด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะหญิงสาวยังคงไม่ได้สติ ทั้งๆที่ป่านนี้น่าจะรู้สึกตัวได้แล้ว แต่เธอก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง

“บาดแผลที่ศีรษะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากครับ แต่ที่เราเป็นกังวลอยู่ตอนนี้ก็คือ ร่างกายของคนไข้ไม่ตอบสนองต่อยาที่เราให้ไป เหมือนกับว่า ร่างกายของเธอต้องการจะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยตัวเอง ซึ่งเคสแบบนี้จะไม่พบกับคนปกติทั่วไป แต่มักจะพบในกลุ่มของทหารที่ถูกส่งออกสนามรบ เพราะคนกลุ่มนี้มักจะสะกดจิตตัวเอง ซึ่งการสะกดจิตนี้จะเข้าไปแทรกแซงการทำงานของวงจรประสาท จนระบบรวน ทำให้เส้นประสาทนำความรู้สึกตอบสนองต่อสิ่งเร้าช้า จนรู้สึกเหมือนว่าความเจ็บปวดจากบาดแผลจะลดลง ทำให้มีความอดทนเพิ่มขึ้นเวลาที่ออกรบและเวลาที่ได้รับบาดเจ็บในขณะที่ไม่มีอุปกรณ์การแพทย์เพียงพอ..ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองของคนไข้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเคสแบบนี้ครับ”

นายแพทย์พยายามอธิบายให้ญาติเข้าใจได้ง่ายขึ้น และอธิบายต่อถึงความหนักใจของพวกเขา

“..ฟังดูแล้วก็เหมือนจะดี แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ต่อให้เราไม่รู้สึกเจ็บปวดต่อบาดแผล แต่เซลล์ในร่างกายของคนเรามีลิมิตของช่วงระยะเวลาในการซ่อมแซมตัวเอง และถ้าเป็นการบาดเจ็บสาหัส ร่างกายก็จำเป็นต้องมีตัวช่วยมาสนับสนุนการซ่อมแซมแต่ละเซลล์ เพราะถ้าไม่มีตัวช่วยร่างกายจะต้านทานไม่ไหว ทำให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ..และสิ่งที่พวกเราทำได้ในตอนนี้ คือพยายามปลุกคนไข้ให้รู้สึกตัวครับ เพราะถ้าเธอรู้สึกตัวและมีสติขึ้นมาแล้ว รีเฟลกซ์ของร่างกายก็จะค่อยๆกลับมามีความสมดุลเหมือนเดิม”

อนาวินขยับร่างกายที่เครียดเขม็ง

“แล้วหมอพอจะบอกได้ไหมว่า น้องผมจะรู้สึกตัวได้เมื่อไหร่”

“เรื่องนี้ผมก็ตอบไม่ได้ครับ ต้องขึ้นอยู่กับสภาวะจิตใจของคนไข้เอง ว่าจะยอมรับการกระตุ้นแค่ไหน และเรื่องนี้พวกผมคงต้องขอความช่วยเหลือจากญาติให้มีส่วนร่วมด้วยครับ”

อนาวินเหลือบสายตามองใบหน้าเผือดซีด เต็มไปด้วยความกังวลใจของอาสะใภ้ ในขณะที่ศรายังคงนั่งนิ่ง แต่กระนั้น เขาก็ยังสามารถจับได้ถึงความตึงเครียดที่แผ่กระจายทั่วบ่ากว้างของผู้อาวุโส

ชายหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัดใจอีกครั้ง ก่อนคำถามต่อไปจะหลุดออกจากปากแบบไม่เต็มเสียงนัก

“..แล้ว..เด็กล่ะครับ เป็นไงบ้าง..”

