เล่ห์รัก ตอนที่ 13

กระทู้สนทนา
ความเดิมตอนที่แล้ว

“ฉันจะบอกว่า ขอ ฉันเริ่มกินได้หรือยัง”
“อ้อ..เริ่มได้ เพียงแต่..”
      สิงห์พูดค้างไว้ ก่อนจะเลื่อนจานข้าวมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาวด้วยความแน่วแน่
“หนึ่งคำ แลกกับการคุยกันหนึ่งเรื่อง ตกลงไหม?”





“ไม่ตกลง ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณ”
       หญิงสาวกอดอกเชิดหน้ามองเพดานเสีย ทำเป็นไม่สนใจ

“งั้นก็อด” สิงห์พูดเสียงเย็นๆ

“ฉันไม่กินก็ได้ อยู่ได้สบายมาก”

“อืม งั้นก็เชิญคุณขึ้นไปนอนได้เลยนะ ผมขอเอาพวกนี้ไปทิ้งแล้วเอาจานไปล้างก่อน” สิงห์ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ต่อความยาวสาวความยืด พลางยกจานข้าวแล้วก็กับข้าวตรงดิ่งไปที่ถังขยะ ในขณะที่ชลนาได้แต่มองตาปริบๆมองเขาเทข้าวทั้งจานทิ้ง…

“นั่น! คุณเทข้าวทิ้งเลยเหรอ” เมื่อเห็นเขาเททิ้งเสร็จแล้วจึงค่อยมีสติตะโกนถามเขา ส่วนสิงห์ก็ทำเป็นหูทวนลม กำลังจะเทกับข้าวทั้งหลายทิ้ง

“เฮ้ย! ไม่นะ..นั่นมันแกงเผ็ดไก่..”  ชลนาลุกพรวดตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่โชคยังดีที่คว้าหมับเกาะเก้าอี้อยู่ยังไม่เดินไปห้ามถึงที่ ไม่เช่นนั้นจะเสียหน้า แต่สิงห์หรือจะฟัง เขาเริ่มเทน้ำแกงทิ้งช้าๆ เมื่อชลนาเห็นน้ำแกงโดนเทไปหลายหยดก็ได้แต่เม้มปากไว้ ไม่อยากจะขวางทางเขาให้เขารู้ว่าเธอหิวจนท้องจวนจะร้อง..
        
       โครกก… ว่าแล้วท้องเจ้ากรรมก็ร้องขึ้นเบาๆ..แต่ถึงแม้จะมาร้องตอนนี้ก็ยังดีกว่าร้องตอนที่เขายังนั่งอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเพราะคนอย่างเขา จะต้องล้อเธอแน่ๆ ชลนาคิด..ก่อนจะทำหน้าหมุ่ยเมื่อเธอรู้สึกอยากจะอ้วก..เธอจะหิวจนอยากอ้วก.. ตอนค่ำเธอตักข้าวเข้าปากประมาณสิบคำได้..แต่สิบคำนั้นมันช่างเป็นคำเล็กเหลือเกิน..เล็กแบบนั้นไม่เพียงพอต่อกระเพราะใหญ่ๆของเธอหรอก

“นั่นคุณจะเททิ้งจริงๆเหรอ” เมื่อทนเห็นเขาเทแกงเผ็ดไก่ทิ้งไปจนหมดแล้ว หญิงสาวก็น้ำตาคลอเมื่อเห็นเขากำลังจะเทแกงเขียวหวานไก่ ของโปรดยิ่งกว่าแกงเผ็ดไก่เสียอีก..

“ก็ต้องเทสิ นี่ผมเก็บไว้ให้คุณ แต่คุณไม่กินแล้วนี่” สิงห์ตอบกลับมาเนิบๆ แต่ยังตั้งใจเทแกงทิ้งอย่างช้าๆ..ทรมานใจคนที่ได้แต่นั่งดู โดยหารู้ไม่ว่าเขาลอบหัวเราะไปหลายทีเมื่อหันมาแล้วเห็นหน้าแสนเสียดายของคนที่นั่งจ๋องอยู่
    ฉันอยากกิน แต่ฉันไม่อยากจะคุยกับคุณโว้ย

