ธารทิพย์ บทที่ 64

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 63 http://ppantip.com/topic/33845459

            ดวงแก้วสว่างใสเบื้องหน้ายังเรืองรองอยู่ห่างๆ นำทางให้จิตล่องลอยตามไปอยู่เช่นนั้น ผ่านความเวิ้งว้างของจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีจุดจบ เคลื่อนผ่านหมู่ดาวระยิบระยับไปด้วยความทรงจำที่สับสนปะติดปะต่อไม่ได้คล้ายภาพฝันที่เลือนราง หลายครั้งที่จิตถามจิตเองว่ามาจากไหน และปลายทางคืออะไร ดวงแก้วใสไม่เคยบอกกล่าวให้รับรู้

                แถบแสงโค้งเงาขาวทอดยาวจากเบื้องซ้ายไปสู่ขวาดักขวางอยู่ห่างออกไป ปลายทางของเส้นแถบไกลลิบลับชี้หายไปในความมืดของจักรวาล ดวงแก้วใสยังคงนำจิตพุ่งเข้าไปหามิหวั่นเกรง ผ่านดวงดาวผู้ไม่มีแสงในตนเองหลายดวงอย่างช้าๆ ยิ่งเข้าใกล้แถบ แสงขาวก็เริ่มโตใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนจิตมองเห็นลำธารรุ้งที่ภายในอันเลื่อนไหลไปด้วยกระแสลมแห่งลิขิตพัดพา

                จิตมองดวงแก้วผู้นำพาต่อไป จนเมื่อเข้าใกล้แล้วดวงแก้วใสจึงเริ่มเปลี่ยนวิถีเป็นโค้งตามเข้าหาทิศทางไหลของกระแสรุ้งธารนั้น พลันเมื่อคงการเลื่อนไหลคล้อยตามกันไปกับเส้นรุ้งธารแล้วดวงแก้วจึงค่อยเลื่อนลงลดระดับทีละน้อย จนที่สุดจิตนั้นพลอยตามเข้าไปอยู่ในท่ามกลางลำธารแสงเจ็ดสีอันอบอุ่น จิตเฝ้ามองเส้นแสงสีสวยงามที่รายรอบล้อมอยู่ด้วยเพลินพา จนมิได้รับรู้ว่าดวงแก้วใสนั้นอันตรธานไป

                ธารรุ้งแห่งลิขิตรับช่วงนำพาจิตล่องลอยต่อไปในกระแส จิตปิติสุขอบอุ่นอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานจนเลือนลืมสิ้นแล้วอันนัยแห่งเวลาของจักรวาล เคลิ้มฝันแผ่วหวานจนผ่านมาถึงปลายทางอันลิขิตจำต้องปล่อยให้จิตล่วงหล่นไปตามทางที่ขีดไว้

                จิตได้ตั้งมั่นอีกครั้งอันท่ามกลางความมืด ไหลลอยตกลงช้าๆยังรู้สึกถึงการร่อนถลาโบยบินลงสู่เบื้องล่างต่ำลงๆ นานครู่ใหญ่ความมืดเบื้องล่างจึงค่อยๆปรากฏภาพเลือนรางให้จิตได้รับรู้เห็น จิตเพ่งสัมผัสภาพไปจนทั่ว ภาพผืนป่าใหญ่ในเวลาดึกสงัดชัดเจนขึ้นแล้วในดวงจิต วิถีที่ตกลงอย่างช้าๆร่อนผ่านยอดภูผาสูงทะมึนลงไปจนที่สุดจึงลื่นไถลไปตามยอดไม้เหนือผืนป่าเคลื่อนต่อไปข้างหน้าช้าลง

                ร่างมนุษย์สองร่างปรากฏขึ้นบนพื้นป่า ชายวัยกลางคนย่ำเท้าไปข้างหน้า ตามมาไม่ห่างนักเป็นชายฉกรรจ์ ทั้งสองก้าวเดินไปอย่างรีบเร่งไม่มีการพูดจา จิตลอยถลาตามคนทั้งสองไป ผ่านที่ราบเนินเขาจนในที่สุดจึงเข้าสู่เขตป่าโปร่งซึ่งมีเทือกผาอยู่ด้านขวามือไม่ห่างนัก

                เสียงหนึ่งแผดก้องขึ้นท่ามกลางความเงียบของป่า จิตผวาสะดุ้งสั่นไหว

                “ปัง ปัง ปังปัง”

