เมื่อส่งชลนาหน้าตึกทรงสวยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิงห์ก็มุ่งหน้าไปทำหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยต่อ แต่เนื่องจากการจราจรวันนี้ไม่ค่อยติดขัดนัก จึงทำให้เขามาถึงเร็วกว่าที่เคย เขายังพอมีเวลาว่างราวๆหนึ่งชั่วโมงก่อนสอนในช่วงเช้า สิงห์จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งของตนแทน
“สวัสดีค่ะ คุณสิงห์” เสียงหวานที่ส่งมาทันทีที่สิงห์กรอกเสียงลงไปนั้นสร้างความแปลกใจให้กับสิงห์เป็นอย่างมาก เพราะเขามั่นใจว่าเขาต่อสายไปที่บ้านของตัวเองที่ภูเก็ตเพื่อถามไถ่ความเรียบร้อยของบ้านที่ถูกทิ้งให้อยู่ในการดูแลของคนเก่าคนแก่ในบ้านมาหลายเดือนแต่ไม่มีเจ้านายอยู่ แต่คนที่รับสายกลับเป็นคนซึ่งไม่น่าจะมีเหตุผลไปอยู่บ้านนั้นได้
“สวัสดี นั่นใช่อินทิรารึเปล่า” สิงห์ถามย้ำเพื่อความมั่นใจ หารู้ไม่ว่าคนในสายกำลังยิ้มดีใจเมื่อเขาจำเสียงของเธอได้ดี ใบหน้าหวานมีรอยจางเรื่อๆ ก่อนจะรีบเก็บอาการเมื่อคนในบ้านเดินผ่านมา
“ใช่ค่ะ พอดีอินแวะเข้ามาจ่ายเงินเดือนให้คนงานที่บ้านพอดี ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังไม่มีใครว่างเลยอินก็เลยรับให้น่ะค่ะ”
“อ่อ นายนุเขาฝากเธอมาจ่ายเหรอ” สิงห์หมายถึงผู้ช่วยส่วนตัวของเขาซึ่งเป็นพี่ชายของหญิงสาววัยเดียวกับชลนานั่นเอง
“ค่ะ พี่นุฝากอินมา พอดีพี่นุติดธุระมาไม่ได้น่ะค่ะ” อินท์ทิราบอกเหตุผลที่พี่ชายมาไม่ได้ มือของเธอมีเหงื่อชื้นเล็กน้อยเพราะประหม่า
“ก็ดี ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่มีอะไร แค่จะโทรมาถามคนที่บ้านเท่านั้นเอง”
เมื่อธุระเสร็จสิ้น สิงห์ก็ตั้งใจจะวางสาย ถ้าไม่ติดที่ว่าจะโดนรั้งไว้ด้วยเสียงหลงๆของอินท์ทิราเสียก่อน สิงห์จึงต้องกรอกเสียงลงไปอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวเอ่ยรั้งไว้แล้วก็ทำเสียงอึกอัก ไม่พูด
“เธอมีอะไรอีกหรือ”
“เอ่อ..ปะ เปล่าค่ะ อินไม่มีอะไรแล้ว”
สิงห์วางสายอย่างนึกติดตลกเมื่อนึกถึงสาวน้อยเรียบร้อยน้องสาวของ อนุวัตร ผู้ช่วยหนุ่มใหญ่ของเขาที่ภูเก็ต และเป็นคนดูแลโรงแรมและรีสอร์ทในเครือของเขาทั้งหมดแทนเขาอยู่ในตอนนี้ ที่ไม่เคยจะกล้าพูดกับเขาสักคำ เอาแต่หลบอยู่หลังพี่ชายและมีท่าทางเกรงเขาราวกลับเขาเป็นผู้ร้ายก็ไม่ปาน
สิงห์หารู้ไม่ว่าท่าทีจากหญิงสาวที่เขาเห็นนั้น เป็นเพราะว่าเขินอายเกินกว่าจะกล้าพูดคุยกับเขา คนที่เธอแอบชื่นชมอยู่หลังพี่ชายมาโดยตลอด!