     ชลนาอยากจะตะโกนใส่หน้าเขานัก ดีที่ยั้งปากไว้ทัน..ศักดิ์ศรีต้องมาก่อน
“นั่นผักผัดบุ้งของโปรดฉันนะ” แม้จะยั้งปากไว้ทันในทีแรก แต่เมื่อเห็นเขากำลังจะเทกับข้าวอย่างสุดท้ายที่เหลืออยู่ทิ้ง เธอก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป

“ของโปรดผมเหมือนกัน ผัดผักบุ้งเนี่ยฝีมือคุณแม่ผมอร่อยมากขอบอก ไม่กี่คนหรอกนะที่จะผัดออกมาได้อร่อย”
      สิงห์หันกลับมาตอบด้วยสีหน้าภูมิใจอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก่อนจะเทมันทิ้งไปอย่างรวดเร็วไม่เทช้าๆเหมือนเมื่อสองจานแรก คราวนี้น้ำตาของชลนาไหลพรากออกมาจริงๆ

“หมดแล้ว”
     ชลนาพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา ก่อนจะฟุบตัวลงโต๊ะอย่างหมดหวัง รู้ดีว่าเขาแกล้งเธอ แต่ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายใจดำแบบนี้ เขาไม่คิดโอนอ่อนให้เธอสักนิด รู้ทั้งรู้ว่าเธอนั้นหิวขนาดไหนก็ยังจะทำกันได้ลงคอ! เธอจะไม่ให้อภัยเขา!!

“นั่นคุณร้องให้เหรอ” เสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวทำให้คนที่กำลังปล่อยเสียงสะอื้นแบบไม่ให้ดังจนเกินไป อยากจะร้องให้แต่ก็กลัวเสียหน้าเลยต้องสะดุดกึกไปหลายวิ..แต่ปี่แตกแล้วไม่สามารถกั้นได้ เสียงที่พยายามกั้นพอรู้สึกกดดันมากๆมันก็ออกมาดังกว่าเดิมอีก

“อย่ามายุ่ง ไปไกลๆ” แปลได้ว่าเธอกำลังอับอายอย่างสุดซึ้ง ถ้ายังเห็นใจกันอยู่บ้างก็กรุณาไปให้ไกลหูไกลตาเธอนั่นเอง..

“ก็คุณบอกว่าไม่กินก็ได้นี่..”  สิ้นเสียงของเขาชลนาปล่อยโฮออกมาด้วยความเจ็บใจกว่าเดิม เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าไม่กินก็ได้ของเธอ ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่อยากจะกิน เธอแค่กินไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องคุยกับเขา

“ท้องคุณร้องแหนะ..ตกลงคุณอยากกินเหรอ” คำพูดกวนอารมณ์ยังมีมาเป็นระยะทำให้หญิงสาวทนไม่ไหวอีกต่อไปเด้งตัวขึ้นจากโต๊ะทันทีด้วยสภาพน้ำตายังนองหน้า

“ท้องฉันไม่ได้ร้อง เสียงของฉันต่างหากเล่า” ลุกขึ้นมาโวยวายเสร็จก็รีบฟุบตัวกับโต๊ะตามเดิม รู้ว่าสภาพตัวเองคงดูไม่จืด อายก็อาย โกรธก็โกรธ! เขาไม่ตามใจเธอสักอย่างเลย  มีแต่ขัด ขัด ขัด ขัดเก่งเหลือเกิน สรุปคือมีแต่เรื่องขัดใจ นึกๆแล้วก็อยากจะตะบันหน้าเขาสักที…แต่ก็ไม่กล้าจึงได้แต่ร้องให้อยู่อย่างนี้

“อ๋อ..ท้องไม่ได้ร้อง แล้วคุณร้องให้ทำไมอ่ะ”
       กรี้ด! เขาไม่รู้หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่ หญิงสาวปรี้ดแตกเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองหน้าเขาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ฉันหิว! พอใจหรือยัง แล้วที่ฉันร้องให้เนี่ย ก็เพราะว่าฉันขัดใจ คุณก็แกล้งฉันอยู่ได้ สะใจมากไหม พอใจคุณหรือยัง ทีนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะกินแล้วคุณสบายใจแล้วก็ไปเลยไป ไปให้พ้น”  สิงห์ยืนมองคนที่ยอมรับแต่มีผสมอาการโวยวายมาด้วยอย่างอึ้งๆปนขำขัน

