ความเดิมตอนที่แล้ว
“ฉันจะบอกว่า ขอ ฉันเริ่มกินได้หรือยัง”
“อ้อ..เริ่มได้ เพียงแต่..”
สิงห์พูดค้างไว้ ก่อนจะเลื่อนจานข้าวมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาวด้วยความแน่วแน่
“หนึ่งคำ แลกกับการคุยกันหนึ่งเรื่อง ตกลงไหม?”
“ไม่ตกลง ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณ”
หญิงสาวกอดอกเชิดหน้ามองเพดานเสีย ทำเป็นไม่สนใจ
“งั้นก็อด” สิงห์พูดเสียงเย็นๆ
“ฉันไม่กินก็ได้ อยู่ได้สบายมาก”
“อืม งั้นก็เชิญคุณขึ้นไปนอนได้เลยนะ ผมขอเอาพวกนี้ไปทิ้งแล้วเอาจานไปล้างก่อน” สิงห์ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ต่อความยาวสาวความยืด พลางยกจานข้าวแล้วก็กับข้าวตรงดิ่งไปที่ถังขยะ ในขณะที่ชลนาได้แต่มองตาปริบๆมองเขาเทข้าวทั้งจานทิ้ง…
“นั่น! คุณเทข้าวทิ้งเลยเหรอ” เมื่อเห็นเขาเททิ้งเสร็จแล้วจึงค่อยมีสติตะโกนถามเขา ส่วนสิงห์ก็ทำเป็นหูทวนลม กำลังจะเทกับข้าวทั้งหลายทิ้ง
“เฮ้ย! ไม่นะ..นั่นมันแกงเผ็ดไก่..” ชลนาลุกพรวดตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่โชคยังดีที่คว้าหมับเกาะเก้าอี้อยู่ยังไม่เดินไปห้ามถึงที่ ไม่เช่นนั้นจะเสียหน้า แต่สิงห์หรือจะฟัง เขาเริ่มเทน้ำแกงทิ้งช้าๆ เมื่อชลนาเห็นน้ำแกงโดนเทไปหลายหยดก็ได้แต่เม้มปากไว้ ไม่อยากจะขวางทางเขาให้เขารู้ว่าเธอหิวจนท้องจวนจะร้อง..
โครกก… ว่าแล้วท้องเจ้ากรรมก็ร้องขึ้นเบาๆ..แต่ถึงแม้จะมาร้องตอนนี้ก็ยังดีกว่าร้องตอนที่เขายังนั่งอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเพราะคนอย่างเขา จะต้องล้อเธอแน่ๆ ชลนาคิด..ก่อนจะทำหน้าหมุ่ยเมื่อเธอรู้สึกอยากจะอ้วก..เธอจะหิวจนอยากอ้วก.. ตอนค่ำเธอตักข้าวเข้าปากประมาณสิบคำได้..แต่สิบคำนั้นมันช่างเป็นคำเล็กเหลือเกิน..เล็กแบบนั้นไม่เพียงพอต่อกระเพราะใหญ่ๆของเธอหรอก
“นั่นคุณจะเททิ้งจริงๆเหรอ” เมื่อทนเห็นเขาเทแกงเผ็ดไก่ทิ้งไปจนหมดแล้ว หญิงสาวก็น้ำตาคลอเมื่อเห็นเขากำลังจะเทแกงเขียวหวานไก่ ของโปรดยิ่งกว่าแกงเผ็ดไก่เสียอีก..
“ก็ต้องเทสิ นี่ผมเก็บไว้ให้คุณ แต่คุณไม่กินแล้วนี่” สิงห์ตอบกลับมาเนิบๆ แต่ยังตั้งใจเทแกงทิ้งอย่างช้าๆ..ทรมานใจคนที่ได้แต่นั่งดู โดยหารู้ไม่ว่าเขาลอบหัวเราะไปหลายทีเมื่อหันมาแล้วเห็นหน้าแสนเสียดายของคนที่นั่งจ๋องอยู่
ฉันอยากกิน แต่ฉันไม่อยากจะคุยกับคุณโว้ย
ชลนาอยากจะตะโกนใส่หน้าเขานัก ดีที่ยั้งปากไว้ทัน..ศักดิ์ศรีต้องมาก่อน
“นั่นผักผัดบุ้งของโปรดฉันนะ” แม้จะยั้งปากไว้ทันในทีแรก แต่เมื่อเห็นเขากำลังจะเทกับข้าวอย่างสุดท้ายที่เหลืออยู่ทิ้ง เธอก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
“ของโปรดผมเหมือนกัน ผัดผักบุ้งเนี่ยฝีมือคุณแม่ผมอร่อยมากขอบอก ไม่กี่คนหรอกนะที่จะผัดออกมาได้อร่อย”
สิงห์หันกลับมาตอบด้วยสีหน้าภูมิใจอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก่อนจะเทมันทิ้งไปอย่างรวดเร็วไม่เทช้าๆเหมือนเมื่อสองจานแรก คราวนี้น้ำตาของชลนาไหลพรากออกมาจริงๆ
“หมดแล้ว”
ชลนาพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา ก่อนจะฟุบตัวลงโต๊ะอย่างหมดหวัง รู้ดีว่าเขาแกล้งเธอ แต่ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายใจดำแบบนี้ เขาไม่คิดโอนอ่อนให้เธอสักนิด รู้ทั้งรู้ว่าเธอนั้นหิวขนาดไหนก็ยังจะทำกันได้ลงคอ! เธอจะไม่ให้อภัยเขา!!