ทางด้านชลนา หญิงสาวก้าวเท้าออกจากลิฟต์ด้วยท่วงท่าที่มั่นใจแล้วเดินตรงไปแจ้งหญิงสาวที่ยืนอยู่คนเดียวที่เคาเตอร์เล็กๆถึงธุระของตัวเอง รอผลอยู่ชั่วครู่ พนักงานสาวก็เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ แล้วยิ้มสวยส่งให้
“คุณนาวิน อนุญาตให้คุณเข้าพบได้เลยค่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่น่ายินดี ใจของชลนาก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้เข้าพบเจ้านายคนแรกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หญิงสาวกล่าวขอบคุณประชาสัมพันธ์สาวเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องผู้บริหารตามทางที่พนักงานสาวบอก เมื่อไปถึงหน้าห้องที่มีชื่อและตำแหน่งของว่าที่เจ้านายแปะอยู่ ชลนาก็ตัดสินใจเคาะห้องเบาๆตามมารยาท
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ก่อนจะแตะมือลงบนลูกปิดประตู แล้วเปิดเข้าไป ภาพแรกที่เธอเห็นก็คือ ผู้ชายคนหนึ่งในชุดสูทเรียบกริบกำลังก้มหน้าอ่านเอกสารโดยดูเหมือนจะไม่รับรู้การมาของเธอ ชลนาทึกทักเองว่าเขาคงจะใช้สมาธิในการทำงานจนไม่ทันได้ยินเสียงเปิดประตู หญิงสาวจึงเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของนาวิน แต่เขาก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่เหมือนเดิม
“สวัสดีค่ะ ดิฉัน..” ขณะที่กำลังจะเอ่ยแนะนำตัวกับเจ้านายที่เธอเพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆยังไม่ทันจบประโยค ชลนาก็เป็นอันต้องหยุดค้างไว้ เมื่อผู้ที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้น และยกมือเป็นเชิงให้หยุดพูด..ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาให้เธอได้ยลโฉม เธอเห็นแล้วว่าเขาดูหล่อคมเหมือนในรูปที่เคยเห็นทุกอย่าง แต่แวบแรกก็อดสะดุ้งเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อเจอใบหน้าเคร่งขรึม ทะมึนทึมของผู้เป็นเจ้านาย ลางสังหรณ์บอกว่าการทำงานกับเขานั้นไม่ง่ายแน่ๆ
“ผมรู้ชื่อของคุณแล้ว โต๊ะของคุณอยู่ข้างนอก เชิญ”
นั่นยังไง… ชลนาอ้าปากค้าง เมื่อเขาพูดแค่นั้นแล้วก็ก้มลงไปทำงานต่อ ไม่แม้แต่จะสนใจหล่อนที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทได้ไม่ถึงสิบนาทีและไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวยืนดูเขาทำงานไปอีกไม่นาน ก็หมดความอดทน อ้าปากจะถามเขา ก็เจอสายตาเข้มประดุจมัจจุราชของผู้ที่เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อคม เบรกไว้เสียก่อน
“ผมยังไม่มีงานอะไรให้คุณทำ ไว้มีเมื่อไหร่ผมจะแจ้ง เชิญออกไปได้แล้ว” น้ำเสียงเย็นชาของผู้เป็นเจ้านายหมาดๆถูกส่งมาให้เสมือนไล่ทางอ้อมเพราะเธอไม่ยอมออกไปตามคำเชิญในทีแรก แต่ชลนาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเขาให้การต้อนรับที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย แล้วเธอจะทำงานร่วมกับเขาได้ไหมนี่
แต่เมื่อผู้เป็นเจ้านายคนแรกของเธอออกคำสั่งไล่ให้ออกจากห้อง ชลนาจึงได้แต่เดินเซ็งๆโยนกระเป๋าไว้ที่โต๊ะ แล้วนั่งมองเขาทำงานอยู่หลายชั่วโมง สติก็ขาดผึง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ต้องการให้เธอมาทำงานเลยด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเห็นเขามีข้อสงสัย หรือติดต่องาน ก็เห็นเขาใช้โทรศัพท์ติดต่อไปยังคนที่เธอคาดว่าอาจจะนั่งทำงานอยู่ในบริษัทนี้สักที่หนึ่ง แล้วเธอล่ะ! ถ้าเขาไม่ต้องการเลขา แล้วเขาจะจ้างให้เธอมาทำงานในตำแหน่งนี้ทำไมกัน!