“ก็ปากคุณไม่ตรงกับใจนี่ ถ้าคุณพูดแต่แรกก็คงได้กินไปนานแล้ว ทำแบบนี้ผมเองก็ไม่ได้สะใจอะไรอย่างที่คุณคิดหรอกนะชล..ผมจะไปพอใจได้ยังไงในเมื่อคุณหิวแล้วผมต้องมาทำแบบนี้” สิงห์อธิบายเสียงนุ่ม ชลนาฟังเขาอธิบายแล้วทำปากยื่นเป็นเด็กๆ

“ก็ฉันไม่อยากจะคุยกับคุณนี่ ฉันคุยกับคุณฉันก็แพ้ทุกที คุณน่ะไม่เคยจะยอมฉันเลย คุณชนะฉันทุกครั้ง”

“คุยกับคุณผมไม่ได้ต้องการหรอกนะชัยชนะน่ะ เพียงแต่คุณคิดว่าจะต้องชนะผมให้ได้ พอคุณเถียงไม่ได้ คุณเลยคิดว่าคุณน่ะแพ้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีทั้งคนชนะหรือว่าคนแพ้ทั้งนั้นล่ะ” สิงห์พูด ก่อนจะทิ้งตัวนั่งยองๆแล้วจับมือของหญิงสาวที่วางไว้บนตักของเจ้าตัว มาบีบเบาๆ “..แล้วอีกอย่าง การคุยกันมันก็จะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น ไม่ได้ยากตรงไหนเลยไม่ใช่หรือชล”
    
     ชลนามองหน้าเขาแล้วไม่พูดอะไร ขอเวลาทำใจก่อน… เมื่อมองเห็นแต่ความจริงใจที่เขาส่งมาให้ จึงพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจแต่ไม่พูด แล้วจับมือเขาให้ห่างจากตักของตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกจั้กกะจี้ทั้งที่ตักและ..ในอก

“สรุปว่าเราจะคุยกันใช่ไหม” สิงห์เลื่อนมือไปจับเก้าอี้ไว้แทนเมื่อหญิงสาวไม่ให้จับมือแถมยังไม่ให้วางมือบนตักแล้ว..

“คุยก็ได้” สิ้นเสียงของเธอ ริมฝีปากของสิงห์ก็คลี่ออก ส่งยิ้มสวยๆให้เธอ แล้วหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง

“งั้นรอสักสิบนาที เดี๋ยวมา” ว่าแล้วก็วิ่งหายกลับเข้าไปในครัว ชลนามองตามเขาอย่างพอจะเข้าใจว่าเขาคงจะกลับไปค้นอะไรที่พอจะกินได้มาให้เธอ..ซึ่งเธอก็หวังว่าเขาคงจะไม่ทำร้ายเธอด้วยการไปตักของที่เขาเพิ่งทิ้งในถังขยะมาให้เธอก็แล้วกัน
    
       นึกๆไปแล้วหญิงสาวก็พอจะเข้าใจเขา..รู้สึกได้ว่าเขากำลังดัดนิสัยเธออย่างอ้อมๆในเรื่องความเอาแต่ใจ ชอบเอาชนะ แล้วก็มีทิฐิสูง.. แถมวิธีที่เขาแก้เผ็ดเธอนั้นก็ดูเหมือนไม่ซับซ้อนอะไร แต่เธอกำลังรู้สึกว่าเธอ..เริ่มจะคิดได้ เอ้ะ…

“มาแล้วครับผม” เสียงนุ่มๆกับอะไรบางอย่างที่โชยมาเข้าจมูกทำให้ชลนาหยุดคิด ก่อนจะเห็นว่าเขายกถาดเดิมที่เอากลับไปแล้วกลับมาวางตรงหน้าของเธอ เมื่อได้เห็นของตรงหน้าเต็มๆตา ดวงตาสวยก็เบิกกว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะมีชีวิตรอด เธอมองสบตาเขาดีใจเป็นเด็กๆ สิงห์มองหน้าสวยๆนั้นแล้วแสนจะเอ็นดู ก่อนจะรีบยกจานอาหารลงจากถาด

“เมื่อกี้ฉันเห็นคุณเททิ้งไปแล้วนี่ แล้วนี่คุณไปเอามาจากไหนอ่ะ คงจะไม่ได้ไปเอามาจากก้นถังที่คุณเพิ่งเททิ้งไปใช่ไหมเนี่ย”
   แหม..แม่คุณก็ช่างคิด สิงห์ส่ายหน้า