“นั่นคุณร้องให้เหรอ” เสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวทำให้คนที่กำลังปล่อยเสียงสะอื้นแบบไม่ให้ดังจนเกินไป อยากจะร้องให้แต่ก็กลัวเสียหน้าเลยต้องสะดุดกึกไปหลายวิ..แต่ปี่แตกแล้วไม่สามารถกั้นได้ เสียงที่พยายามกั้นพอรู้สึกกดดันมากๆมันก็ออกมาดังกว่าเดิมอีก
“อย่ามายุ่ง ไปไกลๆ” แปลได้ว่าเธอกำลังอับอายอย่างสุดซึ้ง ถ้ายังเห็นใจกันอยู่บ้างก็กรุณาไปให้ไกลหูไกลตาเธอนั่นเอง..
“ก็คุณบอกว่าไม่กินก็ได้นี่..” สิ้นเสียงของเขาชลนาปล่อยโฮออกมาด้วยความเจ็บใจกว่าเดิม เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าไม่กินก็ได้ของเธอ ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่อยากจะกิน เธอแค่กินไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องคุยกับเขา
“ท้องคุณร้องแหนะ..ตกลงคุณอยากกินเหรอ” คำพูดกวนอารมณ์ยังมีมาเป็นระยะทำให้หญิงสาวทนไม่ไหวอีกต่อไปเด้งตัวขึ้นจากโต๊ะทันทีด้วยสภาพน้ำตายังนองหน้า
“ท้องฉันไม่ได้ร้อง เสียงของฉันต่างหากเล่า” ลุกขึ้นมาโวยวายเสร็จก็รีบฟุบตัวกับโต๊ะตามเดิม รู้ว่าสภาพตัวเองคงดูไม่จืด อายก็อาย โกรธก็โกรธ! เขาไม่ตามใจเธอสักอย่างเลย มีแต่ขัด ขัด ขัด ขัดเก่งเหลือเกิน สรุปคือมีแต่เรื่องขัดใจ นึกๆแล้วก็อยากจะตะบันหน้าเขาสักที…แต่ก็ไม่กล้าจึงได้แต่ร้องให้อยู่อย่างนี้
“อ๋อ..ท้องไม่ได้ร้อง แล้วคุณร้องให้ทำไมอ่ะ”
กรี้ด! เขาไม่รู้หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่ หญิงสาวปรี้ดแตกเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองหน้าเขาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ฉันหิว! พอใจหรือยัง แล้วที่ฉันร้องให้เนี่ย ก็เพราะว่าฉันขัดใจ คุณก็แกล้งฉันอยู่ได้ สะใจมากไหม พอใจคุณหรือยัง ทีนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะกินแล้วคุณสบายใจแล้วก็ไปเลยไป ไปให้พ้น” สิงห์ยืนมองคนที่ยอมรับแต่มีผสมอาการโวยวายมาด้วยอย่างอึ้งๆปนขำขัน
“ก็ปากคุณไม่ตรงกับใจนี่ ถ้าคุณพูดแต่แรกก็คงได้กินไปนานแล้ว ทำแบบนี้ผมเองก็ไม่ได้สะใจอะไรอย่างที่คุณคิดหรอกนะชล..ผมจะไปพอใจได้ยังไงในเมื่อคุณหิวแล้วผมต้องมาทำแบบนี้” สิงห์อธิบายเสียงนุ่ม ชลนาฟังเขาอธิบายแล้วทำปากยื่นเป็นเด็กๆ
“ก็ฉันไม่อยากจะคุยกับคุณนี่ ฉันคุยกับคุณฉันก็แพ้ทุกที คุณน่ะไม่เคยจะยอมฉันเลย คุณชนะฉันทุกครั้ง”
“คุยกับคุณผมไม่ได้ต้องการหรอกนะชัยชนะน่ะ เพียงแต่คุณคิดว่าจะต้องชนะผมให้ได้ พอคุณเถียงไม่ได้ คุณเลยคิดว่าคุณน่ะแพ้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีทั้งคนชนะหรือว่าคนแพ้ทั้งนั้นล่ะ” สิงห์พูด ก่อนจะทิ้งตัวนั่งยองๆแล้วจับมือของหญิงสาวที่วางไว้บนตักของเจ้าตัว มาบีบเบาๆ “..แล้วอีกอย่าง การคุยกันมันก็จะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น ไม่ได้ยากตรงไหนเลยไม่ใช่หรือชล”
ชลนามองหน้าเขาแล้วไม่พูดอะไร ขอเวลาทำใจก่อน… เมื่อมองเห็นแต่ความจริงใจที่เขาส่งมาให้ จึงพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจแต่ไม่พูด แล้วจับมือเขาให้ห่างจากตักของตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกจั้กกะจี้ทั้งที่ตักและ..ในอก
“สรุปว่าเราจะคุยกันใช่ไหม” สิงห์เลื่อนมือไปจับเก้าอี้ไว้แทนเมื่อหญิงสาวไม่ให้จับมือแถมยังไม่ให้วางมือบนตักแล้ว..
