ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 63
http://ppantip.com/topic/33845459
ดวงแก้วสว่างใสเบื้องหน้ายังเรืองรองอยู่ห่างๆ นำทางให้จิตล่องลอยตามไปอยู่เช่นนั้น ผ่านความเวิ้งว้างของจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีจุดจบ เคลื่อนผ่านหมู่ดาวระยิบระยับไปด้วยความทรงจำที่สับสนปะติดปะต่อไม่ได้คล้ายภาพฝันที่เลือนราง หลายครั้งที่จิตถามจิตเองว่ามาจากไหน และปลายทางคืออะไร ดวงแก้วใสไม่เคยบอกกล่าวให้รับรู้
แถบแสงโค้งเงาขาวทอดยาวจากเบื้องซ้ายไปสู่ขวาดักขวางอยู่ห่างออกไป ปลายทางของเส้นแถบไกลลิบลับชี้หายไปในความมืดของจักรวาล ดวงแก้วใสยังคงนำจิตพุ่งเข้าไปหามิหวั่นเกรง ผ่านดวงดาวผู้ไม่มีแสงในตนเองหลายดวงอย่างช้าๆ ยิ่งเข้าใกล้แถบ แสงขาวก็เริ่มโตใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนจิตมองเห็นลำธารรุ้งที่ภายในอันเลื่อนไหลไปด้วยกระแสลมแห่งลิขิตพัดพา
จิตมองดวงแก้วผู้นำพาต่อไป จนเมื่อเข้าใกล้แล้วดวงแก้วใสจึงเริ่มเปลี่ยนวิถีเป็นโค้งตามเข้าหาทิศทางไหลของกระแสรุ้งธารนั้น พลันเมื่อคงการเลื่อนไหลคล้อยตามกันไปกับเส้นรุ้งธารแล้วดวงแก้วจึงค่อยเลื่อนลงลดระดับทีละน้อย จนที่สุดจิตนั้นพลอยตามเข้าไปอยู่ในท่ามกลางลำธารแสงเจ็ดสีอันอบอุ่น จิตเฝ้ามองเส้นแสงสีสวยงามที่รายรอบล้อมอยู่ด้วยเพลินพา จนมิได้รับรู้ว่าดวงแก้วใสนั้นอันตรธานไป
ธารรุ้งแห่งลิขิตรับช่วงนำพาจิตล่องลอยต่อไปในกระแส จิตปิติสุขอบอุ่นอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานจนเลือนลืมสิ้นแล้วอันนัยแห่งเวลาของจักรวาล เคลิ้มฝันแผ่วหวานจนผ่านมาถึงปลายทางอันลิขิตจำต้องปล่อยให้จิตล่วงหล่นไปตามทางที่ขีดไว้
จิตได้ตั้งมั่นอีกครั้งอันท่ามกลางความมืด ไหลลอยตกลงช้าๆยังรู้สึกถึงการร่อนถลาโบยบินลงสู่เบื้องล่างต่ำลงๆ นานครู่ใหญ่ความมืดเบื้องล่างจึงค่อยๆปรากฏภาพเลือนรางให้จิตได้รับรู้เห็น จิตเพ่งสัมผัสภาพไปจนทั่ว ภาพผืนป่าใหญ่ในเวลาดึกสงัดชัดเจนขึ้นแล้วในดวงจิต วิถีที่ตกลงอย่างช้าๆร่อนผ่านยอดภูผาสูงทะมึนลงไปจนที่สุดจึงลื่นไถลไปตามยอดไม้เหนือผืนป่าเคลื่อนต่อไปข้างหน้าช้าลง
ร่างมนุษย์สองร่างปรากฏขึ้นบนพื้นป่า ชายวัยกลางคนย่ำเท้าไปข้างหน้า ตามมาไม่ห่างนักเป็นชายฉกรรจ์ ทั้งสองก้าวเดินไปอย่างรีบเร่งไม่มีการพูดจา จิตลอยถลาตามคนทั้งสองไป ผ่านที่ราบเนินเขาจนในที่สุดจึงเข้าสู่เขตป่าโปร่งซึ่งมีเทือกผาอยู่ด้านขวามือไม่ห่างนัก
เสียงหนึ่งแผดก้องขึ้นท่ามกลางความเงียบของป่า จิตผวาสะดุ้งสั่นไหว
“ปัง ปัง ปังปัง”
สองร่างมนุษย์ต่างพุ่งตัวลงยังโคนไม้ใหญ่ใกล้กัน เพื่อหลบจุดแสงที่พุ่งผ่านอย่างเร็วที่สุดเฉียดระดับหัวของเขาไป จิตจ้องเขม็งยังเหตุประหลาดที่เกิดขึ้น ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้นนั่งคุกเข่าข้างเดียวประทับบางสิ่งไว้บนบ่าในไม่ถึงอึดใจเพื่อจะกระทำบางอย่าง หากแต่ถูกหยุดยั้งไว้ด้วยชายวัยกลางคนที่โถมพุ่งตัวเข้าหากระแทกให้เสียหลักล้มลง