“เปล่าหรอก แม่เหลือไว้ให้เยอะเลย พอรู้ว่าเราจะมา แม่ชลแล้วก็แม่พี่เลยตั้งหม้อทำสุดฝีมือ” สิงห์พูดกลั้วหัวเราะ พาให้ชลนาหัวเราะไปด้วยเมื่อนึกไปถึงแม่ของตน เพราะเมื่อไหร่ที่เธอได้กลับไปที่บ้านแม่ของเธอก็จะทำกับข้าวเยอะทั้งฝีมือและปริมาณเตรียมไว้ก่อน เพราะมักจะคิดอยู่เสมอว่าเธอที่อยู่คอนโดคนเดียวสมัยเรียนนั้นจะอดกินของอร่อยๆ ทั้งๆที่สมัยนี้แค่ยกหูกริ๊งเดียว หรือว่าเดินเข้าร้านอาหารดีๆสักร้านหนึ่งก็จะได้กินของอร่อยแล้ว

“เรานี่โชคดีจังเลยนะคุณ มีแม่แบบนี้ทำให้ฉันไม่อยากจะโตเลยล่ะ”

“โตดีกว่า ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่ได้แต่งงานกัน” สิงห์รีบตอบไปทันความคิด ก่อนจะได้รับค้อนงามๆที่ส่งมาทันควัน

“ใครบอกว่าฉันจะแต่งงานกับคุณ”

“ผมบอกเอง”สิงห์ตอบยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกาย

“คุณจะบอกได้ยังไงล่ะ ฉันต้องเป็นคนบอกสิ!”

“ก็บอกสิ…”

“บ้า..เรื่องอะไร”ชลนาเบ้ปาก ก่อนจะถามต่อ “แล้วฉันจะกินได้ยัง ตอนนี้ไส้ฉันกำลังจะขาด”

“กินได้ แต่ยังหนึ่งคำต่อหนึ่งเรื่องเหมือนเดิมนะ” สิงห์ยังต่อรอง พลางจัดแจงที่ทางของจานข้าวและกับข้าวให้มาอยู่ตรงหน้าตนเสร็จสรรพ

“โอย..เรื่องมากจริงๆ แต่ก็ได้หมดแหละคุณ ตอนนี้ฉันยอม ฉันเป็นเบี้ยล่างคุณแล้วนี่” ยอมแล้วแต่ก็ยังอดประชดประชันเขาไม่ได้
เป็นเบี้ยล่างหรือเจ้านายกันหนอยายเด็กดื้อ เถียงเก่ง บ่นเก่ง ประชดก็เก่ง แต่ก็น่ารักที่สุด

“ตอนนี้ชลอารมณ์ไหนล่ะ”

“อารมณ์จะกินช้างได้ทั้งตัว..” พูดยังไม่ทันจบคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ป้อนข้าวให้ถึงที่เป็นคำแรกเล่นเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัว ต้องสำลักข้าวเป็นพัลวัน

“เอ้ะคุณ! ทำไมไม่ให้ฉันกินดีๆล่ะ นี่มันแกงเผ็ดนะฉันแสบคอ”

“นี่ น้ำ” สิงห์ยื่นน้ำให้หน้าตาเฉย ชลนาจึงรีบรับน้ำที่มีคนบริการถึงที่มาดื่มจนชุ่มคอ แล้วตั้งค่าจะพูดแต่ก็ไม่ทันเขา


“หมอนั่นมันเป็นคนยังไง”

“หมอไหน” ชลนาทำหน้างุนงน สิงห์เลยต้องชี้แจงอย่างเสียมิได้  

“ก็คนที่ชลบอกว่าคุยกันมานาน คุยกันถูกคอ จนมันมาสารภาพรักนั่นไง”  ชลนาฟังแล้วก็ถึงบางอ้อ ยกน้ำขึ้นดื่มก่อนที่จะตอบ

“แหม..คุณก็พูดแค่ว่าคนที่คุยกันมานาน คุยกันถูกคอก็พอ ไม่ต้องเอาเรื่องนั้นมาพูดหรอกน่า..แล้วคุณจะอยากรู้เรื่องของพี่นนท์ทำไมล่ะ ฉันไม่อยากจะพูดถึงเลยคุณรู้ไหม ดีนะช่วงนี้เรียนจบแล้วเลยไม่ต้องเจอกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน”    ชลนาพูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง เรื่องเครียดของคนสวยจริงๆ แม้แต่คนที่ไว้ใจก็ยังจะมาชอบกันเสียได้ จนตอนนี้เธอไม่เหลือเพศตรงข้ามที่มีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ดีกับเธออีกต่อไปแล้ว

