เย็นวันเดียวกันนั้นหญิงสามชายหนึ่งก็กลับมานั่งทานข้าวพร้อมเพรียงกันอีกเช่นตอนเช้า สิงห์ลอบสังเกตแต้มดาวแต่เขายังควบคุมความรู้สึกผ่านทางสีหน้าได้ดี ตราบใดที่หญิงสาวไม่พาตัวเองออกจากบ้านของเขา ตะวันเพื่อนรัก…ก็จะไม่มีโอกาสกลับบ้านเช่นกัน ถือเป็นการมัดมือเพื่อนไปในตัว
ผู้เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงลงมือทานข้าวอย่างไม่รีบร้อน แต่ทว่าคนที่รีบร้อนนั้นกลับเป็นตะวันที่ต้องการจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านเต็มที และในเมื่อหน้าที่ของเธอก็คือตามติดแต้มดาวและมีหน้าที่อีกอย่างคือแยกสองสาวออกจากกันเพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนรักอย่างสิงห์ เธอก็คงจะต้องลงมือจัดการอย่างจริงจังเสียที ไม่เช่นนั้นก็เป็นปาท่องโก๋ติดกันอยู่สี่คนกับอีกหนึ่งตัวอยู่ในบ้านนี่แหละ ไม่ต้องทำมาหากินกันเป็นแน่
“ผมอิ่มแล้ว…” เพียงไม่นานสิงห์ก็รวบช้อน
“ฉันก็อิ่มแล้ว..”
ตะวันรีบพูดตามเพื่อน เพื่อที่จะได้เป็นการไล่แต้มดาวกรายๆ แต่ทว่าสองสาวยังคงทานข้าวกันต่อไปทั้งๆที่ข้าวในจานก็เหลือเพียงน้อยนิดแล้ว
“แต่ฉันยังไม่อิ่ม”
“ฉันก็ยังไม่อิ่มเหมือนกันค่ะ”
พูดไม่พูดเปล่า ยังพากันเติมข้าวจนพูนจานทั้งสองคนเล่นเอาคนที่บอกว่าอิ่มต้องนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นพลางคิดหาแผนการกันไปด้วย
“เธอ..เอารถมาใช่ไหม”
ตะวันที่นิ่งไปอึดใจถามขึ้น พร้อมๆกับที่สิงห์ยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่สมองยังครุ่นคิดหาทางเชิญแขกกลับบ้าน
“ฉันเหรอคะ..ค่ะ จอดอยู่ข้างนอกพี่ตะวันก็เห็นนี่คะ”
แต้มดาวยอมเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวเมื่อรู้สึกว่าเธอถูกจ้องอยู่
“อ่อ..จานนี้หมดแล้วคงอิ่มแล้ว ฉันขอติดรถเธอกลับบ้านด้วยนะ..เอ้า มองอะไร รีบทานสิ”
คำพูดรวบรัดของตะวันทำให้สองสาวที่เหลือมองหน้ากันเหลอหลา ขณะที่สิงห์พอใจกับฝีมือเพื่อนรักอย่างยิ่งและกระดิกเท้ารอไปพลางๆ และเมื่อข้าวในจานของแต้มดาวเหลืออีกเพียงคำเดียว ตะวันก็จัดการนำกระเป๋าเป้ของตัวเองและกระเป๋าถือส่วนตัวของแต้มดาวในห้องนอนออกมายืนรอ พอดีกับที่หญิงสาวยกคำสุดท้ายเข้าปาก…เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เจอกับรอยยิ้มกริ่มของสองเพื่อนรักรออยู่แล้ว
“ประสาท”
คำพูดร้ายกาจลอยเข้ามาให้ได้ยินในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล ทำให้สิงห์หุบรอยยิ้มของตัวเองแทบไม่ทัน ก่อนจะพยายามปั้นหน้าตาให้ขึงขัง น่าเคารพนับถือ เข้าไว้แล้วช่วยหญิงสาวยกจานไปล้าง
“อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ ที่คุณพยายามไล่เพื่อนของฉัน”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งอยู่เฉยๆ คุณก็เห็น”
สิงห์แก้ตัวเมื่อถูกจู่โจมก่อน มือก็ควานหาจานมาล้างไปด้วยแกว่าง และไม่อยากถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานเด็ก หรือเอาเปรียบเจ้าหล่อน
“นั่งกดดันน่ะสิ สงสารแต้มจริงๆที่ต้องมาเจอคนอย่างคุณ อันที่จริงฉันสงสารตัวเองมากกว่า”
“ผมก็สงสารตัวเองเหมือนกัน”
เขาพึมพำแทบจะทันที ทว่าชลนาได้ยินเต็มหู จึงค่อยๆหันไปมองเขาช้าๆ แต่สายตาคมกริบ ทว่าเขาก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเกินกว่าจะถือสาเธอ