ซึ่งคำถามนี้มันเรียกให้ศราหันมองทันที ในขณะที่พิมพ์กมลลุกขึ้นถลันหาหลานชาย จับแขนทั้งสองข้างของเขาแน่น

“ว่าไงนะจิล..ขวัญท้องเรอะ!?”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ก่อนหันสายตาไปทางนายแพทย์ให้รับภาระในการตอบคำถามนี้ ซึ่งนายแพทย์นิ่งไปชั่วอึดใจ นึกถึงผลวินิจฉัยของแพทย์แผนโบราณถึงรายละเอียดของชื่อสมุนไพรและปริมาณที่หญิงสาวดื่มเข้าไปตามการซักถามจากชายหนุ่ม

“..ตอนนี้เด็กยังปลอดภัยครับ เพราะสมุนไพรบางตัวต้องใช้ระยะเวลาในการเคี่ยวถึงจะมีประสิทธิภาพ แล้วต้องมีการดื่มซ้ำ ซึ่งปริมาณที่คนไข้ดื่มเข้าไปตามที่คุณอนาวินบอกนั้นเป็นปริมาณที่ยังไม่เป็นอันตราย..แต่นั่นก็ต้องรอดูกันอีกวัน-สองวัน เพราะขณะนี้ร่างกายของคนไข้อ่อนแอลงมาก..ถ้าไม่มีเลือดออกมา เด็กก็ยังคงปลอดภัยครับ” ซึ่งนายแพทย์ยังไม่ได้พูดถึงทางเลือกให้กับทางญาติฟังว่า หากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วคนไข้ยังไม่ฟื้น ทีมแพทย์คงจำเป็นต้องให้ญาติตัดสินใจในการเอาเด็กออก เพื่อช่วยชีวิตของคนไข้

พิมพ์กมลผละมืออันสั่นเทาจากลำแขนแกร่งของหลานชาย มาปิดปากของตนกลั้นเสียงสะอื้น ในขณะที่ชายหนุ่มช่วยประคองให้เธอนั่งบนเก้าอี้ด้วยความปวดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูก ซึ่งเธอไม่คิดว่ามันจะหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้..ศราเองก็รู้สึกตื้อจนพูดอะไรไม่ออก

นายแพทย์เห็นว่าไม่มีคำถามอะไรจากญาติแล้ว เขาก็ขอตัวออกมา..และเมื่อคล้อยหลังนายแพทย์ โจ้ก็เดินเข้ามาหาเจ้านายหนุ่ม

“คุณหนูเล็กกลับมาแล้วครับ”

ชายหนุ่มตอบรับในลำคอ และหันมาหาพิมพ์กมล ร่างสูงโน้มตัวลงพลางดึงมือที่ยังสั่นเทาไปกุมปลอบประโลม

“ขวัญเป็นคนเข้มแข็ง เขาต้องหายแน่นอน..เพียงแต่ตอนนี้เขาอาจต้องการเวลาหน่อย คุณอาไม่ต้องคิดมากนะครับ”

พิมพ์กมลพยักหน้ารับทั้งที่ยังสะอื้น ชายหนุ่มตบหลังมือเบาๆ ก่อนจะปล่อยลงอย่างอ่อนโยน และหันไปทางศรา

“อาเจ็ก เดี๋ยวผมไปดูขวัญก่อนนะครับ”

ศราเพียงพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่ได้หันมอง จนกระทั่งหลานชายเดินออกจากห้องพร้อมคนสนิท ความเงียบจนอึดอัดระหว่างคู่สามีภรรยามันแผ่ขยายกว้าง..พิมพ์กมลปาดน้ำตาพลางสูดสะอื้น

“ฉันเห็นลูกไม่แสดงอาการอะไรออกมามากเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น เลยคิดว่า เดี๋ยวเขาก็ทำใจได้..แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย ลูกคงรักผู้ชายคนนั้นมากจริงๆ..ตลอดมา ฉันมัวแต่หันหลังให้เขา ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของเขาสักครั้ง ไม่ว่าจะเห็นคุณเข้มงวดกับเขามากแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยยื่นมือเข้าไปช่วยหรือแม้แต่การปลอบใจ คิดเองเออเองตลอดว่าเขาเข้มแข็ง...และคิดเสมอ ว่าที่คุณทุ่มเทความหวังทั้งหมดไปที่ลูกมากมาย ส่วนหนึ่งมันเป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้คุณต้องเสียลูกอีกคนในคืนนั้น”