                สองร่างมนุษย์ต่างพุ่งตัวลงยังโคนไม้ใหญ่ใกล้กัน เพื่อหลบจุดแสงที่พุ่งผ่านอย่างเร็วที่สุดเฉียดระดับหัวของเขาไป จิตจ้องเขม็งยังเหตุประหลาดที่เกิดขึ้น ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้นนั่งคุกเข่าข้างเดียวประทับบางสิ่งไว้บนบ่าในไม่ถึงอึดใจเพื่อจะกระทำบางอย่าง หากแต่ถูกหยุดยั้งไว้ด้วยชายวัยกลางคนที่โถมพุ่งตัวเข้าหากระแทกให้เสียหลักล้มลง

                “หยุด” ชายวัยกลางคนตะโกนสั้นๆ

                “อะไรพี่ผา” ชายฉกรรจ์กระแทกเสียงกระซิบถาม

                “ฟัง” ชายวัยกลางคนกระแทกเสียงกระซิบตอบสั้นๆอีกครั้ง

                มีเสียงทารกน้อยร้องจ้าจนงอหายดังมาจากต้นทางของเสียงปืนที่เป็นปากถ้ำเล็กๆ ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้นนั่งหลังพิงโคนไม้กำบังไว้ด้วยสีหน้าตระหนกระคนแปลกใจสุดขีดท่ามกลางความมืด เขาเอี้ยวคอใช้หางตามองรอดไปยังจุดนั้น

                “นั่นใคร” ชายฉกรรจ์ตะโกนถามไปสุดเสียง เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าปืนที่ยิงใส่เป็นข้าศึก

                “นั่นใคร” เสียงตะโกนถามซ้ำไปอีกครั้ง

                เสียงตะโกนก้องถามมาสองครั้งเข้าสู่โสตประสาทของผู้ลั่นไกปืน แม้สภาพร่างกายจะบาดเจ็บบอบช้ำและหนาวสั่น แต่จิตใจที่คงมั่นในรักภักดีของเธอจำได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงคือผัวรัก บุรุษที่เธอเพิ่งอธิษฐานขอต่อเจ้าป่าเจ้าเขาให้กลับมาได้ทันเวลา

                “ท่านพี่” เสียงร้องตอบแผ่วเบา

                “ท่าน..พี่…” จิตที่ดีใจที่สุดบีบเรี่ยวแรงให้กรีดร้องตอบไปจนสุดเสียง

                สองบุรุษที่นั่งหลบอยู่หลังโคนไม้ผวาเฮือกอย่างตกใจที่สุด ทั้งสองจำกระแสเสียงและคำเรียกที่ใช้นั้นได้ในทันที

                “ลอยา..ลอยา..ลอยา” ชายฉกรรจ์ร้องตะโกนเรียกสุดเสียงแล้วพุ่งตัวออกจากโคนไม้

                “ท่านพี่” เสียงร้องตอบกลับมาอีกครั้งเพื่อยืนยัน

                ทั้งสองวิ่งเข้าไปหาสุดฝีเท้าพลางกระชากไฟฉายออกจากเอวอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณของนักรบสาดแสงนำไปจนถึงปากถ้ำ ชายฉกรรจ์พุ่งเข้าไปประคองเมียรักกอดไว้แนบอก น้ำตาของเขาไหลหลั่งออกมาด้วยความรักห่วงใย ดวงตาเบิกโพลงตกใจตั้งคำถามในใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ชายวัยกลางคนที่วิ่งตามมาผ่านทั้งสองเข้าไปในถ้ำอย่างร้อนรนเพื่อค้นหาเสียงทารก ทันทีที่แสงไฟฉายสาดไปพบเขารีบอุ้มห่อผ้าสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มตัวเธอไว้ขึ้นมาประคองที่อกแล้วก้าวเท้ากลับออกมา

                “เกิดอะไรขึ้นลอยา” ชายฉกรรจ์รีบถาม

                “พวก..มัน..ตามมา..ยังเรือนเรา..จ้ะ” เมียรักตอบเบาๆ

                “แล้วโละล่ะ” เขาถามถึงอีกคนในครอบครัว

                “อ้ายโละ..เข้าป่า..ก่อน..มันจะมา..จ้ะ” เธอตอบผัวรัก

                “กอดลูกไว้ผู้พัน ฉันจะเร่งก่อไฟ” ชายวัยกลางคนพูดแล้วส่งทารกน้อยในห่อผ้าให้

                กองไฟใหญ่ลุกโพลงขึ้นแล้วที่หน้าถ้ำเพื่อเร่งให้ความอบอุ่นทารกและเมียรักผู้บาดเจ็บ จิตยังลอยดวงอยู่ใกล้ๆเฝ้าดูครอบครัวเล็กๆช่วยกันเยียวยาบาดแผลให้กัน นายทหารหนุ่มใหญ่ตระกองกอดยอดขวัญของเขาไว้ให้ความอบอุ่นกับจิตใจ พรานใหญ่ก็นั่งบรรจงป้อนอาหารป้อนยาให้ทารกน้อยในอ้อมแขน จิตรับรู้คำสนทนาของพวกเขาอย่างตั้งใจ เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด

                “ตะวันขึ้นแล้วพี่จะอุ้มเจ้ากลับไปตามหาโละ” นายทหารบอกเธอพลางฝ่ามือลูบไรผมบนหน้าผากให้อย่างแสนรัก

                “อย่าห่วงเลย โละมันรอดตัวได้” พรานใหญ่พูด

                “เพลานี้เรือนเราถูกเผาวอดสิ้น โละมันก็สิ้นสติอยู่กลางซากนั่นรอเราอยู่”

                “ท่านคิดจะกลับไปคืนแค้นต่อพวกมันรึไม่ ผู้พัน” พรานใหญ่จ้องหน้าถาม

                “เราหาโละให้เจอ” เขาตอบเงยหน้ามองไปทิศทางของเรือนชานที่ตั้งอยู่

                “แล้วเดินทางต่อไปลงเรือนที่ทะเลสาบกันดีกว่า”

                นายทหารหนุ่มใหญ่ตอบตามความตั้งใจเดิมของครอบครัวถึงปลายทางของพวกเขา ที่จะไปลงหลักปักฐานหลังจากลูกน้อยแข็งแรงแล้ว

                “ให้เวรกรรมมันหมดสิ้นกันตรงนี้เถอะ ฉันไม่ก่อกรรมใหม่อีกแล้วพี่ผา” เขาพูดแล้วหันมองเมียรักกับลูกน้อย

                พรานผาเจ้าแห่งพงไพรยิ้มตาเป็นประกายแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่สหายร่วมตายของเขาเบาๆ

                “มิเสียแรงที่เกิดมาพบกับท่านอีก ผู้พัน” พรานผายิ้มพูดเป็นปริศนาแล้วหันไปมองสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกปิติ

                จิตปิติไปด้วยกับเหตุการณ์และคำสนทนาของครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้ แล้วจึงเริ่มเคลื่อนคล้อยถอยห่างออกมา หมุนช้าๆอีกครั้งล่องลอยขึ้นสู่ความมืดเบื้องบน ทิ้งครอบครัวเล็กๆนั้นไว้เบื้องหลังบนผืนป่า จิตมองเห็นจุดแววใสดวงหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องสูงขึ้นไป กระพริบแสงเรียกหาให้ตามมาอีกครั้ง

                ดวงจิตลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนผืนป่าและขุนเขาเบื้องล่างเลือนหายไปในความมืดที่ว่างเปล่า จิตเข้าใกล้จุดแสงกระพริบจนเริ่มมองเห็นว่าเป็นแก้วใสดวงเดิมที่อันตรธานไปในลำธารรุ้งแห่งลิขิต ดวงแก้วกระพริบทักทายแล้วลอยเคลื่อนสู่เวิ้งว้างของความว่างเปล่า จิตจึงคล้อยลอยตามไปดังมีอำนาจดึงดูด

                ไม่นานนักในเวลาอันว่างเปล่า ดวงแก้วและจิตกระตุกไหวเบาๆด้วยสัมผัสอันแปลกปลอมที่เข้าปะทะ แว่วแผ่วเบาเหลือเกินด้วยเสียงของความโกลาหลเหมือนดังมาจากที่ห่างแสนไกล จิตนิ่งฟังขณะดวงแก้วสะท้านน้อยๆ

                ตลอดระยะทางที่ลอยล่องไปข้างหน้า สิ่งเร้าจากภพใดที่หนึ่งเริ่มรบกวนจนจิตกวัดไกว ดวงแก้วสดใสก็เริ่มหมองมัวลง เสียงโลหะกระทบกัน เสียงพูดคุยทั้งเบาทั้งดังฟังไม่ได้ศัพท์

                “มันเป็นอะไร..” บางประโยคที่จับความได้จากเสียงพูดที่เคยรู้จัก

                ตามมาอีกด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดปึงปัง เสียงฝีเท้าทั้งเดินทั้งวิ่งเสียงร้องสั่งสลับรับคำมากมายหลายเสียงปะปนมาจนถึงเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ดังลั่นในสัมผัสแรกแล้วค่อยๆแผ่วเบาลงจนเป็นเสียงกระซิก

                ความว่างเปล่ามืดดำรอบจิตที่แจ่มชัดเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะพร่าเลือนทีละน้อย ดวงแก้วใสห่างออกไปตรงหน้าผู้นำทางอยู่ชะลอการเคลื่อนที่ลงอย่างช้าๆจนหยุดนิ่งในที่สุด แล้วจึงแตกตัวเป็นดวงขาวสลัวสี่ดวง ลอยแยกห่างออกจากกันพอประมาณแล้วหยุดนิ่งลงทั้งหมด การรับรู้ของจิตเวลานี้จึงมีแต่เพียงแสงสลัวสี่ดวงเท่านั้นเวลานี้