“คุยก็ได้” สิ้นเสียงของเธอ ริมฝีปากของสิงห์ก็คลี่ออก ส่งยิ้มสวยๆให้เธอ แล้วหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง
“งั้นรอสักสิบนาที เดี๋ยวมา” ว่าแล้วก็วิ่งหายกลับเข้าไปในครัว ชลนามองตามเขาอย่างพอจะเข้าใจว่าเขาคงจะกลับไปค้นอะไรที่พอจะกินได้มาให้เธอ..ซึ่งเธอก็หวังว่าเขาคงจะไม่ทำร้ายเธอด้วยการไปตักของที่เขาเพิ่งทิ้งในถังขยะมาให้เธอก็แล้วกัน
นึกๆไปแล้วหญิงสาวก็พอจะเข้าใจเขา..รู้สึกได้ว่าเขากำลังดัดนิสัยเธออย่างอ้อมๆในเรื่องความเอาแต่ใจ ชอบเอาชนะ แล้วก็มีทิฐิสูง.. แถมวิธีที่เขาแก้เผ็ดเธอนั้นก็ดูเหมือนไม่ซับซ้อนอะไร แต่เธอกำลังรู้สึกว่าเธอ..เริ่มจะคิดได้ เอ้ะ…
“มาแล้วครับผม” เสียงนุ่มๆกับอะไรบางอย่างที่โชยมาเข้าจมูกทำให้ชลนาหยุดคิด ก่อนจะเห็นว่าเขายกถาดเดิมที่เอากลับไปแล้วกลับมาวางตรงหน้าของเธอ เมื่อได้เห็นของตรงหน้าเต็มๆตา ดวงตาสวยก็เบิกกว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะมีชีวิตรอด เธอมองสบตาเขาดีใจเป็นเด็กๆ สิงห์มองหน้าสวยๆนั้นแล้วแสนจะเอ็นดู ก่อนจะรีบยกจานอาหารลงจากถาด
“เมื่อกี้ฉันเห็นคุณเททิ้งไปแล้วนี่ แล้วนี่คุณไปเอามาจากไหนอ่ะ คงจะไม่ได้ไปเอามาจากก้นถังที่คุณเพิ่งเททิ้งไปใช่ไหมเนี่ย”
แหม..แม่คุณก็ช่างคิด สิงห์ส่ายหน้า
“เปล่าหรอก แม่เหลือไว้ให้เยอะเลย พอรู้ว่าเราจะมา แม่ชลแล้วก็แม่พี่เลยตั้งหม้อทำสุดฝีมือ” สิงห์พูดกลั้วหัวเราะ พาให้ชลนาหัวเราะไปด้วยเมื่อนึกไปถึงแม่ของตน เพราะเมื่อไหร่ที่เธอได้กลับไปที่บ้านแม่ของเธอก็จะทำกับข้าวเยอะทั้งฝีมือและปริมาณเตรียมไว้ก่อน เพราะมักจะคิดอยู่เสมอว่าเธอที่อยู่คอนโดคนเดียวสมัยเรียนนั้นจะอดกินของอร่อยๆ ทั้งๆที่สมัยนี้แค่ยกหูกริ๊งเดียว หรือว่าเดินเข้าร้านอาหารดีๆสักร้านหนึ่งก็จะได้กินของอร่อยแล้ว
“เรานี่โชคดีจังเลยนะคุณ มีแม่แบบนี้ทำให้ฉันไม่อยากจะโตเลยล่ะ”
“โตดีกว่า ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่ได้แต่งงานกัน” สิงห์รีบตอบไปทันความคิด ก่อนจะได้รับค้อนงามๆที่ส่งมาทันควัน
“ใครบอกว่าฉันจะแต่งงานกับคุณ”
“ผมบอกเอง”สิงห์ตอบยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกาย
“คุณจะบอกได้ยังไงล่ะ ฉันต้องเป็นคนบอกสิ!”
“ก็บอกสิ…”
“บ้า..เรื่องอะไร”ชลนาเบ้ปาก ก่อนจะถามต่อ “แล้วฉันจะกินได้ยัง ตอนนี้ไส้ฉันกำลังจะขาด”
“กินได้ แต่ยังหนึ่งคำต่อหนึ่งเรื่องเหมือนเดิมนะ” สิงห์ยังต่อรอง พลางจัดแจงที่ทางของจานข้าวและกับข้าวให้มาอยู่ตรงหน้าตนเสร็จสรรพ
“โอย..เรื่องมากจริงๆ แต่ก็ได้หมดแหละคุณ ตอนนี้ฉันยอม ฉันเป็นเบี้ยล่างคุณแล้วนี่” ยอมแล้วแต่ก็ยังอดประชดประชันเขาไม่ได้
เป็นเบี้ยล่างหรือเจ้านายกันหนอยายเด็กดื้อ เถียงเก่ง บ่นเก่ง ประชดก็เก่ง แต่ก็น่ารักที่สุด
“ตอนนี้ชลอารมณ์ไหนล่ะ”
“อารมณ์จะกินช้างได้ทั้งตัว..” พูดยังไม่ทันจบคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ป้อนข้าวให้ถึงที่เป็นคำแรกเล่นเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัว ต้องสำลักข้าวเป็นพัลวัน
“เอ้ะคุณ! ทำไมไม่ให้ฉันกินดีๆล่ะ นี่มันแกงเผ็ดนะฉันแสบคอ”
“นี่ น้ำ” สิงห์ยื่นน้ำให้หน้าตาเฉย ชลนาจึงรีบรับน้ำที่มีคนบริการถึงที่มาดื่มจนชุ่มคอ แล้วตั้งค่าจะพูดแต่ก็ไม่ทันเขา
“หมอนั่นมันเป็นคนยังไง”