“หยุด” ชายวัยกลางคนตะโกนสั้นๆ
“อะไรพี่ผา” ชายฉกรรจ์กระแทกเสียงกระซิบถาม
“ฟัง” ชายวัยกลางคนกระแทกเสียงกระซิบตอบสั้นๆอีกครั้ง
มีเสียงทารกน้อยร้องจ้าจนงอหายดังมาจากต้นทางของเสียงปืนที่เป็นปากถ้ำเล็กๆ ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้นนั่งหลังพิงโคนไม้กำบังไว้ด้วยสีหน้าตระหนกระคนแปลกใจสุดขีดท่ามกลางความมืด เขาเอี้ยวคอใช้หางตามองรอดไปยังจุดนั้น
“นั่นใคร” ชายฉกรรจ์ตะโกนถามไปสุดเสียง เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าปืนที่ยิงใส่เป็นข้าศึก
“นั่นใคร” เสียงตะโกนถามซ้ำไปอีกครั้ง
เสียงตะโกนก้องถามมาสองครั้งเข้าสู่โสตประสาทของผู้ลั่นไกปืน แม้สภาพร่างกายจะบาดเจ็บบอบช้ำและหนาวสั่น แต่จิตใจที่คงมั่นในรักภักดีของเธอจำได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงคือผัวรัก บุรุษที่เธอเพิ่งอธิษฐานขอต่อเจ้าป่าเจ้าเขาให้กลับมาได้ทันเวลา
“ท่านพี่” เสียงร้องตอบแผ่วเบา
“ท่าน..พี่…” จิตที่ดีใจที่สุดบีบเรี่ยวแรงให้กรีดร้องตอบไปจนสุดเสียง
สองบุรุษที่นั่งหลบอยู่หลังโคนไม้ผวาเฮือกอย่างตกใจที่สุด ทั้งสองจำกระแสเสียงและคำเรียกที่ใช้นั้นได้ในทันที
“ลอยา..ลอยา..ลอยา” ชายฉกรรจ์ร้องตะโกนเรียกสุดเสียงแล้วพุ่งตัวออกจากโคนไม้
“ท่านพี่” เสียงร้องตอบกลับมาอีกครั้งเพื่อยืนยัน
ทั้งสองวิ่งเข้าไปหาสุดฝีเท้าพลางกระชากไฟฉายออกจากเอวอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณของนักรบสาดแสงนำไปจนถึงปากถ้ำ ชายฉกรรจ์พุ่งเข้าไปประคองเมียรักกอดไว้แนบอก น้ำตาของเขาไหลหลั่งออกมาด้วยความรักห่วงใย ดวงตาเบิกโพลงตกใจตั้งคำถามในใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ชายวัยกลางคนที่วิ่งตามมาผ่านทั้งสองเข้าไปในถ้ำอย่างร้อนรนเพื่อค้นหาเสียงทารก ทันทีที่แสงไฟฉายสาดไปพบเขารีบอุ้มห่อผ้าสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มตัวเธอไว้ขึ้นมาประคองที่อกแล้วก้าวเท้ากลับออกมา
“เกิดอะไรขึ้นลอยา” ชายฉกรรจ์รีบถาม
“พวก..มัน..ตามมา..ยังเรือนเรา..จ้ะ” เมียรักตอบเบาๆ
“แล้วโละล่ะ” เขาถามถึงอีกคนในครอบครัว
“อ้ายโละ..เข้าป่า..ก่อน..มันจะมา..จ้ะ” เธอตอบผัวรัก
“กอดลูกไว้ผู้พัน ฉันจะเร่งก่อไฟ” ชายวัยกลางคนพูดแล้วส่งทารกน้อยในห่อผ้าให้
กองไฟใหญ่ลุกโพลงขึ้นแล้วที่หน้าถ้ำเพื่อเร่งให้ความอบอุ่นทารกและเมียรักผู้บาดเจ็บ จิตยังลอยดวงอยู่ใกล้ๆเฝ้าดูครอบครัวเล็กๆช่วยกันเยียวยาบาดแผลให้กัน นายทหารหนุ่มใหญ่ตระกองกอดยอดขวัญของเขาไว้ให้ความอบอุ่นกับจิตใจ พรานใหญ่ก็นั่งบรรจงป้อนอาหารป้อนยาให้ทารกน้อยในอ้อมแขน จิตรับรู้คำสนทนาของพวกเขาอย่างตั้งใจ เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด
“ตะวันขึ้นแล้วพี่จะอุ้มเจ้ากลับไปตามหาโละ” นายทหารบอกเธอพลางฝ่ามือลูบไรผมบนหน้าผากให้อย่างแสนรัก
