ตอนที่แล้ว ตอนที่ 9
https://ppantip.com/topic/40814168/comment2-3
หลังจากกลับจากการโรงพยาบาล ปัณณวัตร์นั่งเงียบ สายตามองนิ่งอยู่ที่บรรดาซองยาตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ผลการตรวจสุขภาพในมือบอกว่า เขาได้มาหลายโรค มาแบบเป็นแพ็คเก็จ อย่างแรกคือ ความดันเลือดสูง อย่างที่สองไขมันในเลือดสูง อย่างที่สามคือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งทราบได้จากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจดูแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจ อย่างสุดท้ายคือลงพุง น้ำหนักเกิน ไม่อ้วนแต่ส่วนใหญ่มาอยู่ที่พุง หมอรุ่นน้องให้ยามาหลายตัว หนึ่งโรคก็หนึ่งตัว แถมอีกตัวหนึ่งคือ ยากล่อมประสาท แสดงว่า หมอคิดว่า เขาเป็นโรคประสาท-ด้วย
หมอหนุ่มใหญ่อดถอนหายใจไม่ได้ เขารู้ดีจากประสบการณ์การรักษาคนไข้โรคหัวใจมายาวนานเกือบยี่สิบปี มองอนาคตของตัวเองด้วยความกังวล วันนี้เป็นความดันสูง ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาหนึ่งกำมือ สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคืออะไร เขามองทะลุออกหมดแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลลูน ทำไปสักสองสามครั้งแล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส อย่างที่เขาทำให้คนไข้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ ทำแล้วบ้างก็ดีขึ้น บ้างก็ไม่ดีขึ้น บ้างก็ตาย เพียงแต่คราวนี้จะเป็นตัวเขาที่นอนอยู่บนเขียงให้หมอรุ่นน้องคนอื่นเป็นคนผ่าตัดให้ ซึ่งเขารู้อยู่แก่ใจดีว่า มันไม่ใช่วิธีการรักษาที่ทำให้หายได้ แต่จะมีวิธีอื่นอีกไหม คิดไปคิดมาแล้วยังไม่สามารถหาคำตอบได้
ปัถยามองเห็นสามีนั่งมองซองยาอยู่นานแล้ว เธอค่อย ๆ นั่งลงข้างเขา บีบมือของชายหนุ่มเบา ๆ บ่อยครั้งที่เห็นเขานั่งนิ่งเงียบแบบนี้เป็นเวลานาน เธออยากจะช่วยให้เขาออกจากความคิดวกวนนั้น
“ทานยาก่อนค่ะ” ภรรยาสาวยื่นถ้วยขนาดเล็กใส่ยาส่งให้
ศัลยแพทย์เงยหน้าขึ้นฝืนยิ้มให้ รู้สึกขอบคุณที่เธอดูแลเขาอย่างดีมาก เสียดายที่เขาอาจอยู่กับเธอได้ไม่นาน
“ห้ามมองอย่างเดียวค่ะ ต้องทานตามที่หมอบอกด้วยนะคะ” เธอบอกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ครับผม มองอย่างเดียวไม่ได้เด็ดขาด” เขายื่นมือโอบเธอเข้ามาใกล้ พลางยื่นหน้าหอมแก้มเธอเบา ๆ
“ฉันหมายถึง ยาค่ะ” เธอเบนตัวหนีใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา แล้วเอาถ้วยยามากั้นไว้
หมอหนุ่มใหญ่จึงรับถ้วยยามาไว้ในมือ ก่อนเทใส่ปากอย่างว่าง่าย แล้วยกแก้วน้ำดื่มตาม
“การอยู่บ้านหรือเปล่าครับ” เขาถามถึงลูกชายคนเดียว
“อยู่ค่ะ”
“ไปเรียกเขามาหาผมหน่อย” ปัณณวัตร์พูดพลางวางแก้วยาและน้ำลงกับโต๊ะเตี้ย ๆ ตรงหน้า
“เอ่อ...คือ...” คนถูกถามอึกอักไม่กล้าบอก เกรงว่าจะทำให้เขาโกรธและไม่พอใจ
“ไปเรียกมันมา” เขาย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดังขึ้นกว่าเดิม พลางมองหน้าภรรยา
“มันตื่นหรือยัง”
“คือ.. ยังไม่เห็นลงมาทานข้าวเลยค่ะ” เธออ้อมแอ้มตอบไปอย่างตะกุกตะกัก พยายามหลีกเลี่ยงไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ
ชายหนุ่มถอนหายใจออกอย่างหงุดหงิด สายตาเลื่อนไปมองเวลาที่ผนังห้อง ขณะนั้นบอกเวลาบ่ายกว่าแล้ว