“หมอไหน” ชลนาทำหน้างุนงน สิงห์เลยต้องชี้แจงอย่างเสียมิได้
“ก็คนที่ชลบอกว่าคุยกันมานาน คุยกันถูกคอ จนมันมาสารภาพรักนั่นไง” ชลนาฟังแล้วก็ถึงบางอ้อ ยกน้ำขึ้นดื่มก่อนที่จะตอบ
“แหม..คุณก็พูดแค่ว่าคนที่คุยกันมานาน คุยกันถูกคอก็พอ ไม่ต้องเอาเรื่องนั้นมาพูดหรอกน่า..แล้วคุณจะอยากรู้เรื่องของพี่นนท์ทำไมล่ะ ฉันไม่อยากจะพูดถึงเลยคุณรู้ไหม ดีนะช่วงนี้เรียนจบแล้วเลยไม่ต้องเจอกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน” ชลนาพูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง เรื่องเครียดของคนสวยจริงๆ แม้แต่คนที่ไว้ใจก็ยังจะมาชอบกันเสียได้ จนตอนนี้เธอไม่เหลือเพศตรงข้ามที่มีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ดีกับเธออีกต่อไปแล้ว
“ทำไมถึงได้เจอกันบ่อยล่ะ เขาเป็นรุ่นพี่คุณ ก็แสดงว่าเรียนจบไปแล้ว” สิงห์ไม่ตอบแต่ถามแทน
“ก็พี่เขาน่ะนะ นอกจากรูปหล่อ พ่อรวย แล้วยังมีสมองอีกด้วย เรียนเก่งสุดยอด ฉันเลยต้องไปปรึกษาเรื่องเรียนบ้างอะไรบ้าง” ชลนาจีบปากจีบคออธิบายอย่างไม่เกี่ยงงอน โดยไม่ได้สนใจคนที่เริ่มจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ผมก็หล่อ พ่อรวย แถมยังมีสมองแล้วก็ยังเรียนเก่งสุดยอด”
ชลนามองหน้าเขาอย่างทึ่งที่เขาสามารถชมตัวเองได้อย่างไม่กระดากปากเลยสักนิด รูปหล่อน่ะ..ก็หล่อตี๋แนวเกาหลีกลายๆ แต่ชอบทำนิสัยโหดไปนิด พ่อรวย..อันนี้ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ เพราะเขาเป็นนักธุรกิจก็น่าจะสืบสานมาจากครอบครัว ส่วนมีสมองหรือเรียนเก่งสุดยอด..อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ดูจากโหงวเฮ้งแล้วเขาก็คงจะเป็นเช่นนั้นไม่ผิดเพี้ยน
“แต่พี่นนท์เขาไม่แก่”
“ผมก็ไม่ได้แก่..โอเค ผมอาจจะอายุเยอะกว่าพวกคุณ แต่..ใบหน้าผมก็ยังพอๆกับใบหน้าของเขาแล้วก็คุณ..”สิงห์ชี้นิ้วไปทางชลนา
“คุณจะบอกว่าคุณหน้าเด็กว่างั้น”
“คงงั้นมั้ง แล้วตกลงเขาเป็นคนยังไงทำไมคุณถึงถูกใจ”
“ถูกคอ..” ค้อนให้เขาปะหลักปะเหลื่อ “ ก็..พี่นนท์เป็นคนคุยเก่ง คอยหาเรื่องนู่นนี่มาคุยให้ไม่เบื่อ แถมยังสุภาพ เอาใจ ไม่คอยมานั่งบ่น นั่งว่าฉันเหมือนคุณ” ประโยคสุดท้ายแขวะเขาไม่จริงจังนัก ก่อนจะรีบอ้าปากเมื่อเขายื่นข้าวมาให้แล้วต่อด้วยแกงเขียวหวานแสนอร่อย
“ผมเอาใจไม่เก่ง แต่ผมจริงใจ ผมอาจจะไม่ได้พูดคำหวานๆให้คุณฟังบ่อยๆ แต่ถ้าผมพูดมันก็จะเป็นคำพูดที่มีค่า แล้วก็น่าจดจำ”
“ไม่จริงคุณบอกรักฉันง่ายมาก” ชลนาเถียงทันควัน
“คำนี้ยกเว้นจากคำหวานๆคำอื่น เพราะคำนี้สำคัญกว่ามาก ถึงแม้ว่าคนเราจะพูดว่า คำว่ารักแสดงออกเป็นการกระทำ แต่บางทีเราก็ควรที่จะพูดมันออกมา รักเขาแต่ไม่บอกเขา เขาจะรู้ได้ยังไงถูกไหม”
“แล้วทำไมคุณรักฉันเร็วจังล่ะ เราเพิ่งรู้จักกันเอง” ถึงแม้จะกระดากที่จะถามและคิดว่าเขารักเธอจริงๆหรือเปล่า แต่ก็ยังอยากจะรู้
“คุณเพิ่งรู้จักผม..แต่ผมรู้จักคุณมานานแล้ว”
“ตอนไหน”
“เอ่อ..ก็คุณเป็นดาวมหาวิทยาลัย ทำกิจกรรมนู่นนั่น ผมก็ต้องรู้จักคุณอยู่แล้ว ใครๆก็รู้จักคุณ รูปคุณมีอยู่เต็มมหาวิทยาลัยไปหมด” สิงห์ให้เหตุผล ชลนาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เล่ห์รัก ตอนที่ 13
“ฉันจะบอกว่า ขอ ฉันเริ่มกินได้หรือยัง”
“อ้อ..เริ่มได้ เพียงแต่..”