ขณะที่กำลังหมดอารมณ์ที่จะทำงาน โทรศัพท์ของหญิงสาวที่ตั้งสั่นไว้ก็ดังขึ้น เมื่อเหลียวมองก็เห็นชื่อที่เธอตั้งไว้ให้คนบางคนโดยเฉพาะ
“ทำงานเป็นยังไงบ้าง” เมื่อรับสายแล้วก็มีเสียงนุ่มๆส่งกลับมาทันที
“ก็ดีค่ะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอพูดโกหกไป แต่คนที่โทรมากลับจับน้ำเสียงของหญิงสาวได้ทันที อาจจะเพราะมีความใส่ใจในฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
“ดูท่าว่าจะไม่ค่อยดีมากกว่ามั้ง ใครบางคนแถวนี้เลยมีเสียงหงอยๆ” คำพูดรู้ทันราวกับมีพลังจิตของเขา ทำให้ชลนายิ้มบางๆให้กับเจ้าของเบอร์ “คุณสิงห์หน้ามึน” โดยที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นว่ารอยยิ้มนั้นส่งตรงไปถึงเขาอย่างน่าเสียดาย
“ช่างเถอะค่ะ แล้วคุณล่ะ ไม่ทำงานเหรอ”
“ทำจ้ะ มีสอนตอนเที่ยงครึ่ง นี่นั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังเตรียมการสอนนี่แหละ เดี๋ยวก็ว่าจะเดินลงไปสอนแล้วล่ะ” ชลนายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง ใกล้จะเที่ยงครึ่งแล้วดังที่เขาว่า นี่เธอนั่งอยู่เฉยๆจากแปดโมงจวนจะเที่ยงแล้วหรือนี่
“ว่าแต่คุณมีสอนอีกแล้วเหรอคะ นี่ตกลงว่าคุณเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยจริงๆใช่ไหม” หญิงสาวแกล้งแซวเล่น แต่ในใจแอบคิดจริงๆ
“ใช่ เดี๋ยวนี้ผมเป็นแค่อาจารย์มหาวิทยาลัย” สิงห์เออออตาม แต่ชลนากลับสงสัยหนักขึ้นไปอีก
“งั้นคุณก็หลอกพ่อของฉันเรื่องงานเหรอ” ชลนานิ่วหน้าลืมเรื่องเจ้านายไปเสียสนิทเมื่อเหมือนว่าเรื่องราวของเขาชักจะไม่ชอบมาพากล
ทางด้านสิงห์เมื่อได้ยินคำว่า หลอก ก็สะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะรู้ตัวว่าเขาไม่ได้เป็นคนหลอกลวงบิดาของหล่อนสักหน่อย ทำไมจะต้องร้อนตัว จึงรีบตอบกลับรวดเร็ว
“เปล่าเลย..ผมไม่ได้หลอกพ่อของคุณ” ผมหลอกคุณต่างหาก สิงห์กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
“อ้าว แล้วตกลงมันยังไง ฉันงงไปหมดแล้ว..เอ่อ..ฉันขอวางสายก่อนนะคุณสิงห์ พอดีเจ้านายมองอยู่” ชลนาพูดคลุมเครือ ก่อนจะกดตัดสายในทันใดเมื่อเห็นสายตาดุๆที่เดินมาเปิดประตูออก หญิงสาวยิ้มบางๆให้ แต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจ ยืนนิ่งเสีย ชลนาถอนหายใจ มองนาฬิกาแล้วท้องก็ร้องบอกเวลา แต่ผู้เป็นเจ้านายยังไม่อนุญาต เธอจะไปทานข้าวได้ไหมนี่…
ขณะที่ชลนากำลังคิด ก็เห็นพนักงานสาวคนหนึ่งเดินถือถาดอาหารพร้อมกับน้ำเข้ามา ยิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านโต๊ะของเธอนำเข้าไปวางไว้ที่โต๊ะของผู้เป็นเจ้านาย เห็นเขาพูดพึมพำขอบคุณห้วนๆ พนักงานสาวคนนั้นก็เดินออกมา ไม่ทันจะพ้นโต๊ะของชลนา หญิงสาวก็รั้งไว้ก่อน
“เอ่อ..ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าฉันสามารถไปทานข้าวได้รึยังน่ะค่ะ นี่ก็จะเที่ยงครึ่งแล้ว” เมื่อเจ้านายก็ไม่สนใจ หญิงสาวเลยตัดสินใจถามหญิงสาวที่อายุน่าจะมากกว่าเธอไม่มากคนนี้ไปเลยก็แล้วกัน