“อย่าห่วงเลย โละมันรอดตัวได้” พรานใหญ่พูด
“เพลานี้เรือนเราถูกเผาวอดสิ้น โละมันก็สิ้นสติอยู่กลางซากนั่นรอเราอยู่”
“ท่านคิดจะกลับไปคืนแค้นต่อพวกมันรึไม่ ผู้พัน” พรานใหญ่จ้องหน้าถาม
“เราหาโละให้เจอ” เขาตอบเงยหน้ามองไปทิศทางของเรือนชานที่ตั้งอยู่
“แล้วเดินทางต่อไปลงเรือนที่ทะเลสาบกันดีกว่า”
นายทหารหนุ่มใหญ่ตอบตามความตั้งใจเดิมของครอบครัวถึงปลายทางของพวกเขา ที่จะไปลงหลักปักฐานหลังจากลูกน้อยแข็งแรงแล้ว
“ให้เวรกรรมมันหมดสิ้นกันตรงนี้เถอะ ฉันไม่ก่อกรรมใหม่อีกแล้วพี่ผา” เขาพูดแล้วหันมองเมียรักกับลูกน้อย
พรานผาเจ้าแห่งพงไพรยิ้มตาเป็นประกายแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่สหายร่วมตายของเขาเบาๆ
“มิเสียแรงที่เกิดมาพบกับท่านอีก ผู้พัน” พรานผายิ้มพูดเป็นปริศนาแล้วหันไปมองสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกปิติ
จิตปิติไปด้วยกับเหตุการณ์และคำสนทนาของครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้ แล้วจึงเริ่มเคลื่อนคล้อยถอยห่างออกมา หมุนช้าๆอีกครั้งล่องลอยขึ้นสู่ความมืดเบื้องบน ทิ้งครอบครัวเล็กๆนั้นไว้เบื้องหลังบนผืนป่า จิตมองเห็นจุดแววใสดวงหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องสูงขึ้นไป กระพริบแสงเรียกหาให้ตามมาอีกครั้ง
ดวงจิตลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนผืนป่าและขุนเขาเบื้องล่างเลือนหายไปในความมืดที่ว่างเปล่า จิตเข้าใกล้จุดแสงกระพริบจนเริ่มมองเห็นว่าเป็นแก้วใสดวงเดิมที่อันตรธานไปในลำธารรุ้งแห่งลิขิต ดวงแก้วกระพริบทักทายแล้วลอยเคลื่อนสู่เวิ้งว้างของความว่างเปล่า จิตจึงคล้อยลอยตามไปดังมีอำนาจดึงดูด
ไม่นานนักในเวลาอันว่างเปล่า ดวงแก้วและจิตกระตุกไหวเบาๆด้วยสัมผัสอันแปลกปลอมที่เข้าปะทะ แว่วแผ่วเบาเหลือเกินด้วยเสียงของความโกลาหลเหมือนดังมาจากที่ห่างแสนไกล จิตนิ่งฟังขณะดวงแก้วสะท้านน้อยๆ
ตลอดระยะทางที่ลอยล่องไปข้างหน้า สิ่งเร้าจากภพใดที่หนึ่งเริ่มรบกวนจนจิตกวัดไกว ดวงแก้วสดใสก็เริ่มหมองมัวลง เสียงโลหะกระทบกัน เสียงพูดคุยทั้งเบาทั้งดังฟังไม่ได้ศัพท์
“มันเป็นอะไร..” บางประโยคที่จับความได้จากเสียงพูดที่เคยรู้จัก
ตามมาอีกด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดปึงปัง เสียงฝีเท้าทั้งเดินทั้งวิ่งเสียงร้องสั่งสลับรับคำมากมายหลายเสียงปะปนมาจนถึงเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ดังลั่นในสัมผัสแรกแล้วค่อยๆแผ่วเบาลงจนเป็นเสียงกระซิก
ความว่างเปล่ามืดดำรอบจิตที่แจ่มชัดเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะพร่าเลือนทีละน้อย ดวงแก้วใสห่างออกไปตรงหน้าผู้นำทางอยู่ชะลอการเคลื่อนที่ลงอย่างช้าๆจนหยุดนิ่งในที่สุด แล้วจึงแตกตัวเป็นดวงขาวสลัวสี่ดวง ลอยแยกห่างออกจากกันพอประมาณแล้วหยุดนิ่งลงทั้งหมด การรับรู้ของจิตเวลานี้จึงมีแต่เพียงแสงสลัวสี่ดวงเท่านั้นเวลานี้