“นี่มัน! จะนอนกินบ้านกินเมืองหรือไง ป่านนี้ยังไม่ตื่นอีก” เขารู้สึกกลุ้มใจกับลูกชายคนนี้จริง ๆ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจซักอย่าง
“ใจเย็น ๆ ค่ะ คุณจะคุยกับแกเรื่องอะไรคะ ให้ฉันคุยแทนให้ไหม ฉันไม่อยากให้คุณอารมณ์เสียแบบนี้เลย”
“ขนาดผมมันยังกวนประสาทขนาดนี้เลย แล้วคุณล่ะ” เขาอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าปฏิการรักแม่ของเขามากแค่ไหน
“ฉันเข้าใจแกนะคะ เพราะตอนเด็กพ่อของฉันก็เหมือนกับคุณนี่แหละ อยากให้ฉันเป็นหมอเหมือนท่าน แต่ฉันหัวไม่ไปเลยเป็นได้แค่พยาบาล” เธอจับแขนเขาบีบเบา ๆ เมื่อเห็นเขานิ่งรับฟังจึงพูดต่อไป
“ถ้ายังไงให้แกเลือกเรียนคณะที่อยากเรียนดีไหมคะ ลูกคุณเขาเป็นศิลปิน วัน ๆ จะให้เขาอยู่แต่กับคนไข้เหมือนคุณทั้งวัน เวลาคุณเข้าห้องผ่าตัดแต่ละเคสสี่ถึงหกชั่วโมง หรือมากกว่านั้น พูดไปแล้วก็สงสารชีวิตหมอนะ คุณอยากให้ชีวิตลูกเป็นเหมือนคุณเหรือคะ”
สิ่งที่เธอพูดทำให้นายแพทย์ใหญ่นิ่งคิด ซึ่งเขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามันคือความจริง คนไข้นับวันมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลงเลย นอกจากเสียชีวิตไป
“คุณลองคุยกับลูกดี ๆ ดูไหมคะ ลองมองในมุมของแกดูบ้าง”
คนฟังรู้สึกจุกขึ้นมาทันที เขาแทบไม่เคยพูดดีกับลูกเลย
“คุณพ่อ...สวัสดีคร้าบ ทำไมวันนี้อยู่บ้านได้ละครับ” เสียงลูกชายตัวดีเดินเข้ามาในห้องรับแขก อดแปลกใจที่เห็นหน้าพ่อของเขาได้ ทุกทีกว่าจะกลับก็ดึกดื่น วัน ๆ แทบไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ
ปัณณวัตร์มองหน้าลูกชาย ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งจะตื่นนอน
“คุณป้า...มีอะไรกินมั่ง ผมหิวแล้ว” ปฏิการหันไปทางภรรยาคนใหม่ของบิดา
“เรื่องเรียน...แกจะเอายังไง” เขาพยายามคุมโทนน้ำเสียงให้ธรรมดาที่สุด
“ผมไม่อยากเป็นหมอ ผมจะขอย้ายไปเรียนคอมพิวเตอร์ได้รึเปล่าครับ”
เขามองหน้าลูกชายจอมกวนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้”
ปฏิการมองหน้าบิดาอย่างงุนงงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เป็นครั้งแรกที่พ่อไม่ปฏิเสธ
“แต่มีข้อแม้ว่า แกต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของผอ. โรงพยาบาลกับพ่อ”
หนุ่มผมยาวขมวดคิ้วย่น “ทำไมผมต้องไปด้วย ผมไม่อยากไป ผมไม่รู้จักใครเลย จะให้ผมไปทำไม”
“ถ้าไม่ไปแล้วจะไปรู้จักใครได้ พ่ออยากให้แกไปรู้จักกับครอบครัวของ ผอ.เขามีลูกสาวและลูกชาย รู้จักกันไว้มันไม่เสียหายอะไรนี่ ถ้าแกกับลูกสาว ผอ.ไปกันได้ก็ยิ่งดีเลย” เขามองเห็นอนาคตสดใสของลูกชาย ถ้าได้แต่งงานกับลูกสาวของผู้อำนวยการคงจะมีแต่ความสุขความรุ่งโรจน์แน่นอน
“นี่! พ่อกำหนดกฏเกณฑ์เรื่องเรียนของผมยังไม่พอ! เรื่องคนรักพ่อก็ยังจะมาบังคับผมอีกเหรอ?” เขาโพล่งออกไปอย่างเหลืออด จ้องหน้าบิดาเขม็งด้วยความโกรธที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ถ้าแกไม่ไปก็ไม่ต้องย้ายคณะ!” น้ำเสียงของนายแพทย์ใหญ่เข้มขึ้นทันที
“ผม! ไม่!ไป!” ปฏิการเน้นเสียงทุกพยางค์อย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วรีบเดินออกจากห้องไปทันที
รับคำท้า(หัวใจ)ยัยตัวแสบ ตอนที่10 กลับไปนอนบ้านนายสิ!