สิงห์พูดค้างไว้ ก่อนจะเลื่อนจานข้าวมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาวด้วยความแน่วแน่
“หนึ่งคำ แลกกับการคุยกันหนึ่งเรื่อง ตกลงไหม?”
“ไม่ตกลง ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณ”
หญิงสาวกอดอกเชิดหน้ามองเพดานเสีย ทำเป็นไม่สนใจ
“งั้นก็อด” สิงห์พูดเสียงเย็นๆ
“ฉันไม่กินก็ได้ อยู่ได้สบายมาก”
“อืม งั้นก็เชิญคุณขึ้นไปนอนได้เลยนะ ผมขอเอาพวกนี้ไปทิ้งแล้วเอาจานไปล้างก่อน” สิงห์ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ต่อความยาวสาวความยืด พลางยกจานข้าวแล้วก็กับข้าวตรงดิ่งไปที่ถังขยะ ในขณะที่ชลนาได้แต่มองตาปริบๆมองเขาเทข้าวทั้งจานทิ้ง…
“นั่น! คุณเทข้าวทิ้งเลยเหรอ” เมื่อเห็นเขาเททิ้งเสร็จแล้วจึงค่อยมีสติตะโกนถามเขา ส่วนสิงห์ก็ทำเป็นหูทวนลม กำลังจะเทกับข้าวทั้งหลายทิ้ง
“เฮ้ย! ไม่นะ..นั่นมันแกงเผ็ดไก่..” ชลนาลุกพรวดตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่โชคยังดีที่คว้าหมับเกาะเก้าอี้อยู่ยังไม่เดินไปห้ามถึงที่ ไม่เช่นนั้นจะเสียหน้า แต่สิงห์หรือจะฟัง เขาเริ่มเทน้ำแกงทิ้งช้าๆ เมื่อชลนาเห็นน้ำแกงโดนเทไปหลายหยดก็ได้แต่เม้มปากไว้ ไม่อยากจะขวางทางเขาให้เขารู้ว่าเธอหิวจนท้องจวนจะร้อง..
โครกก… ว่าแล้วท้องเจ้ากรรมก็ร้องขึ้นเบาๆ..แต่ถึงแม้จะมาร้องตอนนี้ก็ยังดีกว่าร้องตอนที่เขายังนั่งอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเพราะคนอย่างเขา จะต้องล้อเธอแน่ๆ ชลนาคิด..ก่อนจะทำหน้าหมุ่ยเมื่อเธอรู้สึกอยากจะอ้วก..เธอจะหิวจนอยากอ้วก.. ตอนค่ำเธอตักข้าวเข้าปากประมาณสิบคำได้..แต่สิบคำนั้นมันช่างเป็นคำเล็กเหลือเกิน..เล็กแบบนั้นไม่เพียงพอต่อกระเพราะใหญ่ๆของเธอหรอก
“นั่นคุณจะเททิ้งจริงๆเหรอ” เมื่อทนเห็นเขาเทแกงเผ็ดไก่ทิ้งไปจนหมดแล้ว หญิงสาวก็น้ำตาคลอเมื่อเห็นเขากำลังจะเทแกงเขียวหวานไก่ ของโปรดยิ่งกว่าแกงเผ็ดไก่เสียอีก..
“ก็ต้องเทสิ นี่ผมเก็บไว้ให้คุณ แต่คุณไม่กินแล้วนี่” สิงห์ตอบกลับมาเนิบๆ แต่ยังตั้งใจเทแกงทิ้งอย่างช้าๆ..ทรมานใจคนที่ได้แต่นั่งดู โดยหารู้ไม่ว่าเขาลอบหัวเราะไปหลายทีเมื่อหันมาแล้วเห็นหน้าแสนเสียดายของคนที่นั่งจ๋องอยู่
ฉันอยากกิน แต่ฉันไม่อยากจะคุยกับคุณโว้ย
ชลนาอยากจะตะโกนใส่หน้าเขานัก ดีที่ยั้งปากไว้ทัน..ศักดิ์ศรีต้องมาก่อน
“นั่นผักผัดบุ้งของโปรดฉันนะ” แม้จะยั้งปากไว้ทันในทีแรก แต่เมื่อเห็นเขากำลังจะเทกับข้าวอย่างสุดท้ายที่เหลืออยู่ทิ้ง เธอก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
“ของโปรดผมเหมือนกัน ผัดผักบุ้งเนี่ยฝีมือคุณแม่ผมอร่อยมากขอบอก ไม่กี่คนหรอกนะที่จะผัดออกมาได้อร่อย”
สิงห์หันกลับมาตอบด้วยสีหน้าภูมิใจอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก่อนจะเทมันทิ้งไปอย่างรวดเร็วไม่เทช้าๆเหมือนเมื่อสองจานแรก คราวนี้น้ำตาของชลนาไหลพรากออกมาจริงๆ
“หมดแล้ว”
ชลนาพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา ก่อนจะฟุบตัวลงโต๊ะอย่างหมดหวัง รู้ดีว่าเขาแกล้งเธอ แต่ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายใจดำแบบนี้ เขาไม่คิดโอนอ่อนให้เธอสักนิด รู้ทั้งรู้ว่าเธอนั้นหิวขนาดไหนก็ยังจะทำกันได้ลงคอ! เธอจะไม่ให้อภัยเขา!!