“ทำไมถึงได้เจอกันบ่อยล่ะ เขาเป็นรุ่นพี่คุณ ก็แสดงว่าเรียนจบไปแล้ว” สิงห์ไม่ตอบแต่ถามแทน

“ก็พี่เขาน่ะนะ นอกจากรูปหล่อ พ่อรวย แล้วยังมีสมองอีกด้วย เรียนเก่งสุดยอด ฉันเลยต้องไปปรึกษาเรื่องเรียนบ้างอะไรบ้าง” ชลนาจีบปากจีบคออธิบายอย่างไม่เกี่ยงงอน โดยไม่ได้สนใจคนที่เริ่มจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ผมก็หล่อ พ่อรวย แถมยังมีสมองแล้วก็ยังเรียนเก่งสุดยอด”
      ชลนามองหน้าเขาอย่างทึ่งที่เขาสามารถชมตัวเองได้อย่างไม่กระดากปากเลยสักนิด รูปหล่อน่ะ..ก็หล่อตี๋แนวเกาหลีกลายๆ แต่ชอบทำนิสัยโหดไปนิด พ่อรวย..อันนี้ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ เพราะเขาเป็นนักธุรกิจก็น่าจะสืบสานมาจากครอบครัว ส่วนมีสมองหรือเรียนเก่งสุดยอด..อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ดูจากโหงวเฮ้งแล้วเขาก็คงจะเป็นเช่นนั้นไม่ผิดเพี้ยน

“แต่พี่นนท์เขาไม่แก่”

“ผมก็ไม่ได้แก่..โอเค ผมอาจจะอายุเยอะกว่าพวกคุณ แต่..ใบหน้าผมก็ยังพอๆกับใบหน้าของเขาแล้วก็คุณ..”สิงห์ชี้นิ้วไปทางชลนา

“คุณจะบอกว่าคุณหน้าเด็กว่างั้น”

“คงงั้นมั้ง แล้วตกลงเขาเป็นคนยังไงทำไมคุณถึงถูกใจ”

“ถูกคอ..” ค้อนให้เขาปะหลักปะเหลื่อ “ ก็..พี่นนท์เป็นคนคุยเก่ง คอยหาเรื่องนู่นนี่มาคุยให้ไม่เบื่อ แถมยังสุภาพ  เอาใจ ไม่คอยมานั่งบ่น นั่งว่าฉันเหมือนคุณ”   ประโยคสุดท้ายแขวะเขาไม่จริงจังนัก ก่อนจะรีบอ้าปากเมื่อเขายื่นข้าวมาให้แล้วต่อด้วยแกงเขียวหวานแสนอร่อย

“ผมเอาใจไม่เก่ง แต่ผมจริงใจ ผมอาจจะไม่ได้พูดคำหวานๆให้คุณฟังบ่อยๆ แต่ถ้าผมพูดมันก็จะเป็นคำพูดที่มีค่า แล้วก็น่าจดจำ”

“ไม่จริงคุณบอกรักฉันง่ายมาก” ชลนาเถียงทันควัน

“คำนี้ยกเว้นจากคำหวานๆคำอื่น เพราะคำนี้สำคัญกว่ามาก ถึงแม้ว่าคนเราจะพูดว่า คำว่ารักแสดงออกเป็นการกระทำ แต่บางทีเราก็ควรที่จะพูดมันออกมา  รักเขาแต่ไม่บอกเขา เขาจะรู้ได้ยังไงถูกไหม”

“แล้วทำไมคุณรักฉันเร็วจังล่ะ เราเพิ่งรู้จักกันเอง” ถึงแม้จะกระดากที่จะถามและคิดว่าเขารักเธอจริงๆหรือเปล่า แต่ก็ยังอยากจะรู้

“คุณเพิ่งรู้จักผม..แต่ผมรู้จักคุณมานานแล้ว”

“ตอนไหน”

“เอ่อ..ก็คุณเป็นดาวมหาวิทยาลัย ทำกิจกรรมนู่นนั่น ผมก็ต้องรู้จักคุณอยู่แล้ว ใครๆก็รู้จักคุณ รูปคุณมีอยู่เต็มมหาวิทยาลัยไปหมด” สิงห์ให้เหตุผล ชลนาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่