ด้วยบิดานั้นไม่ค่อยชอบสามีของเธอสักเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าเขานั้นเป็นบุคคลอันตรายที่มีชีวิตอยู่ในโลกสีเทา จึงมักจะคอยกีดกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่สามารถผลักไสความรักของสามีที่มีต่อเธอไปได้ และด้วยเพราะความรักที่บิดามีต่อเธอนั้นมันมากมายจนไม่อาจทนเห็นเธอเสียใจกับการสูญเสียคนรักได้ จึงจำยอมให้เธอได้แต่งงานกับเขา แต่ก็ยังคอยถามไถ่ทุกข์สุขด้วยความเป็นห่วงเสมอ จนกระทั่งเธอมีลูกสาว..ก็มักจะพาหลานสาวไปเยี่ยมเยียนคุณตาในวันหยุดเพื่อให้ท่านคลายความเหงา และในวันนั้นบิดาขอให้เธออยู่ค้างอีกคืน แต่เธอก็ไม่ฟังทำทัดทาน เป็นเพราะว่าเธอนั้นคิดถึงสามีมากเกินไป จนไม่อยากอยู่ห่างจากเขานานนัก..ซึ่งหากในวันนั้นเธอเชื่อคำทัดทานของบิดา เรื่องทั้งหมดก็คงจะไม่เกิดขึ้น สามีก็ยังคงได้ชื่มชมลูกชายสมใจ..ทุกอย่างล้วนผิดที่เธอเอง

ศราหันไปแย้งเสียงแข็ง

“มันเป็นอุบัติเหตุ..ถ้าจะผิด ก็ต้องเป็นไอ้คนขับรถคันนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะคุณ”

เพราะในวันนั้นเขาติดอยู่ในงานเลี้ยงของลูกค้าคนสำคัญ จึงให้ลูกน้องเป็นคนไปรับภรรยากลับมาจากเยี่ยมบ้านบิดาของเธอ ซึ่งวันนั้น ฝนตกเกือบตลอดทั้งวัน และขณะกำลังเดินทางกลับ ในเลนฝั่งตรงข้ามมีรถกระบะขับมาด้วยความเร็วและเสียหลักพุ่งมาชนเต็มแรงกับรถตู้ที่ภรรยาของเขานั่งมาจนพลิกคว่ำตกข้างทาง และเพราะความประมาทของคู่กรณีทำให้เขาต้องเสียลูกน้องไปหนึ่งคน พร้อมลูกชายที่ยังไม่ทันจะได้ลืมตามาดูโลก และเกือบจะสูญเสียภรรยากับลูกสาวที่รักดั่งดวงใจไปอีกด้วย ซึ่งในขณะนั้น..หากคู่กรณีไม่เสียชีวิตคาซากรถไปเสียก่อน เขาคงเป็นคนไปปลิดชีพมันเสียเอง

“แต่เป็นเพราะเรื่องนี้ ที่มันทำให้คุณเปลี่ยนไป..และฉันเองก็รักคุณมากเกินไป ถึงเลือกที่จะเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของคุณทุกอย่าง เพราะไม่อยากทำให้คุณเสียใจและชดเชยกับการที่ฉันไม่สามารถมีลูกให้คุณได้อีก จึงเลือกที่จะละเลยความรู้สึกของขวัญ..ฉันนี่มันเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”

พลางก้มหน้าสะอื้นไห้อีกครั้ง..