                “ผลการตรวจครั้งที่สามด้วยเครื่องมือทันสมัยที่สุดพบว่า” นายแพทย์ใหญ่หัวหน้าคณะพูด

                “ร่างกายทุกส่วนและสมองเป็นปกติดีทุกอย่างครับ”

                “ขณะนี้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังค้นหางานวิจัยต่างๆอยู่”

                “เพื่อจะนำมาวินิจฉัยกันว่าสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรครับท่าน”

                หัวหน้าคณะแพทย์รายงานความคืบหน้าอาการของคนไข้ให้บุรุษผู้เป็นบิดาของคนไข้ได้รับทราบ

                “นี่ก็อาทิตย์หนึ่งแล้วนะ มันจะหนักลงกว่าเดิมหรือเปล่า” เขาพูดขมวดคิ้วสีหน้าหนักใจที่สุด

                “สมองมันจะพิกลพิการไปรึเปล่าหมอ” เขาขอความเห็น

                “ทางคณะแพทย์เราขอยืนยันว่าไม่ครับท่าน” แพทย์ใหญ่ตอบ

                “กราฟการทำงานของสมองชี้ว่าคนไข้มีการคิดอยู่ตลอดเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมา”

                “แสดงค่าความรู้สึกด้วยซ้ำครับ ว่ามีอารมณ์สุขเศร้าดีใจตกใจ”

                “เหมือนคนนอนหลับฝันปกติครับท่าน” แพทย์ใหญ่ยืนยัน

                บุรุษเจ้าของไข้หันไปยิ้มแล้วตบเบาๆบนฝ่ามือของภรรยาที่นั่งเกาะแขนเขาอยู่เพื่อปลอบใจ

                “พระคุ้มครองด้วยเถอะ” เขารำพึงเบาๆ

                เสียงเคาะไม่แรงนักดังขึ้นแล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกทันทีอย่างรีบร้อน

                “อาจารย์คะ คนไข้กระพริบตาค่ะ” พยาบาลหัวหน้าวอร์ดรีบรายงาน

                ทั้งคณะแพทย์หลายคนและพ่อแม่คนไข้ลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทันทีจนเสียงเลื่อนดังตึงตัง แพทย์ทั้งหมดก้าวเท้าอย่างเร็วตรงไปยังห้องคนไข้พิเศษระดับวีไอพีซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักโดยมีเจ้าของไข้ทั้งสองคนรีบวิ่งตามมา เจ้าหน้าที่ รปภ. ของโรงพยาบาล บอดี้การ์ดส่วนตัวและแม่บ้านผู้ติดตามแปดเก้าคนรีบถอยออกจากประตูห้องที่กลุ่มพยาบาลประจำวอร์ดเปิดรออยู่

                ภายในห้องคนไข้กว้างใหญ่โอ่อ่า ญาติชายหญิงสี่คนยืนเฝ้ามองด้วยสีหน้ากังวลเมื่อพ่อแม่คนไข้เข้าไปสมทบ แพทย์สามคนเข้าไปประชิดข้างเตียงคนไข้เพื่อตรวจอาการทันทีโดยมีพยาบาลสี่ห้าคนรอฟังคำสั่งและประจำหน้าที่อยู่กับอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณต่างๆของร่างกายหลายชิ้น ที่ต่อสายติดแปะไว้กับตัวคนไข้ ญาติคนไข้ทั้งหกคนยืนจ้องมองการปฏิบัติและเฝ้าฟังคำปรึกษาหารือของคณะแพทย์อย่างใจจดใจจ่อ

                “มีสัญญาณบอกว่าคนไข้กำลังเริ่มรู้สึกตัวครับ” แพทย์ใหญ่เดินมาบอก

                “ถ้าอย่างไรจะขอความกรุณาท่าน ตามเจ้าหน้าที่ไปพักอยู่ที่ห้องรับรองก่อนจะดีกว่าครับ”

                “อยู่ติดกันกับห้องนี้” แพทย์ใหญ่พูด

                “เงาะไม่อยากไปค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวปฏิเสธทันทีด้วยความเป็นห่วงพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้

                “ไปก่อนลูก คุณหมอท่านจะได้ทำงานสะดวก” สุรเกียรติบอกลูกสาว

                “พี ดูแลน้องด้วยลูก” บิดาหันไปบอกชายหนุ่มที่ยืนกุมมือเธออยู่

                “ครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มรับคำ

                “ไปเถอะครับเงาะ เราไปรอข้างนอก” เขาพูดเบาๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่