“กำลังถึงเวลาพักพอดีค่ะ เอ่อ..เป็นเลขาคนใหม่ของคุณนาวินเหรอคะ” วิสา พนักงานที่ได้รับมอบหมายให้นำอาหารเที่ยงมาให้เจ้านาย เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ค่ะ ฉันเป็นเลขาคนใหม่ของคุณนาวิน”
“อุ้ย ก็ถึงว่าน้องมานั่งประจำที่ของน้องจีด้าได้ยังไง” วิสาเอ่ยถึงบุคคลที่ชลนาไม่เคยรู้จัก เมื่อเห็นสีหน้ามีคำถามของชลนา วิสาก็รีบจัดแจงอธิบาย โดยพยายามพูดให้เบาที่สุด เกรงว่าจะรบกวนเจ้านายสุดโหด ที่ไม่ชอบให้ลูกน้องพูดคุยกันในเวลางาน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาพักแล้วก็ตาม แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจ มีหวังองค์ลง
“น้องจีด้า เป็นเลขาคนก่อนของคุณนาวิน มาทำงานที่นี่พร้อมๆกับคุณนาวินนั่นแหละค่ะ แต่หลายวันมานี้ก็ไม่เห็นแล้วเหมือนกัน ก็คงจะลาออกไปแล้วมั้ง ในเมื่อน้องมาทำงานแทนแล้วนี่ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะออกนะพูดตรงๆ เพราะเห็นคุณนาวินคอยพกติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด เห็นสนิทสนมกันดีจะตาย”
วิสาหรี่เสียงให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด ขณะพูดก็คอยมองว่าเจ้านายจะรู้หรือไม่ว่าตนกำลังนินทาระยะเผาขน เมื่อเห็นว่าอยู่ในระยะที่ปลอดภัย ก็หันมองหน้าชลนาด้วยความเห็นใจแปลกๆ
“มีอะไรเหรอคะ” ชลนาถามเมื่อเห็นสายตาของคนตรงหน้า วิสาจึงก้มลงพูดกับคนที่นั่งอยู่ด้วยเสียงที่เบาสุดๆ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ พี่แค่อยากจะบอกว่าตั้งใจทำงานเข้าล่ะ จะได้ไม่โดนวีนใส่ พ้นจากน้องจีด้า แล้วก็มาเป็นน้องอีกคน ขอให้อยู่ทนอยู่นานก็แล้วกัน คุณนาวินน่ะ โยกย้าย ไล่ออกคนในบริษัทเป็นว่าเล่น อ้อ อีกอย่าง..ท่านสั่งอะไรน้องก็ทำ อย่าไปขัดใจท่านเข้าล่ะ ไม่งั้นนะ เตรียมตัวโดนเด้ง”
ทิ้งท้ายคล้ายคำขู่กลายๆไว้แล้ว ก็ปล่อยให้ชลนานั่งทำหน้าเหลอหลา เมียงมองเห็นเจ้านายหนุ่มกำลังลงมือทานอาหารเงียบๆ จึงถอนหายใจเฮือกยาวทิ้งไว้ที่โต๊ะ แล้วก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางเนือยๆเพราะความน่าเบื่อ ก่อนจะทิ้งภาพเจ้านายผู้เข้าใจยากไว้ข้างหลัง แล้วตั้งใจจะออกไปหาอะไรลงท้อง
เมื่อเลขาคนใหม่ก้าวพ้นจากโต๊ะไปไม่นาน คนที่เหมือนจะตั้งใจทานอาหารและเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เงยหน้าขึ้น แล้ววางช้อนลงขนาบจานทันที ขณะที่ตั้งใจจะทำงานต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“นนท์”
เห็นเจ้าของเบอร์โทรแล้วก็กดรับสายไม่ยินดียินร้าย แต่ผู้ที่โทรมานั้นมีน้ำเสียงที่แสนจะยินดีปรีดา
“ฮัลโหล พี่วี ชลทำงานเป็นยังไงบ้าง ผมว่าคงจะเก่งอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” นาวินส่ายหน้ากับญาติผู้น้อง ทว่ายังไม่ทันจะตอบ ก็ปรากฏสายโทรเข้ามาซ้อน นาวิน ยกมือถือมาดูชื่อของคนที่โทรเข้ามาก็แปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาทีหลังอาจจะมีธุระสำคัญมากกว่าจึงตัดสินใจขอวางสายของ อนนท์ ผู้ญาติแล้วรับสายผู้โทรเข้ามาใหม่แทน เพราะเวลานี้ผลประโยชน์ค่อนข้างสำคัญกว่าความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง!!