“ผลการตรวจครั้งที่สามด้วยเครื่องมือทันสมัยที่สุดพบว่า” นายแพทย์ใหญ่หัวหน้าคณะพูด
“ร่างกายทุกส่วนและสมองเป็นปกติดีทุกอย่างครับ”
“ขณะนี้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังค้นหางานวิจัยต่างๆอยู่”
“เพื่อจะนำมาวินิจฉัยกันว่าสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรครับท่าน”
หัวหน้าคณะแพทย์รายงานความคืบหน้าอาการของคนไข้ให้บุรุษผู้เป็นบิดาของคนไข้ได้รับทราบ
“นี่ก็อาทิตย์หนึ่งแล้วนะ มันจะหนักลงกว่าเดิมหรือเปล่า” เขาพูดขมวดคิ้วสีหน้าหนักใจที่สุด
“สมองมันจะพิกลพิการไปรึเปล่าหมอ” เขาขอความเห็น
“ทางคณะแพทย์เราขอยืนยันว่าไม่ครับท่าน” แพทย์ใหญ่ตอบ
“กราฟการทำงานของสมองชี้ว่าคนไข้มีการคิดอยู่ตลอดเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมา”
“แสดงค่าความรู้สึกด้วยซ้ำครับ ว่ามีอารมณ์สุขเศร้าดีใจตกใจ”
“เหมือนคนนอนหลับฝันปกติครับท่าน” แพทย์ใหญ่ยืนยัน
บุรุษเจ้าของไข้หันไปยิ้มแล้วตบเบาๆบนฝ่ามือของภรรยาที่นั่งเกาะแขนเขาอยู่เพื่อปลอบใจ
“พระคุ้มครองด้วยเถอะ” เขารำพึงเบาๆ
เสียงเคาะไม่แรงนักดังขึ้นแล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกทันทีอย่างรีบร้อน
“อาจารย์คะ คนไข้กระพริบตาค่ะ” พยาบาลหัวหน้าวอร์ดรีบรายงาน
ทั้งคณะแพทย์หลายคนและพ่อแม่คนไข้ลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทันทีจนเสียงเลื่อนดังตึงตัง แพทย์ทั้งหมดก้าวเท้าอย่างเร็วตรงไปยังห้องคนไข้พิเศษระดับวีไอพีซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักโดยมีเจ้าของไข้ทั้งสองคนรีบวิ่งตามมา เจ้าหน้าที่ รปภ. ของโรงพยาบาล บอดี้การ์ดส่วนตัวและแม่บ้านผู้ติดตามแปดเก้าคนรีบถอยออกจากประตูห้องที่กลุ่มพยาบาลประจำวอร์ดเปิดรออยู่
ภายในห้องคนไข้กว้างใหญ่โอ่อ่า ญาติชายหญิงสี่คนยืนเฝ้ามองด้วยสีหน้ากังวลเมื่อพ่อแม่คนไข้เข้าไปสมทบ แพทย์สามคนเข้าไปประชิดข้างเตียงคนไข้เพื่อตรวจอาการทันทีโดยมีพยาบาลสี่ห้าคนรอฟังคำสั่งและประจำหน้าที่อยู่กับอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณต่างๆของร่างกายหลายชิ้น ที่ต่อสายติดแปะไว้กับตัวคนไข้ ญาติคนไข้ทั้งหกคนยืนจ้องมองการปฏิบัติและเฝ้าฟังคำปรึกษาหารือของคณะแพทย์อย่างใจจดใจจ่อ
“มีสัญญาณบอกว่าคนไข้กำลังเริ่มรู้สึกตัวครับ” แพทย์ใหญ่เดินมาบอก
“ถ้าอย่างไรจะขอความกรุณาท่าน ตามเจ้าหน้าที่ไปพักอยู่ที่ห้องรับรองก่อนจะดีกว่าครับ”
“อยู่ติดกันกับห้องนี้” แพทย์ใหญ่พูด
“เงาะไม่อยากไปค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวปฏิเสธทันทีด้วยความเป็นห่วงพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้
“ไปก่อนลูก คุณหมอท่านจะได้ทำงานสะดวก” สุรเกียรติบอกลูกสาว
“พี ดูแลน้องด้วยลูก” บิดาหันไปบอกชายหนุ่มที่ยืนกุมมือเธออยู่
“ครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มรับคำ
“ไปเถอะครับเงาะ เราไปรอข้างนอก” เขาพูดเบาๆ