หลังจากกลับจากการโรงพยาบาล ปัณณวัตร์นั่งเงียบ สายตามองนิ่งอยู่ที่บรรดาซองยาตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ผลการตรวจสุขภาพในมือบอกว่า เขาได้มาหลายโรค มาแบบเป็นแพ็คเก็จ อย่างแรกคือ ความดันเลือดสูง อย่างที่สองไขมันในเลือดสูง อย่างที่สามคือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งทราบได้จากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจดูแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจ อย่างสุดท้ายคือลงพุง น้ำหนักเกิน ไม่อ้วนแต่ส่วนใหญ่มาอยู่ที่พุง หมอรุ่นน้องให้ยามาหลายตัว หนึ่งโรคก็หนึ่งตัว แถมอีกตัวหนึ่งคือ ยากล่อมประสาท แสดงว่า หมอคิดว่า เขาเป็นโรคประสาท-ด้วย
หมอหนุ่มใหญ่อดถอนหายใจไม่ได้ เขารู้ดีจากประสบการณ์การรักษาคนไข้โรคหัวใจมายาวนานเกือบยี่สิบปี มองอนาคตของตัวเองด้วยความกังวล วันนี้เป็นความดันสูง ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาหนึ่งกำมือ สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคืออะไร เขามองทะลุออกหมดแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลลูน ทำไปสักสองสามครั้งแล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส อย่างที่เขาทำให้คนไข้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ ทำแล้วบ้างก็ดีขึ้น บ้างก็ไม่ดีขึ้น บ้างก็ตาย เพียงแต่คราวนี้จะเป็นตัวเขาที่นอนอยู่บนเขียงให้หมอรุ่นน้องคนอื่นเป็นคนผ่าตัดให้ ซึ่งเขารู้อยู่แก่ใจดีว่า มันไม่ใช่วิธีการรักษาที่ทำให้หายได้ แต่จะมีวิธีอื่นอีกไหม คิดไปคิดมาแล้วยังไม่สามารถหาคำตอบได้
ปัถยามองเห็นสามีนั่งมองซองยาอยู่นานแล้ว เธอค่อย ๆ นั่งลงข้างเขา บีบมือของชายหนุ่มเบา ๆ บ่อยครั้งที่เห็นเขานั่งนิ่งเงียบแบบนี้เป็นเวลานาน เธออยากจะช่วยให้เขาออกจากความคิดวกวนนั้น
“ทานยาก่อนค่ะ” ภรรยาสาวยื่นถ้วยขนาดเล็กใส่ยาส่งให้
ศัลยแพทย์เงยหน้าขึ้นฝืนยิ้มให้ รู้สึกขอบคุณที่เธอดูแลเขาอย่างดีมาก เสียดายที่เขาอาจอยู่กับเธอได้ไม่นาน
“ห้ามมองอย่างเดียวค่ะ ต้องทานตามที่หมอบอกด้วยนะคะ” เธอบอกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ครับผม มองอย่างเดียวไม่ได้เด็ดขาด” เขายื่นมือโอบเธอเข้ามาใกล้ พลางยื่นหน้าหอมแก้มเธอเบา ๆ
“ฉันหมายถึง ยาค่ะ” เธอเบนตัวหนีใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา แล้วเอาถ้วยยามากั้นไว้
หมอหนุ่มใหญ่จึงรับถ้วยยามาไว้ในมือ ก่อนเทใส่ปากอย่างว่าง่าย แล้วยกแก้วน้ำดื่มตาม
“การอยู่บ้านหรือเปล่าครับ” เขาถามถึงลูกชายคนเดียว
“อยู่ค่ะ”
“ไปเรียกเขามาหาผมหน่อย” ปัณณวัตร์พูดพลางวางแก้วยาและน้ำลงกับโต๊ะเตี้ย ๆ ตรงหน้า
“เอ่อ...คือ...” คนถูกถามอึกอักไม่กล้าบอก เกรงว่าจะทำให้เขาโกรธและไม่พอใจ
“ไปเรียกมันมา” เขาย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดังขึ้นกว่าเดิม พลางมองหน้าภรรยา
“มันตื่นหรือยัง”
“คือ.. ยังไม่เห็นลงมาทานข้าวเลยค่ะ” เธออ้อมแอ้มตอบไปอย่างตะกุกตะกัก พยายามหลีกเลี่ยงไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ
ชายหนุ่มถอนหายใจออกอย่างหงุดหงิด สายตาเลื่อนไปมองเวลาที่ผนังห้อง ขณะนั้นบอกเวลาบ่ายกว่าแล้ว