ศราเองก็คิดอะไรไม่ออกเหมือนกันกับสิ่งที่เกิดขึ้น รับรู้เพียงอย่างเดียวว่า ที่ลูกสาวต้องนอนไม่ได้สติแบบนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากเขาเกือบทั้งสิ้น ซึ่งมันก็ทำให้เขาเจ็บปวดไม่น้อยเช่นกัน

“..คุณ..” เขายื่นมือไปหมายจะปลอบใจภรรยา แต่เธอปัดมือของเขาพลางลุกขึ้น

“เดี๋ยวฉันจะอยู่ดูลูกที่นี่ คุณช่วยให้ใครเอาเสื้อผ้ามาให้ฉันหน่อยก็แล้วกัน”

เสียงพูดยังคงสั่นเครือ และหมายจะก้าวเดินผ่านไป แต่ถูกเขาคว้าข้อมือฉุดรั้งไว้ราวกับว่าไม่ต้องการให้เธอห่างไปไหนอย่างเช่นที่ผ่านมา แม้จะรู้ว่ามันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว

พิมพ์กมลสูดสะอื้น ในครั้งนี้เธอคงไม่อาจตามใจเขาได้อีกแล้ว

“ฉันดูแลคุณมานานมากแล้ว ต่อไปนี้..ขอให้ฉันได้ดูแลลูกบ้าง ขอร้องเถอะนะคะ ลูกกำลังอ่อนแอมากและแกก็ไม่มีใครเลย”

เธอวอนขอ และรอไม่กี่อึดใจ ฝ่ามือใหญ่ค่อยคลายออกจนปล่อยให้เป็นอิสระ จึงก้าวเดินออกจากห้อง โดยไม่ได้เหลียวกลับมามองเขาแม้แต่หางตา

อนาวินเดินกลับมาที่ห้องไอซียู ซึ่งทั้งเตชิตและบรรดาบอดี้การ์ดของน้องสาวต่างเลือกจะยืนเงียบอยู่มุมห้อง ในขณะที่ร่างแบบบางกำลังยืนสะอึกสะอื้นมองร่างที่ยังนอนนิ่งผ่านกระจกใส ด้วยความสงสารจับใจ

และเมื่อเขาเดินไปยืนใกล้ เธอก็หันมากอดแน่น

“เฮียต้องช่วยเจ๊ขวัญนะ..จะทำยังไงก็ได้ ขอให้เจ๊ฟื้นขึ้นมาเร็วๆ” แล้วก็ผละจากอกมาเกาะแขน เร่งเร้าเขา “นะเฮีย..นะ”

ชายหนุ่มถอนใจเฮือก

“หมอเขาพยายามเต็มที่แล้ว..เฮียก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้อีก”

“ได้สิ..ถ้าอยากให้เจ๊ฟื้นขึ้นมาเร็วๆ เฮียก็แค่ไปพาผู้ชายคนนั้นมา เท่านี้ก็ช่วยเจ๊ได้เยอะแล้ว”

เพราะการที่เธอเองก็เป็นลูกคนหนึ่งของบิดา มันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะรู้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับญาติสาว แต่สำหรับการเคลื่อนไหวของพี่ชายนั้น เธอต้องใช้ความพยายามพอสมควร กว่าจะมีใครสักคนยอมเปิดปากบอกว่าพี่ของเธอเป็นคนพาตัวนายตำรวจคนนั้นไปรักษา และยังคงขังไว้อยู่ภายในห้องชุดที่พี่ชายมักไปนอนค้างบ่อยๆ

“ผู้ชายคนนั้นจะไม่มีโอกาสกลับเข้ามาเฉียดใกล้ขวัญอีก”

“แต่เขาเป็นคนที่เจ๊รัก แล้วก็เป็นพ่อของเด็กในท้อง..เมื่อกี้หนูเล็กก็คุยกับหมอแล้ว หนูเล็กถึงอยากให้ผู้ชายคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆ เจ๊จะได้มีกำลังใจมากขึ้น”

“เรากำลังจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากเข้าไปกันใหญ่นะ”