เล่ห์รัก บทที่ 16
“สวัสดีค่ะ คุณสิงห์” เสียงหวานที่ส่งมาทันทีที่สิงห์กรอกเสียงลงไปนั้นสร้างความแปลกใจให้กับสิงห์เป็นอย่างมาก เพราะเขามั่นใจว่าเขาต่อสายไปที่บ้านของตัวเองที่ภูเก็ตเพื่อถามไถ่ความเรียบร้อยของบ้านที่ถูกทิ้งให้อยู่ในการดูแลของคนเก่าคนแก่ในบ้านมาหลายเดือนแต่ไม่มีเจ้านายอยู่ แต่คนที่รับสายกลับเป็นคนซึ่งไม่น่าจะมีเหตุผลไปอยู่บ้านนั้นได้
“สวัสดี นั่นใช่อินทิรารึเปล่า” สิงห์ถามย้ำเพื่อความมั่นใจ หารู้ไม่ว่าคนในสายกำลังยิ้มดีใจเมื่อเขาจำเสียงของเธอได้ดี ใบหน้าหวานมีรอยจางเรื่อๆ ก่อนจะรีบเก็บอาการเมื่อคนในบ้านเดินผ่านมา
“ใช่ค่ะ พอดีอินแวะเข้ามาจ่ายเงินเดือนให้คนงานที่บ้านพอดี ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังไม่มีใครว่างเลยอินก็เลยรับให้น่ะค่ะ”
“อ่อ นายนุเขาฝากเธอมาจ่ายเหรอ” สิงห์หมายถึงผู้ช่วยส่วนตัวของเขาซึ่งเป็นพี่ชายของหญิงสาววัยเดียวกับชลนานั่นเอง
“ค่ะ พี่นุฝากอินมา พอดีพี่นุติดธุระมาไม่ได้น่ะค่ะ” อินท์ทิราบอกเหตุผลที่พี่ชายมาไม่ได้ มือของเธอมีเหงื่อชื้นเล็กน้อยเพราะประหม่า
“ก็ดี ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่มีอะไร แค่จะโทรมาถามคนที่บ้านเท่านั้นเอง”
เมื่อธุระเสร็จสิ้น สิงห์ก็ตั้งใจจะวางสาย ถ้าไม่ติดที่ว่าจะโดนรั้งไว้ด้วยเสียงหลงๆของอินท์ทิราเสียก่อน สิงห์จึงต้องกรอกเสียงลงไปอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวเอ่ยรั้งไว้แล้วก็ทำเสียงอึกอัก ไม่พูด
“เธอมีอะไรอีกหรือ”
“เอ่อ..ปะ เปล่าค่ะ อินไม่มีอะไรแล้ว”
สิงห์วางสายอย่างนึกติดตลกเมื่อนึกถึงสาวน้อยเรียบร้อยน้องสาวของ อนุวัตร ผู้ช่วยหนุ่มใหญ่ของเขาที่ภูเก็ต และเป็นคนดูแลโรงแรมและรีสอร์ทในเครือของเขาทั้งหมดแทนเขาอยู่ในตอนนี้ ที่ไม่เคยจะกล้าพูดกับเขาสักคำ เอาแต่หลบอยู่หลังพี่ชายและมีท่าทางเกรงเขาราวกลับเขาเป็นผู้ร้ายก็ไม่ปาน
สิงห์หารู้ไม่ว่าท่าทีจากหญิงสาวที่เขาเห็นนั้น เป็นเพราะว่าเขินอายเกินกว่าจะกล้าพูดคุยกับเขา คนที่เธอแอบชื่นชมอยู่หลังพี่ชายมาโดยตลอด!