“นี่มัน! จะนอนกินบ้านกินเมืองหรือไง ป่านนี้ยังไม่ตื่นอีก” เขารู้สึกกลุ้มใจกับลูกชายคนนี้จริง ๆ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจซักอย่าง
“ใจเย็น ๆ ค่ะ คุณจะคุยกับแกเรื่องอะไรคะ ให้ฉันคุยแทนให้ไหม ฉันไม่อยากให้คุณอารมณ์เสียแบบนี้เลย”
“ขนาดผมมันยังกวนประสาทขนาดนี้เลย แล้วคุณล่ะ” เขาอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าปฏิการรักแม่ของเขามากแค่ไหน
“ฉันเข้าใจแกนะคะ เพราะตอนเด็กพ่อของฉันก็เหมือนกับคุณนี่แหละ อยากให้ฉันเป็นหมอเหมือนท่าน แต่ฉันหัวไม่ไปเลยเป็นได้แค่พยาบาล” เธอจับแขนเขาบีบเบา ๆ เมื่อเห็นเขานิ่งรับฟังจึงพูดต่อไป
“ถ้ายังไงให้แกเลือกเรียนคณะที่อยากเรียนดีไหมคะ ลูกคุณเขาเป็นศิลปิน วัน ๆ จะให้เขาอยู่แต่กับคนไข้เหมือนคุณทั้งวัน เวลาคุณเข้าห้องผ่าตัดแต่ละเคสสี่ถึงหกชั่วโมง หรือมากกว่านั้น พูดไปแล้วก็สงสารชีวิตหมอนะ คุณอยากให้ชีวิตลูกเป็นเหมือนคุณเหรือคะ”
สิ่งที่เธอพูดทำให้นายแพทย์ใหญ่นิ่งคิด ซึ่งเขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามันคือความจริง คนไข้นับวันมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลงเลย นอกจากเสียชีวิตไป
“คุณลองคุยกับลูกดี ๆ ดูไหมคะ ลองมองในมุมของแกดูบ้าง”
คนฟังรู้สึกจุกขึ้นมาทันที เขาแทบไม่เคยพูดดีกับลูกเลย
“คุณพ่อ...สวัสดีคร้าบ ทำไมวันนี้อยู่บ้านได้ละครับ” เสียงลูกชายตัวดีเดินเข้ามาในห้องรับแขก อดแปลกใจที่เห็นหน้าพ่อของเขาได้ ทุกทีกว่าจะกลับก็ดึกดื่น วัน ๆ แทบไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ
ปัณณวัตร์มองหน้าลูกชาย ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งจะตื่นนอน
“คุณป้า...มีอะไรกินมั่ง ผมหิวแล้ว” ปฏิการหันไปทางภรรยาคนใหม่ของบิดา
“เรื่องเรียน...แกจะเอายังไง” เขาพยายามคุมโทนน้ำเสียงให้ธรรมดาที่สุด
“ผมไม่อยากเป็นหมอ ผมจะขอย้ายไปเรียนคอมพิวเตอร์ได้รึเปล่าครับ”
เขามองหน้าลูกชายจอมกวนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้”
ปฏิการมองหน้าบิดาอย่างงุนงงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เป็นครั้งแรกที่พ่อไม่ปฏิเสธ
“แต่มีข้อแม้ว่า แกต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของผอ. โรงพยาบาลกับพ่อ”
หนุ่มผมยาวขมวดคิ้วย่น “ทำไมผมต้องไปด้วย ผมไม่อยากไป ผมไม่รู้จักใครเลย จะให้ผมไปทำไม”
“ถ้าไม่ไปแล้วจะไปรู้จักใครได้ พ่ออยากให้แกไปรู้จักกับครอบครัวของ ผอ.เขามีลูกสาวและลูกชาย รู้จักกันไว้มันไม่เสียหายอะไรนี่ ถ้าแกกับลูกสาว ผอ.ไปกันได้ก็ยิ่งดีเลย” เขามองเห็นอนาคตสดใสของลูกชาย ถ้าได้แต่งงานกับลูกสาวของผู้อำนวยการคงจะมีแต่ความสุขความรุ่งโรจน์แน่นอน
“นี่! พ่อกำหนดกฏเกณฑ์เรื่องเรียนของผมยังไม่พอ! เรื่องคนรักพ่อก็ยังจะมาบังคับผมอีกเหรอ?” เขาโพล่งออกไปอย่างเหลืออด จ้องหน้าบิดาเขม็งด้วยความโกรธที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ถ้าแกไม่ไปก็ไม่ต้องย้ายคณะ!” น้ำเสียงของนายแพทย์ใหญ่เข้มขึ้นทันที
“ผม! ไม่!ไป!” ปฏิการเน้นเสียงทุกพยางค์อย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วรีบเดินออกจากห้องไปทันที