ธารทิพย์ บทที่ 64
ธารทิพย์ บทที่ 63 http://ppantip.com/topic/33845459
ดวงแก้วสว่างใสเบื้องหน้ายังเรืองรองอยู่ห่างๆ นำทางให้จิตล่องลอยตามไปอยู่เช่นนั้น ผ่านความเวิ้งว้างของจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีจุดจบ เคลื่อนผ่านหมู่ดาวระยิบระยับไปด้วยความทรงจำที่สับสนปะติดปะต่อไม่ได้คล้ายภาพฝันที่เลือนราง หลายครั้งที่จิตถามจิตเองว่ามาจากไหน และปลายทางคืออะไร ดวงแก้วใสไม่เคยบอกกล่าวให้รับรู้
แถบแสงโค้งเงาขาวทอดยาวจากเบื้องซ้ายไปสู่ขวาดักขวางอยู่ห่างออกไป ปลายทางของเส้นแถบไกลลิบลับชี้หายไปในความมืดของจักรวาล ดวงแก้วใสยังคงนำจิตพุ่งเข้าไปหามิหวั่นเกรง ผ่านดวงดาวผู้ไม่มีแสงในตนเองหลายดวงอย่างช้าๆ ยิ่งเข้าใกล้แถบ แสงขาวก็เริ่มโตใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนจิตมองเห็นลำธารรุ้งที่ภายในอันเลื่อนไหลไปด้วยกระแสลมแห่งลิขิตพัดพา
จิตมองดวงแก้วผู้นำพาต่อไป จนเมื่อเข้าใกล้แล้วดวงแก้วใสจึงเริ่มเปลี่ยนวิถีเป็นโค้งตามเข้าหาทิศทางไหลของกระแสรุ้งธารนั้น พลันเมื่อคงการเลื่อนไหลคล้อยตามกันไปกับเส้นรุ้งธารแล้วดวงแก้วจึงค่อยเลื่อนลงลดระดับทีละน้อย จนที่สุดจิตนั้นพลอยตามเข้าไปอยู่ในท่ามกลางลำธารแสงเจ็ดสีอันอบอุ่น จิตเฝ้ามองเส้นแสงสีสวยงามที่รายรอบล้อมอยู่ด้วยเพลินพา จนมิได้รับรู้ว่าดวงแก้วใสนั้นอันตรธานไป
ธารรุ้งแห่งลิขิตรับช่วงนำพาจิตล่องลอยต่อไปในกระแส จิตปิติสุขอบอุ่นอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานจนเลือนลืมสิ้นแล้วอันนัยแห่งเวลาของจักรวาล เคลิ้มฝันแผ่วหวานจนผ่านมาถึงปลายทางอันลิขิตจำต้องปล่อยให้จิตล่วงหล่นไปตามทางที่ขีดไว้
จิตได้ตั้งมั่นอีกครั้งอันท่ามกลางความมืด ไหลลอยตกลงช้าๆยังรู้สึกถึงการร่อนถลาโบยบินลงสู่เบื้องล่างต่ำลงๆ นานครู่ใหญ่ความมืดเบื้องล่างจึงค่อยๆปรากฏภาพเลือนรางให้จิตได้รับรู้เห็น จิตเพ่งสัมผัสภาพไปจนทั่ว ภาพผืนป่าใหญ่ในเวลาดึกสงัดชัดเจนขึ้นแล้วในดวงจิต วิถีที่ตกลงอย่างช้าๆร่อนผ่านยอดภูผาสูงทะมึนลงไปจนที่สุดจึงลื่นไถลไปตามยอดไม้เหนือผืนป่าเคลื่อนต่อไปข้างหน้าช้าลง
ร่างมนุษย์สองร่างปรากฏขึ้นบนพื้นป่า ชายวัยกลางคนย่ำเท้าไปข้างหน้า ตามมาไม่ห่างนักเป็นชายฉกรรจ์ ทั้งสองก้าวเดินไปอย่างรีบเร่งไม่มีการพูดจา จิตลอยถลาตามคนทั้งสองไป ผ่านที่ราบเนินเขาจนในที่สุดจึงเข้าสู่เขตป่าโปร่งซึ่งมีเทือกผาอยู่ด้านขวามือไม่ห่างนัก
เสียงหนึ่งแผดก้องขึ้นท่ามกลางความเงียบของป่า จิตผวาสะดุ้งสั่นไหว
“ปัง ปัง ปังปัง”
สองร่างมนุษย์ต่างพุ่งตัวลงยังโคนไม้ใหญ่ใกล้กัน เพื่อหลบจุดแสงที่พุ่งผ่านอย่างเร็วที่สุดเฉียดระดับหัวของเขาไป จิตจ้องเขม็งยังเหตุประหลาดที่เกิดขึ้น ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้นนั่งคุกเข่าข้างเดียวประทับบางสิ่งไว้บนบ่าในไม่ถึงอึดใจเพื่อจะกระทำบางอย่าง หากแต่ถูกหยุดยั้งไว้ด้วยชายวัยกลางคนที่โถมพุ่งตัวเข้าหากระแทกให้เสียหลักล้มลง