“นั่นคุณร้องให้เหรอ” เสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวทำให้คนที่กำลังปล่อยเสียงสะอื้นแบบไม่ให้ดังจนเกินไป อยากจะร้องให้แต่ก็กลัวเสียหน้าเลยต้องสะดุดกึกไปหลายวิ..แต่ปี่แตกแล้วไม่สามารถกั้นได้ เสียงที่พยายามกั้นพอรู้สึกกดดันมากๆมันก็ออกมาดังกว่าเดิมอีก
“อย่ามายุ่ง ไปไกลๆ” แปลได้ว่าเธอกำลังอับอายอย่างสุดซึ้ง ถ้ายังเห็นใจกันอยู่บ้างก็กรุณาไปให้ไกลหูไกลตาเธอนั่นเอง..
“ก็คุณบอกว่าไม่กินก็ได้นี่..” สิ้นเสียงของเขาชลนาปล่อยโฮออกมาด้วยความเจ็บใจกว่าเดิม เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าไม่กินก็ได้ของเธอ ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่อยากจะกิน เธอแค่กินไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องคุยกับเขา
“ท้องคุณร้องแหนะ..ตกลงคุณอยากกินเหรอ” คำพูดกวนอารมณ์ยังมีมาเป็นระยะทำให้หญิงสาวทนไม่ไหวอีกต่อไปเด้งตัวขึ้นจากโต๊ะทันทีด้วยสภาพน้ำตายังนองหน้า
“ท้องฉันไม่ได้ร้อง เสียงของฉันต่างหากเล่า” ลุกขึ้นมาโวยวายเสร็จก็รีบฟุบตัวกับโต๊ะตามเดิม รู้ว่าสภาพตัวเองคงดูไม่จืด อายก็อาย โกรธก็โกรธ! เขาไม่ตามใจเธอสักอย่างเลย มีแต่ขัด ขัด ขัด ขัดเก่งเหลือเกิน สรุปคือมีแต่เรื่องขัดใจ นึกๆแล้วก็อยากจะตะบันหน้าเขาสักที…แต่ก็ไม่กล้าจึงได้แต่ร้องให้อยู่อย่างนี้
“อ๋อ..ท้องไม่ได้ร้อง แล้วคุณร้องให้ทำไมอ่ะ”
กรี้ด! เขาไม่รู้หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่ หญิงสาวปรี้ดแตกเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองหน้าเขาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ฉันหิว! พอใจหรือยัง แล้วที่ฉันร้องให้เนี่ย ก็เพราะว่าฉันขัดใจ คุณก็แกล้งฉันอยู่ได้ สะใจมากไหม พอใจคุณหรือยัง ทีนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะกินแล้วคุณสบายใจแล้วก็ไปเลยไป ไปให้พ้น” สิงห์ยืนมองคนที่ยอมรับแต่มีผสมอาการโวยวายมาด้วยอย่างอึ้งๆปนขำขัน
“ก็ปากคุณไม่ตรงกับใจนี่ ถ้าคุณพูดแต่แรกก็คงได้กินไปนานแล้ว ทำแบบนี้ผมเองก็ไม่ได้สะใจอะไรอย่างที่คุณคิดหรอกนะชล..ผมจะไปพอใจได้ยังไงในเมื่อคุณหิวแล้วผมต้องมาทำแบบนี้” สิงห์อธิบายเสียงนุ่ม ชลนาฟังเขาอธิบายแล้วทำปากยื่นเป็นเด็กๆ
“ก็ฉันไม่อยากจะคุยกับคุณนี่ ฉันคุยกับคุณฉันก็แพ้ทุกที คุณน่ะไม่เคยจะยอมฉันเลย คุณชนะฉันทุกครั้ง”
“คุยกับคุณผมไม่ได้ต้องการหรอกนะชัยชนะน่ะ เพียงแต่คุณคิดว่าจะต้องชนะผมให้ได้ พอคุณเถียงไม่ได้ คุณเลยคิดว่าคุณน่ะแพ้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีทั้งคนชนะหรือว่าคนแพ้ทั้งนั้นล่ะ” สิงห์พูด ก่อนจะทิ้งตัวนั่งยองๆแล้วจับมือของหญิงสาวที่วางไว้บนตักของเจ้าตัว มาบีบเบาๆ “..แล้วอีกอย่าง การคุยกันมันก็จะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น ไม่ได้ยากตรงไหนเลยไม่ใช่หรือชล”
ชลนามองหน้าเขาแล้วไม่พูดอะไร ขอเวลาทำใจก่อน… เมื่อมองเห็นแต่ความจริงใจที่เขาส่งมาให้ จึงพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจแต่ไม่พูด แล้วจับมือเขาให้ห่างจากตักของตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกจั้กกะจี้ทั้งที่ตักและ..ในอก
“สรุปว่าเราจะคุยกันใช่ไหม” สิงห์เลื่อนมือไปจับเก้าอี้ไว้แทนเมื่อหญิงสาวไม่ให้จับมือแถมยังไม่ให้วางมือบนตักแล้ว..