ทางด้านชลนา หญิงสาวก้าวเท้าออกจากลิฟต์ด้วยท่วงท่าที่มั่นใจแล้วเดินตรงไปแจ้งหญิงสาวที่ยืนอยู่คนเดียวที่เคาเตอร์เล็กๆถึงธุระของตัวเอง รอผลอยู่ชั่วครู่ พนักงานสาวก็เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ แล้วยิ้มสวยส่งให้
“คุณนาวิน อนุญาตให้คุณเข้าพบได้เลยค่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่น่ายินดี ใจของชลนาก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้เข้าพบเจ้านายคนแรกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หญิงสาวกล่าวขอบคุณประชาสัมพันธ์สาวเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องผู้บริหารตามทางที่พนักงานสาวบอก เมื่อไปถึงหน้าห้องที่มีชื่อและตำแหน่งของว่าที่เจ้านายแปะอยู่ ชลนาก็ตัดสินใจเคาะห้องเบาๆตามมารยาท
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ก่อนจะแตะมือลงบนลูกปิดประตู แล้วเปิดเข้าไป ภาพแรกที่เธอเห็นก็คือ ผู้ชายคนหนึ่งในชุดสูทเรียบกริบกำลังก้มหน้าอ่านเอกสารโดยดูเหมือนจะไม่รับรู้การมาของเธอ ชลนาทึกทักเองว่าเขาคงจะใช้สมาธิในการทำงานจนไม่ทันได้ยินเสียงเปิดประตู หญิงสาวจึงเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของนาวิน แต่เขาก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่เหมือนเดิม
“สวัสดีค่ะ ดิฉัน..” ขณะที่กำลังจะเอ่ยแนะนำตัวกับเจ้านายที่เธอเพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆยังไม่ทันจบประโยค ชลนาก็เป็นอันต้องหยุดค้างไว้ เมื่อผู้ที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้น และยกมือเป็นเชิงให้หยุดพูด..ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาให้เธอได้ยลโฉม เธอเห็นแล้วว่าเขาดูหล่อคมเหมือนในรูปที่เคยเห็นทุกอย่าง แต่แวบแรกก็อดสะดุ้งเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อเจอใบหน้าเคร่งขรึม ทะมึนทึมของผู้เป็นเจ้านาย ลางสังหรณ์บอกว่าการทำงานกับเขานั้นไม่ง่ายแน่ๆ
“ผมรู้ชื่อของคุณแล้ว โต๊ะของคุณอยู่ข้างนอก เชิญ”
นั่นยังไง… ชลนาอ้าปากค้าง เมื่อเขาพูดแค่นั้นแล้วก็ก้มลงไปทำงานต่อ ไม่แม้แต่จะสนใจหล่อนที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทได้ไม่ถึงสิบนาทีและไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวยืนดูเขาทำงานไปอีกไม่นาน ก็หมดความอดทน อ้าปากจะถามเขา ก็เจอสายตาเข้มประดุจมัจจุราชของผู้ที่เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อคม เบรกไว้เสียก่อน
“ผมยังไม่มีงานอะไรให้คุณทำ ไว้มีเมื่อไหร่ผมจะแจ้ง เชิญออกไปได้แล้ว” น้ำเสียงเย็นชาของผู้เป็นเจ้านายหมาดๆถูกส่งมาให้เสมือนไล่ทางอ้อมเพราะเธอไม่ยอมออกไปตามคำเชิญในทีแรก แต่ชลนาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเขาให้การต้อนรับที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย แล้วเธอจะทำงานร่วมกับเขาได้ไหมนี่
แต่เมื่อผู้เป็นเจ้านายคนแรกของเธอออกคำสั่งไล่ให้ออกจากห้อง ชลนาจึงได้แต่เดินเซ็งๆโยนกระเป๋าไว้ที่โต๊ะ แล้วนั่งมองเขาทำงานอยู่หลายชั่วโมง สติก็ขาดผึง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ต้องการให้เธอมาทำงานเลยด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเห็นเขามีข้อสงสัย หรือติดต่องาน ก็เห็นเขาใช้โทรศัพท์ติดต่อไปยังคนที่เธอคาดว่าอาจจะนั่งทำงานอยู่ในบริษัทนี้สักที่หนึ่ง แล้วเธอล่ะ! ถ้าเขาไม่ต้องการเลขา แล้วเขาจะจ้างให้เธอมาทำงานในตำแหน่งนี้ทำไมกัน!