“หยุด” ชายวัยกลางคนตะโกนสั้นๆ
“อะไรพี่ผา” ชายฉกรรจ์กระแทกเสียงกระซิบถาม
“ฟัง” ชายวัยกลางคนกระแทกเสียงกระซิบตอบสั้นๆอีกครั้ง
มีเสียงทารกน้อยร้องจ้าจนงอหายดังมาจากต้นทางของเสียงปืนที่เป็นปากถ้ำเล็กๆ ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้นนั่งหลังพิงโคนไม้กำบังไว้ด้วยสีหน้าตระหนกระคนแปลกใจสุดขีดท่ามกลางความมืด เขาเอี้ยวคอใช้หางตามองรอดไปยังจุดนั้น
“นั่นใคร” ชายฉกรรจ์ตะโกนถามไปสุดเสียง เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าปืนที่ยิงใส่เป็นข้าศึก
“นั่นใคร” เสียงตะโกนถามซ้ำไปอีกครั้ง
เสียงตะโกนก้องถามมาสองครั้งเข้าสู่โสตประสาทของผู้ลั่นไกปืน แม้สภาพร่างกายจะบาดเจ็บบอบช้ำและหนาวสั่น แต่จิตใจที่คงมั่นในรักภักดีของเธอจำได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงคือผัวรัก บุรุษที่เธอเพิ่งอธิษฐานขอต่อเจ้าป่าเจ้าเขาให้กลับมาได้ทันเวลา
“ท่านพี่” เสียงร้องตอบแผ่วเบา
“ท่าน..พี่…” จิตที่ดีใจที่สุดบีบเรี่ยวแรงให้กรีดร้องตอบไปจนสุดเสียง
สองบุรุษที่นั่งหลบอยู่หลังโคนไม้ผวาเฮือกอย่างตกใจที่สุด ทั้งสองจำกระแสเสียงและคำเรียกที่ใช้นั้นได้ในทันที
“ลอยา..ลอยา..ลอยา” ชายฉกรรจ์ร้องตะโกนเรียกสุดเสียงแล้วพุ่งตัวออกจากโคนไม้
“ท่านพี่” เสียงร้องตอบกลับมาอีกครั้งเพื่อยืนยัน
ทั้งสองวิ่งเข้าไปหาสุดฝีเท้าพลางกระชากไฟฉายออกจากเอวอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณของนักรบสาดแสงนำไปจนถึงปากถ้ำ ชายฉกรรจ์พุ่งเข้าไปประคองเมียรักกอดไว้แนบอก น้ำตาของเขาไหลหลั่งออกมาด้วยความรักห่วงใย ดวงตาเบิกโพลงตกใจตั้งคำถามในใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ชายวัยกลางคนที่วิ่งตามมาผ่านทั้งสองเข้าไปในถ้ำอย่างร้อนรนเพื่อค้นหาเสียงทารก ทันทีที่แสงไฟฉายสาดไปพบเขารีบอุ้มห่อผ้าสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มตัวเธอไว้ขึ้นมาประคองที่อกแล้วก้าวเท้ากลับออกมา
“เกิดอะไรขึ้นลอยา” ชายฉกรรจ์รีบถาม
“พวก..มัน..ตามมา..ยังเรือนเรา..จ้ะ” เมียรักตอบเบาๆ
“แล้วโละล่ะ” เขาถามถึงอีกคนในครอบครัว
“อ้ายโละ..เข้าป่า..ก่อน..มันจะมา..จ้ะ” เธอตอบผัวรัก
“กอดลูกไว้ผู้พัน ฉันจะเร่งก่อไฟ” ชายวัยกลางคนพูดแล้วส่งทารกน้อยในห่อผ้าให้
กองไฟใหญ่ลุกโพลงขึ้นแล้วที่หน้าถ้ำเพื่อเร่งให้ความอบอุ่นทารกและเมียรักผู้บาดเจ็บ จิตยังลอยดวงอยู่ใกล้ๆเฝ้าดูครอบครัวเล็กๆช่วยกันเยียวยาบาดแผลให้กัน นายทหารหนุ่มใหญ่ตระกองกอดยอดขวัญของเขาไว้ให้ความอบอุ่นกับจิตใจ พรานใหญ่ก็นั่งบรรจงป้อนอาหารป้อนยาให้ทารกน้อยในอ้อมแขน จิตรับรู้คำสนทนาของพวกเขาอย่างตั้งใจ เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด
“ตะวันขึ้นแล้วพี่จะอุ้มเจ้ากลับไปตามหาโละ” นายทหารบอกเธอพลางฝ่ามือลูบไรผมบนหน้าผากให้อย่างแสนรัก