“คุยก็ได้” สิ้นเสียงของเธอ ริมฝีปากของสิงห์ก็คลี่ออก ส่งยิ้มสวยๆให้เธอ แล้วหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง
“งั้นรอสักสิบนาที เดี๋ยวมา” ว่าแล้วก็วิ่งหายกลับเข้าไปในครัว ชลนามองตามเขาอย่างพอจะเข้าใจว่าเขาคงจะกลับไปค้นอะไรที่พอจะกินได้มาให้เธอ..ซึ่งเธอก็หวังว่าเขาคงจะไม่ทำร้ายเธอด้วยการไปตักของที่เขาเพิ่งทิ้งในถังขยะมาให้เธอก็แล้วกัน
นึกๆไปแล้วหญิงสาวก็พอจะเข้าใจเขา..รู้สึกได้ว่าเขากำลังดัดนิสัยเธออย่างอ้อมๆในเรื่องความเอาแต่ใจ ชอบเอาชนะ แล้วก็มีทิฐิสูง.. แถมวิธีที่เขาแก้เผ็ดเธอนั้นก็ดูเหมือนไม่ซับซ้อนอะไร แต่เธอกำลังรู้สึกว่าเธอ..เริ่มจะคิดได้ เอ้ะ…
“มาแล้วครับผม” เสียงนุ่มๆกับอะไรบางอย่างที่โชยมาเข้าจมูกทำให้ชลนาหยุดคิด ก่อนจะเห็นว่าเขายกถาดเดิมที่เอากลับไปแล้วกลับมาวางตรงหน้าของเธอ เมื่อได้เห็นของตรงหน้าเต็มๆตา ดวงตาสวยก็เบิกกว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะมีชีวิตรอด เธอมองสบตาเขาดีใจเป็นเด็กๆ สิงห์มองหน้าสวยๆนั้นแล้วแสนจะเอ็นดู ก่อนจะรีบยกจานอาหารลงจากถาด
“เมื่อกี้ฉันเห็นคุณเททิ้งไปแล้วนี่ แล้วนี่คุณไปเอามาจากไหนอ่ะ คงจะไม่ได้ไปเอามาจากก้นถังที่คุณเพิ่งเททิ้งไปใช่ไหมเนี่ย”
แหม..แม่คุณก็ช่างคิด สิงห์ส่ายหน้า
“เปล่าหรอก แม่เหลือไว้ให้เยอะเลย พอรู้ว่าเราจะมา แม่ชลแล้วก็แม่พี่เลยตั้งหม้อทำสุดฝีมือ” สิงห์พูดกลั้วหัวเราะ พาให้ชลนาหัวเราะไปด้วยเมื่อนึกไปถึงแม่ของตน เพราะเมื่อไหร่ที่เธอได้กลับไปที่บ้านแม่ของเธอก็จะทำกับข้าวเยอะทั้งฝีมือและปริมาณเตรียมไว้ก่อน เพราะมักจะคิดอยู่เสมอว่าเธอที่อยู่คอนโดคนเดียวสมัยเรียนนั้นจะอดกินของอร่อยๆ ทั้งๆที่สมัยนี้แค่ยกหูกริ๊งเดียว หรือว่าเดินเข้าร้านอาหารดีๆสักร้านหนึ่งก็จะได้กินของอร่อยแล้ว
“เรานี่โชคดีจังเลยนะคุณ มีแม่แบบนี้ทำให้ฉันไม่อยากจะโตเลยล่ะ”
“โตดีกว่า ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่ได้แต่งงานกัน” สิงห์รีบตอบไปทันความคิด ก่อนจะได้รับค้อนงามๆที่ส่งมาทันควัน
“ใครบอกว่าฉันจะแต่งงานกับคุณ”
“ผมบอกเอง”สิงห์ตอบยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกาย
“คุณจะบอกได้ยังไงล่ะ ฉันต้องเป็นคนบอกสิ!”
“ก็บอกสิ…”
“บ้า..เรื่องอะไร”ชลนาเบ้ปาก ก่อนจะถามต่อ “แล้วฉันจะกินได้ยัง ตอนนี้ไส้ฉันกำลังจะขาด”
“กินได้ แต่ยังหนึ่งคำต่อหนึ่งเรื่องเหมือนเดิมนะ” สิงห์ยังต่อรอง พลางจัดแจงที่ทางของจานข้าวและกับข้าวให้มาอยู่ตรงหน้าตนเสร็จสรรพ
“โอย..เรื่องมากจริงๆ แต่ก็ได้หมดแหละคุณ ตอนนี้ฉันยอม ฉันเป็นเบี้ยล่างคุณแล้วนี่” ยอมแล้วแต่ก็ยังอดประชดประชันเขาไม่ได้
เป็นเบี้ยล่างหรือเจ้านายกันหนอยายเด็กดื้อ เถียงเก่ง บ่นเก่ง ประชดก็เก่ง แต่ก็น่ารักที่สุด
“ตอนนี้ชลอารมณ์ไหนล่ะ”
“อารมณ์จะกินช้างได้ทั้งตัว..” พูดยังไม่ทันจบคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ป้อนข้าวให้ถึงที่เป็นคำแรกเล่นเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัว ต้องสำลักข้าวเป็นพัลวัน
“เอ้ะคุณ! ทำไมไม่ให้ฉันกินดีๆล่ะ นี่มันแกงเผ็ดนะฉันแสบคอ”
“นี่ น้ำ” สิงห์ยื่นน้ำให้หน้าตาเฉย ชลนาจึงรีบรับน้ำที่มีคนบริการถึงที่มาดื่มจนชุ่มคอ แล้วตั้งค่าจะพูดแต่ก็ไม่ทันเขา