อนาวินแค่นเสียงอย่างไม่พอใจกับการเอาแต่ใจของน้อง โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมา แค่ที่เขายื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ ก็เสี่ยงกับการทำให้เกิดแรงกระเพื่อมของคลื่นใต้น้ำแล้ว เพราะลำพังแค่ความเกลียดชังของคนในตระกูลที่มีต่อองค์กรตำรวจนั้นมันคงสามารถออมชอมเพื่อเห็นแก่ความสุขของคนภายในครอบครัวกันได้..ทว่า..ความสัมพันธ์ระหว่างญาติสาวกับนายตำรวจคนนั้น มันส่งผลกว้างไปถึงความไว้วางใจของบรรดากลุ่มลูกน้องเก่าที่ยังฝังตัวอยู่ในโลกมืดชนิดถอนตัวไม่ขึ้น รวมทั้งกลุ่มองค์กรลับที่คอยเกื้อหนุนธุรกิจของตระกูลตั้งแต่สมัยอดีตกาลมาแล้ว ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ล้วนแต่มีความเกลียดชังตำรวจ หากน้องสาวทำอะไรเปิดเผย คงเห็นชัดถึงแรงต่อต้าน และคราวนี้..คงได้ลิ้มรสความหายนะอย่างแท้จริง!

แต่ดูเหมือนน้องของเขาไม่ได้สนใจอะไรในข้อนี้เลย

“ถ้าเฮียไม่พาเขามา หนูเล็กจะไปพาเขามาเอง”

“อย่าเอาแต่ใจนักได้ไหม..หัดคิดถึงผลที่จะตามมาบ้าง เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าที่เราจะทำอะไรตามใจตัวเองนะ”

เตชิตเห็นว่าอนาวินนั้นเริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมาแล้ว แต่ท่าทีของโมรียายังคงแข็งกร้าว ไม่คิดจะฟังคำเตือนสักนิด จึงขยับเข้าไปปรามเธอ ก่อนที่เรื่องจะลุกลามมากไปกว่านี้

“คุณหนูเล็ก ที่คุณจิลพูดก็ถูกนะครับ..ใจเย็นก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธีกันอีกที”

หญิงสาวหันมาพาลใส่เขาเสียงเครือ

“แล้วต้องให้รอไปถึงเมื่อไหร่ พี่ก็เห็นสภาพของเจ๊ขวัญแล้วนี่ว่ามันแย่แค่ไหน..แล้วแบบนี้จะให้หนูเล็กใจเย็นอยู่ได้ยังไง”

แล้วก็หันกลับไปมองญาติสาวอีกครั้ง..แม้พิมพ์ศิริจะไม่มีสายเลือดเดียวกับเธอ แต่ความผูกพันที่มีมาตั้งแต่จำความได้ เธอก็มีพี่สาวคนนี้อยู่เคียงข้างและคอยปกป้องไม่ต่างจากพี่ชายตั้งแต่เล็กจนโต ก่อนจะเริ่มห่างกันไปเมื่อตอนที่พิมพ์ศิริ เริ่มตะลุยทำงานเต็มรูปแบบ และเธอเองก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ จนแทบไม่มีเวลาคุยกันเลย แต่กระนั้นความห่วงใยก็ยังคงมีอยู่ไม่จางหาย..และเมื่อเห็นญาติสาวมีสภาพเช่นนี้ เธอก็ไม่สามารถทำใจให้นิ่งเฉยได้

และวินาทีนี้ ก็ไม่สามารถทนมองได้อีกแล้ว จึงหันเดินไปอย่างคับแค้นใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้

ผู้เป็นพี่ชายได้แต่มองตามอย่างอ่อนใจและหนักใจระคนกัน จึงหันกลับมาพูดกับเตชิต ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันก้าวตามหญิงสาวไป

“นายช่วยดูหนูเล็กหน่อยนะ อย่าให้เขาก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก..แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”

“ครับ”

เตชิตรับคำ และรีบก้าวตามหญิงสาวไป

อนาวินพ่นลมหายใจพรืด พลางขยี้หัวตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้มันหายอึดอัด หงุดหงิด และอีกสารพัดความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ภายในร่างกายนี้ แล้วก็เลือกที่จะกลับห้องชุดของตนเองก่อน หวังกลับไปนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นให้สบายใจแล้วค่อยกลับมาเผชิญปัญหาอีกรอบ

(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่