“อย่าห่วงเลย โละมันรอดตัวได้” พรานใหญ่พูด
“เพลานี้เรือนเราถูกเผาวอดสิ้น โละมันก็สิ้นสติอยู่กลางซากนั่นรอเราอยู่”
“ท่านคิดจะกลับไปคืนแค้นต่อพวกมันรึไม่ ผู้พัน” พรานใหญ่จ้องหน้าถาม
“เราหาโละให้เจอ” เขาตอบเงยหน้ามองไปทิศทางของเรือนชานที่ตั้งอยู่
“แล้วเดินทางต่อไปลงเรือนที่ทะเลสาบกันดีกว่า”
นายทหารหนุ่มใหญ่ตอบตามความตั้งใจเดิมของครอบครัวถึงปลายทางของพวกเขา ที่จะไปลงหลักปักฐานหลังจากลูกน้อยแข็งแรงแล้ว
“ให้เวรกรรมมันหมดสิ้นกันตรงนี้เถอะ ฉันไม่ก่อกรรมใหม่อีกแล้วพี่ผา” เขาพูดแล้วหันมองเมียรักกับลูกน้อย
พรานผาเจ้าแห่งพงไพรยิ้มตาเป็นประกายแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่สหายร่วมตายของเขาเบาๆ
“มิเสียแรงที่เกิดมาพบกับท่านอีก ผู้พัน” พรานผายิ้มพูดเป็นปริศนาแล้วหันไปมองสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกปิติ
จิตปิติไปด้วยกับเหตุการณ์และคำสนทนาของครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้ แล้วจึงเริ่มเคลื่อนคล้อยถอยห่างออกมา หมุนช้าๆอีกครั้งล่องลอยขึ้นสู่ความมืดเบื้องบน ทิ้งครอบครัวเล็กๆนั้นไว้เบื้องหลังบนผืนป่า จิตมองเห็นจุดแววใสดวงหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องสูงขึ้นไป กระพริบแสงเรียกหาให้ตามมาอีกครั้ง
ดวงจิตลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนผืนป่าและขุนเขาเบื้องล่างเลือนหายไปในความมืดที่ว่างเปล่า จิตเข้าใกล้จุดแสงกระพริบจนเริ่มมองเห็นว่าเป็นแก้วใสดวงเดิมที่อันตรธานไปในลำธารรุ้งแห่งลิขิต ดวงแก้วกระพริบทักทายแล้วลอยเคลื่อนสู่เวิ้งว้างของความว่างเปล่า จิตจึงคล้อยลอยตามไปดังมีอำนาจดึงดูด
ไม่นานนักในเวลาอันว่างเปล่า ดวงแก้วและจิตกระตุกไหวเบาๆด้วยสัมผัสอันแปลกปลอมที่เข้าปะทะ แว่วแผ่วเบาเหลือเกินด้วยเสียงของความโกลาหลเหมือนดังมาจากที่ห่างแสนไกล จิตนิ่งฟังขณะดวงแก้วสะท้านน้อยๆ
ตลอดระยะทางที่ลอยล่องไปข้างหน้า สิ่งเร้าจากภพใดที่หนึ่งเริ่มรบกวนจนจิตกวัดไกว ดวงแก้วสดใสก็เริ่มหมองมัวลง เสียงโลหะกระทบกัน เสียงพูดคุยทั้งเบาทั้งดังฟังไม่ได้ศัพท์
“มันเป็นอะไร..” บางประโยคที่จับความได้จากเสียงพูดที่เคยรู้จัก
ตามมาอีกด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดปึงปัง เสียงฝีเท้าทั้งเดินทั้งวิ่งเสียงร้องสั่งสลับรับคำมากมายหลายเสียงปะปนมาจนถึงเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ดังลั่นในสัมผัสแรกแล้วค่อยๆแผ่วเบาลงจนเป็นเสียงกระซิก
ความว่างเปล่ามืดดำรอบจิตที่แจ่มชัดเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะพร่าเลือนทีละน้อย ดวงแก้วใสห่างออกไปตรงหน้าผู้นำทางอยู่ชะลอการเคลื่อนที่ลงอย่างช้าๆจนหยุดนิ่งในที่สุด แล้วจึงแตกตัวเป็นดวงขาวสลัวสี่ดวง ลอยแยกห่างออกจากกันพอประมาณแล้วหยุดนิ่งลงทั้งหมด การรับรู้ของจิตเวลานี้จึงมีแต่เพียงแสงสลัวสี่ดวงเท่านั้นเวลานี้