“พ่อแม่แต้มไม่ค่อยอยู่บ้าน กลับไปเร็วก็ต้องไปอยู่คนเดียวอยู่ดี นี่เพิ่งจะสองทุ่มเองนะ”
สิงห์ลอบมองสีหน้าหงอยๆของชลนาแล้วอยากจะดึงหัวมนๆนั้นมากอดสักทีสองทีเป็นการปลอบใจทั้งเธอ..และตัวเองที่ริจะคบเด็กที่ยังติดเพื่อนอยู่ อันตัวเขานั้น เรื่องอายุไม่เป็นอุปสรรคเลยสักน้อย ถึงเขาจะอายุสามสิบเธอจะอายุยี่สิบสอง เขาก็เป็นเพื่อนกับเธอได้ แถมยังดูแลเธอให้มีความสุขได้แน่นอน มีคนรักอย่างเขามันไม่ดีตรงไหน ได้เขาแล้วยังเหมือนได้พ่อคอยดูแลปกป้องด้วยเสียอีก…แต่ไอ้ที่ผิดมันก็ผิดอยู่เรื่องเดียวนี่เอง
เขาเข้ามาหาเธอผิดจังหวะไปสักหน่อย…แต่ถ้าไม่เข้าตอนนี้แล้วจะให้มาตอนไหน ให้รอไปอีกสี่ห้าปีให้เธอเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวอย่างนั้นหรือ ป่านนั้นแม่สาวน้อยของเขาคงจะเสร็จเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออย่างแต้มดาวเสียแล้ว ดูเอาเถอะ แค่ยี่สิบสองปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่มองใครแล้ว แล้วถ้าให้อยู่ด้วยกันไปอีกสี่ห้าปี เธอไม่เกลียดผู้ชายไปเลยเรอะ.. สิงห์ส่ายหน้า ไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่
“แต้มนิสัยดีนะคุณ เขาจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนใจเลย..”
สิงห์ไม่พูด แต่ฟังแล้วนำมาคิด ยังมาบรรยายข้อดีให้เขาฟังอีก..ยิ่งเป็นเพื่อนกันมา ยิ่งได้เปรียบกว่าเขาหลายขุมนัก แต้มดาวคงจะเป็นนางฟ้าของชลนาเลยทีเดียว ในขณะที่เขาเหมือน…ผู้ร้ายชัดๆ เพราะเขาเข้ามาในชีวิตของเธอแบบที่หญิงสาวไม่ได้เต็มใจเลยแม้แต่น้อย..
“ฉะนั้น…”
แต่ไอ้เรื่องความประทับใจ มันก็สร้างกันได้ไม่ใช่หรือ…
“ให้เพื่อนฉันมาหาฉันบ่อยๆนะ”
ชลนาปรับเสียงให้อ่อนลงเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป แต่เมื่อรอไปอีกหลายนาทีเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบจึงได้หันไปมองหน้าเขาที่หยุดช่วยเธอล้างจานไปแล้วเสียดื้อๆ มองอยู่ไม่นานมือของเขาก็กลับมาขยับอีกครั้งบนอ่างล้างจาน แต่ก็ยังไม่ตอบเธออยู่ดี หญิงสาวจึงหันกลับไปล้างจานต่ออย่างเพลินๆ ก่อนที่จะรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่แทรกเข้ามาที่ฝ่ามือ
“หยุด”
“ไม่หยุด”
เขายังคงบุกเธอทางฝ่ามือด้วยการจับไว้แน่นใต้น้ำล้างจาน
“เอาอย่างนั้นใช่ไหม..ได้”
สิงห์มองสีหน้าเหี้ยมๆของชลนาได้ไม่นาน ก็รู้สึกแปลบที่มือเพราะชลนาเอาเล็บมืออีกข้างมาจิกลงบนมือข้างที่กำมือเธอไว้ แต่ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ ยังคงจับเอาไว้อย่างนั้น ปล่อยให้เธอโวยวายอยู่สักครู่ จึงได้เป็นฝ่ายพูดขึ้นแทรกเสียงของเธอบ้าง
“ชลลองมองดูมือของเราสิ พี่จับมือชลไว้แบบนี้เห็นไหม”
“เห็น! แต่ทำไมต้องจับด้วย”
เธอโวยวาย
“ความสัมพันธ์ของคนเราจะดีขึ้นหลังจากจับมือกันครั้งแรกนะ”
“บ้า..” เธอหมั่นไส้ทฤษฎีความสัมพันธ์บ้าบอของเขาที่ชอบยกขึ้นมาพูดอยู่เรื่อย แต่ก็เถียงไม่ออก ไม่รู้จะต่อปากต่อคำกับเจ้าของใบหน้าจริงจังแบบกวนๆนี้อย่างไร ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเจอสายตามีความหมายของเขา ที่เธอไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไรแน่ และไม่กี่นาทีจากนั้น เขาก็เผยมันออกมาเป็นคำพูด
“ตราบใดที่เรายังจับมือกันอยู่แบบนี้ชลไม่ต้องกลัว พี่จะอยู่ข้างชลเสมอและไม่ทิ้งชลไปไหนให้ชลต้องเจ็บช้ำใจ ชลจะไม่เหงา ไม่ว้าเหว่ตลอดชีวิต ชลไว้ใจพี่ได้”