ขณะที่กำลังหมดอารมณ์ที่จะทำงาน โทรศัพท์ของหญิงสาวที่ตั้งสั่นไว้ก็ดังขึ้น เมื่อเหลียวมองก็เห็นชื่อที่เธอตั้งไว้ให้คนบางคนโดยเฉพาะ
“ทำงานเป็นยังไงบ้าง” เมื่อรับสายแล้วก็มีเสียงนุ่มๆส่งกลับมาทันที
“ก็ดีค่ะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอพูดโกหกไป แต่คนที่โทรมากลับจับน้ำเสียงของหญิงสาวได้ทันที อาจจะเพราะมีความใส่ใจในฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
“ดูท่าว่าจะไม่ค่อยดีมากกว่ามั้ง ใครบางคนแถวนี้เลยมีเสียงหงอยๆ” คำพูดรู้ทันราวกับมีพลังจิตของเขา ทำให้ชลนายิ้มบางๆให้กับเจ้าของเบอร์ “คุณสิงห์หน้ามึน” โดยที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นว่ารอยยิ้มนั้นส่งตรงไปถึงเขาอย่างน่าเสียดาย
“ช่างเถอะค่ะ แล้วคุณล่ะ ไม่ทำงานเหรอ”
“ทำจ้ะ มีสอนตอนเที่ยงครึ่ง นี่นั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังเตรียมการสอนนี่แหละ เดี๋ยวก็ว่าจะเดินลงไปสอนแล้วล่ะ” ชลนายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง ใกล้จะเที่ยงครึ่งแล้วดังที่เขาว่า นี่เธอนั่งอยู่เฉยๆจากแปดโมงจวนจะเที่ยงแล้วหรือนี่
“ว่าแต่คุณมีสอนอีกแล้วเหรอคะ นี่ตกลงว่าคุณเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยจริงๆใช่ไหม” หญิงสาวแกล้งแซวเล่น แต่ในใจแอบคิดจริงๆ
“ใช่ เดี๋ยวนี้ผมเป็นแค่อาจารย์มหาวิทยาลัย” สิงห์เออออตาม แต่ชลนากลับสงสัยหนักขึ้นไปอีก
“งั้นคุณก็หลอกพ่อของฉันเรื่องงานเหรอ” ชลนานิ่วหน้าลืมเรื่องเจ้านายไปเสียสนิทเมื่อเหมือนว่าเรื่องราวของเขาชักจะไม่ชอบมาพากล
ทางด้านสิงห์เมื่อได้ยินคำว่า หลอก ก็สะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะรู้ตัวว่าเขาไม่ได้เป็นคนหลอกลวงบิดาของหล่อนสักหน่อย ทำไมจะต้องร้อนตัว จึงรีบตอบกลับรวดเร็ว
“เปล่าเลย..ผมไม่ได้หลอกพ่อของคุณ” ผมหลอกคุณต่างหาก สิงห์กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
“อ้าว แล้วตกลงมันยังไง ฉันงงไปหมดแล้ว..เอ่อ..ฉันขอวางสายก่อนนะคุณสิงห์ พอดีเจ้านายมองอยู่” ชลนาพูดคลุมเครือ ก่อนจะกดตัดสายในทันใดเมื่อเห็นสายตาดุๆที่เดินมาเปิดประตูออก หญิงสาวยิ้มบางๆให้ แต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจ ยืนนิ่งเสีย ชลนาถอนหายใจ มองนาฬิกาแล้วท้องก็ร้องบอกเวลา แต่ผู้เป็นเจ้านายยังไม่อนุญาต เธอจะไปทานข้าวได้ไหมนี่…
ขณะที่ชลนากำลังคิด ก็เห็นพนักงานสาวคนหนึ่งเดินถือถาดอาหารพร้อมกับน้ำเข้ามา ยิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านโต๊ะของเธอนำเข้าไปวางไว้ที่โต๊ะของผู้เป็นเจ้านาย เห็นเขาพูดพึมพำขอบคุณห้วนๆ พนักงานสาวคนนั้นก็เดินออกมา ไม่ทันจะพ้นโต๊ะของชลนา หญิงสาวก็รั้งไว้ก่อน
“เอ่อ..ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าฉันสามารถไปทานข้าวได้รึยังน่ะค่ะ นี่ก็จะเที่ยงครึ่งแล้ว” เมื่อเจ้านายก็ไม่สนใจ หญิงสาวเลยตัดสินใจถามหญิงสาวที่อายุน่าจะมากกว่าเธอไม่มากคนนี้ไปเลยก็แล้วกัน