“หมอนั่นมันเป็นคนยังไง”
“หมอไหน” ชลนาทำหน้างุนงน สิงห์เลยต้องชี้แจงอย่างเสียมิได้
“ก็คนที่ชลบอกว่าคุยกันมานาน คุยกันถูกคอ จนมันมาสารภาพรักนั่นไง” ชลนาฟังแล้วก็ถึงบางอ้อ ยกน้ำขึ้นดื่มก่อนที่จะตอบ
“แหม..คุณก็พูดแค่ว่าคนที่คุยกันมานาน คุยกันถูกคอก็พอ ไม่ต้องเอาเรื่องนั้นมาพูดหรอกน่า..แล้วคุณจะอยากรู้เรื่องของพี่นนท์ทำไมล่ะ ฉันไม่อยากจะพูดถึงเลยคุณรู้ไหม ดีนะช่วงนี้เรียนจบแล้วเลยไม่ต้องเจอกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน” ชลนาพูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง เรื่องเครียดของคนสวยจริงๆ แม้แต่คนที่ไว้ใจก็ยังจะมาชอบกันเสียได้ จนตอนนี้เธอไม่เหลือเพศตรงข้ามที่มีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ดีกับเธออีกต่อไปแล้ว
“ทำไมถึงได้เจอกันบ่อยล่ะ เขาเป็นรุ่นพี่คุณ ก็แสดงว่าเรียนจบไปแล้ว” สิงห์ไม่ตอบแต่ถามแทน
“ก็พี่เขาน่ะนะ นอกจากรูปหล่อ พ่อรวย แล้วยังมีสมองอีกด้วย เรียนเก่งสุดยอด ฉันเลยต้องไปปรึกษาเรื่องเรียนบ้างอะไรบ้าง” ชลนาจีบปากจีบคออธิบายอย่างไม่เกี่ยงงอน โดยไม่ได้สนใจคนที่เริ่มจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ผมก็หล่อ พ่อรวย แถมยังมีสมองแล้วก็ยังเรียนเก่งสุดยอด”
ชลนามองหน้าเขาอย่างทึ่งที่เขาสามารถชมตัวเองได้อย่างไม่กระดากปากเลยสักนิด รูปหล่อน่ะ..ก็หล่อตี๋แนวเกาหลีกลายๆ แต่ชอบทำนิสัยโหดไปนิด พ่อรวย..อันนี้ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ เพราะเขาเป็นนักธุรกิจก็น่าจะสืบสานมาจากครอบครัว ส่วนมีสมองหรือเรียนเก่งสุดยอด..อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ดูจากโหงวเฮ้งแล้วเขาก็คงจะเป็นเช่นนั้นไม่ผิดเพี้ยน
“แต่พี่นนท์เขาไม่แก่”
“ผมก็ไม่ได้แก่..โอเค ผมอาจจะอายุเยอะกว่าพวกคุณ แต่..ใบหน้าผมก็ยังพอๆกับใบหน้าของเขาแล้วก็คุณ..”สิงห์ชี้นิ้วไปทางชลนา
“คุณจะบอกว่าคุณหน้าเด็กว่างั้น”
“คงงั้นมั้ง แล้วตกลงเขาเป็นคนยังไงทำไมคุณถึงถูกใจ”
“ถูกคอ..” ค้อนให้เขาปะหลักปะเหลื่อ “ ก็..พี่นนท์เป็นคนคุยเก่ง คอยหาเรื่องนู่นนี่มาคุยให้ไม่เบื่อ แถมยังสุภาพ เอาใจ ไม่คอยมานั่งบ่น นั่งว่าฉันเหมือนคุณ” ประโยคสุดท้ายแขวะเขาไม่จริงจังนัก ก่อนจะรีบอ้าปากเมื่อเขายื่นข้าวมาให้แล้วต่อด้วยแกงเขียวหวานแสนอร่อย
“ผมเอาใจไม่เก่ง แต่ผมจริงใจ ผมอาจจะไม่ได้พูดคำหวานๆให้คุณฟังบ่อยๆ แต่ถ้าผมพูดมันก็จะเป็นคำพูดที่มีค่า แล้วก็น่าจดจำ”
“ไม่จริงคุณบอกรักฉันง่ายมาก” ชลนาเถียงทันควัน
“คำนี้ยกเว้นจากคำหวานๆคำอื่น เพราะคำนี้สำคัญกว่ามาก ถึงแม้ว่าคนเราจะพูดว่า คำว่ารักแสดงออกเป็นการกระทำ แต่บางทีเราก็ควรที่จะพูดมันออกมา รักเขาแต่ไม่บอกเขา เขาจะรู้ได้ยังไงถูกไหม”
“แล้วทำไมคุณรักฉันเร็วจังล่ะ เราเพิ่งรู้จักกันเอง” ถึงแม้จะกระดากที่จะถามและคิดว่าเขารักเธอจริงๆหรือเปล่า แต่ก็ยังอยากจะรู้
“คุณเพิ่งรู้จักผม..แต่ผมรู้จักคุณมานานแล้ว”
“ตอนไหน”
“เอ่อ..ก็คุณเป็นดาวมหาวิทยาลัย ทำกิจกรรมนู่นนั่น ผมก็ต้องรู้จักคุณอยู่แล้ว ใครๆก็รู้จักคุณ รูปคุณมีอยู่เต็มมหาวิทยาลัยไปหมด” สิงห์ให้เหตุผล ชลนาพยักหน้าอย่างเข้าใจ