“ผลการตรวจครั้งที่สามด้วยเครื่องมือทันสมัยที่สุดพบว่า” นายแพทย์ใหญ่หัวหน้าคณะพูด
“ร่างกายทุกส่วนและสมองเป็นปกติดีทุกอย่างครับ”
“ขณะนี้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังค้นหางานวิจัยต่างๆอยู่”
“เพื่อจะนำมาวินิจฉัยกันว่าสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรครับท่าน”
หัวหน้าคณะแพทย์รายงานความคืบหน้าอาการของคนไข้ให้บุรุษผู้เป็นบิดาของคนไข้ได้รับทราบ
“นี่ก็อาทิตย์หนึ่งแล้วนะ มันจะหนักลงกว่าเดิมหรือเปล่า” เขาพูดขมวดคิ้วสีหน้าหนักใจที่สุด
“สมองมันจะพิกลพิการไปรึเปล่าหมอ” เขาขอความเห็น
“ทางคณะแพทย์เราขอยืนยันว่าไม่ครับท่าน” แพทย์ใหญ่ตอบ
“กราฟการทำงานของสมองชี้ว่าคนไข้มีการคิดอยู่ตลอดเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมา”
“แสดงค่าความรู้สึกด้วยซ้ำครับ ว่ามีอารมณ์สุขเศร้าดีใจตกใจ”
“เหมือนคนนอนหลับฝันปกติครับท่าน” แพทย์ใหญ่ยืนยัน
บุรุษเจ้าของไข้หันไปยิ้มแล้วตบเบาๆบนฝ่ามือของภรรยาที่นั่งเกาะแขนเขาอยู่เพื่อปลอบใจ
“พระคุ้มครองด้วยเถอะ” เขารำพึงเบาๆ
เสียงเคาะไม่แรงนักดังขึ้นแล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกทันทีอย่างรีบร้อน
“อาจารย์คะ คนไข้กระพริบตาค่ะ” พยาบาลหัวหน้าวอร์ดรีบรายงาน
ทั้งคณะแพทย์หลายคนและพ่อแม่คนไข้ลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทันทีจนเสียงเลื่อนดังตึงตัง แพทย์ทั้งหมดก้าวเท้าอย่างเร็วตรงไปยังห้องคนไข้พิเศษระดับวีไอพีซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักโดยมีเจ้าของไข้ทั้งสองคนรีบวิ่งตามมา เจ้าหน้าที่ รปภ. ของโรงพยาบาล บอดี้การ์ดส่วนตัวและแม่บ้านผู้ติดตามแปดเก้าคนรีบถอยออกจากประตูห้องที่กลุ่มพยาบาลประจำวอร์ดเปิดรออยู่
ภายในห้องคนไข้กว้างใหญ่โอ่อ่า ญาติชายหญิงสี่คนยืนเฝ้ามองด้วยสีหน้ากังวลเมื่อพ่อแม่คนไข้เข้าไปสมทบ แพทย์สามคนเข้าไปประชิดข้างเตียงคนไข้เพื่อตรวจอาการทันทีโดยมีพยาบาลสี่ห้าคนรอฟังคำสั่งและประจำหน้าที่อยู่กับอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณต่างๆของร่างกายหลายชิ้น ที่ต่อสายติดแปะไว้กับตัวคนไข้ ญาติคนไข้ทั้งหกคนยืนจ้องมองการปฏิบัติและเฝ้าฟังคำปรึกษาหารือของคณะแพทย์อย่างใจจดใจจ่อ
“มีสัญญาณบอกว่าคนไข้กำลังเริ่มรู้สึกตัวครับ” แพทย์ใหญ่เดินมาบอก
“ถ้าอย่างไรจะขอความกรุณาท่าน ตามเจ้าหน้าที่ไปพักอยู่ที่ห้องรับรองก่อนจะดีกว่าครับ”
“อยู่ติดกันกับห้องนี้” แพทย์ใหญ่พูด
“เงาะไม่อยากไปค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวปฏิเสธทันทีด้วยความเป็นห่วงพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้
“ไปก่อนลูก คุณหมอท่านจะได้ทำงานสะดวก” สุรเกียรติบอกลูกสาว
“พี ดูแลน้องด้วยลูก” บิดาหันไปบอกชายหนุ่มที่ยืนกุมมือเธออยู่
“ครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มรับคำ
“ไปเถอะครับเงาะ เราไปรอข้างนอก” เขาพูดเบาๆ