“กำลังถึงเวลาพักพอดีค่ะ เอ่อ..เป็นเลขาคนใหม่ของคุณนาวินเหรอคะ” วิสา พนักงานที่ได้รับมอบหมายให้นำอาหารเที่ยงมาให้เจ้านาย เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ค่ะ ฉันเป็นเลขาคนใหม่ของคุณนาวิน”
“อุ้ย ก็ถึงว่าน้องมานั่งประจำที่ของน้องจีด้าได้ยังไง” วิสาเอ่ยถึงบุคคลที่ชลนาไม่เคยรู้จัก เมื่อเห็นสีหน้ามีคำถามของชลนา วิสาก็รีบจัดแจงอธิบาย โดยพยายามพูดให้เบาที่สุด เกรงว่าจะรบกวนเจ้านายสุดโหด ที่ไม่ชอบให้ลูกน้องพูดคุยกันในเวลางาน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาพักแล้วก็ตาม แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจ มีหวังองค์ลง
“น้องจีด้า เป็นเลขาคนก่อนของคุณนาวิน มาทำงานที่นี่พร้อมๆกับคุณนาวินนั่นแหละค่ะ แต่หลายวันมานี้ก็ไม่เห็นแล้วเหมือนกัน ก็คงจะลาออกไปแล้วมั้ง ในเมื่อน้องมาทำงานแทนแล้วนี่ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะออกนะพูดตรงๆ เพราะเห็นคุณนาวินคอยพกติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด เห็นสนิทสนมกันดีจะตาย”
วิสาหรี่เสียงให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด ขณะพูดก็คอยมองว่าเจ้านายจะรู้หรือไม่ว่าตนกำลังนินทาระยะเผาขน เมื่อเห็นว่าอยู่ในระยะที่ปลอดภัย ก็หันมองหน้าชลนาด้วยความเห็นใจแปลกๆ
“มีอะไรเหรอคะ” ชลนาถามเมื่อเห็นสายตาของคนตรงหน้า วิสาจึงก้มลงพูดกับคนที่นั่งอยู่ด้วยเสียงที่เบาสุดๆ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ พี่แค่อยากจะบอกว่าตั้งใจทำงานเข้าล่ะ จะได้ไม่โดนวีนใส่ พ้นจากน้องจีด้า แล้วก็มาเป็นน้องอีกคน ขอให้อยู่ทนอยู่นานก็แล้วกัน คุณนาวินน่ะ โยกย้าย ไล่ออกคนในบริษัทเป็นว่าเล่น อ้อ อีกอย่าง..ท่านสั่งอะไรน้องก็ทำ อย่าไปขัดใจท่านเข้าล่ะ ไม่งั้นนะ เตรียมตัวโดนเด้ง”
ทิ้งท้ายคล้ายคำขู่กลายๆไว้แล้ว ก็ปล่อยให้ชลนานั่งทำหน้าเหลอหลา เมียงมองเห็นเจ้านายหนุ่มกำลังลงมือทานอาหารเงียบๆ จึงถอนหายใจเฮือกยาวทิ้งไว้ที่โต๊ะ แล้วก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางเนือยๆเพราะความน่าเบื่อ ก่อนจะทิ้งภาพเจ้านายผู้เข้าใจยากไว้ข้างหลัง แล้วตั้งใจจะออกไปหาอะไรลงท้อง
เมื่อเลขาคนใหม่ก้าวพ้นจากโต๊ะไปไม่นาน คนที่เหมือนจะตั้งใจทานอาหารและเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เงยหน้าขึ้น แล้ววางช้อนลงขนาบจานทันที ขณะที่ตั้งใจจะทำงานต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“นนท์”
เห็นเจ้าของเบอร์โทรแล้วก็กดรับสายไม่ยินดียินร้าย แต่ผู้ที่โทรมานั้นมีน้ำเสียงที่แสนจะยินดีปรีดา
“ฮัลโหล พี่วี ชลทำงานเป็นยังไงบ้าง ผมว่าคงจะเก่งอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” นาวินส่ายหน้ากับญาติผู้น้อง ทว่ายังไม่ทันจะตอบ ก็ปรากฏสายโทรเข้ามาซ้อน นาวิน ยกมือถือมาดูชื่อของคนที่โทรเข้ามาก็แปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาทีหลังอาจจะมีธุระสำคัญมากกว่าจึงตัดสินใจขอวางสายของ อนนท์ ผู้ญาติแล้วรับสายผู้โทรเข้ามาใหม่แทน เพราะเวลานี้ผลประโยชน์ค่อนข้างสำคัญกว่าความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง!!