ขณะพูดสิงห์ก้มลงมองคนเตี้ยกว่าทุกวินาที เขาอยากจะรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่ชลนาก็ยังเป็นชลนา..เขาเห็นแต่ความว่างเปล่าในนัยน์ตานั้น
ชลนามองสิงห์ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นอยู่บ้านพร้อมกับตะกร้าเสื้อผ้าของเขาเดินลับไปหลังบ้าน พอนึกได้ว่าของตัวเองก็ยังไม่ได้ซักเหมือนกันจึงเดินไปหยิบตะกร้าในห้องนอนแล้วเดินตามเขาไปเงียบๆ เมื่อเห็นเขาวางเสื้อผ้าลงข้างเครื่อง เธอก็วางเหมือนกัน พอเขาหยิบเสื้อผ้าใส่ในเครื่องจนหมดแล้ว เธอจึงเอ่ยปาก
“ของฉัน..ไม่กี่ตัวเอง ขอฝากคุณซักด้วยกันได้รึเปล่า”
“ไม่ได้”
เขาส่งเสียงเข้มมาให้ช่างแตกต่างจากวันก่อนลิบลับ
“โธ่ แค่เสื้อผ้าสองสามตัวเอง..คุณถือเหรอ”
“เปล่า แต่นี่มันเครื่องซักผ้าของผม ส่วนของคุณ นู่น”
ชลนามองตามที่เขาพยักเพยิด คิดว่าเขาล้อเล่น เพราะมันคือมุมของกะละมังซักผ้า
“คุณจะให้ฉันซักมือเหรอ”
เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้าให้อย่างจริงจังแล้วเดินเลี่ยงเข้าตัวบ้านไป โดยก่อนไปยังไม่วายกำชับไม่ให้เธอใช้เครื่องซักผ้าร่วมกับเขาอีก ชลนาไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเช่นนี้ วันก่อนยังมาทำเป็น ‘พี่’อย่างนั้น ‘ชล’ อย่างนี้ แล้ววันนี้ก็กลับมาเป็นคนเดิมอีกแล้ว เขาช่างเป็นคนที่เข้าใจยากและอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าเธอเสียอีก!!
แต่ชลนายังไม่คิดจะซักมือในเวลานี้ จึงถือตะกร้ากลับไปไว้ตามเดิม ทว่าก่อนที่จะถึงห้องเขาก็เดินสวนเธอออกมาพร้อมกับลูกหมาของเขาที่เดินตามมาด้วย
“ไปไหน มานี่เร็ว”
เขาพยักหน้าเรียก แปลความได้ว่าให้ตามเขาไป ชลนาขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังยอมเดินตามเขาต้อยๆไปทางหลังบ้านอยากจะรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก่อนจะเห็นว่าเขานำกะละมังมารองน้ำแล้วยีให้เป็นฟอง หลังจากนั้นก็เดินมาหยิบตะกร้าเสื้อผ้าของเธอไป พร้อมกับเทลงแช่ในกะละมังให้ด้วย เมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่ต้องแยกผ้า แล้วเริ่มสาธิตการซักผ้าด้วยมือให้เธอดู
“นี่คุณคิดว่าฉันซักไม่เป็นเหรอ”
เธอเท้าสะเอวมองเขาทำอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกถูกเขาดูถูกทางอ้อมอย่างไรพิกล
“เป็น แต่ขี้เกียจ” เขาตอบแบบไม่เสียเวลาคิดและหันมา เธอจึงไม่เห็นว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไร แต่ก็พอรู้ว่าคงหน้าตายเหมือนเดิม
“อ้าว พูดแบบนี้ก็สวยสิ ลุกเลย ฉันจะซักเอง” ขยับเข้าไปยืนข้างๆเขาทันที นอกจากจะไม่พอใจคำพูดที่เกือบจะจริงของเขาแล้ว เธอก็ไม่ได้ต้องการให้เขามาซักผ้าให้ด้วย!
“นึกว่าจะแกล้งทำขี้เกียจต่อไปให้ผมซักให้เสียอีก”
เขากระเซ้าแกมประชดนิดๆ แต่เจ็บประมาณมดกัดเท่านั้นสำหรับชลนา เธอใช้มือดันๆไหล่เขาให้พ้นทาง ก่อนจะเข้าไปนั่งเก้าอี้เตี้ยๆนั่นแทนเขา และเริ่มลงมือซักผ้าให้เขาดูเป็นบุญตา
“นี่ เห็นไหม ซักเป็น คุณจะไปไหนก็ไปเถอะไม่ต้องมาเฝ้า”
เธอทำมือเป็นเชิงไล่เขา แม้จะมีฟองสบู่ติดอยู่เต็มก็ตามจนมันปลิวไปติดเสื้อเขาหลายจุด แต่ก่อนที่เขาจะได้แย้งอะไร เสียงเรียกเข้าคุ้นหูก็ดังขึ้น
“โอ๊ะ สงสัยแต้มโทรมา วานคุณช่วยไปหยิบมาให้หน่อยสิ”
เขาส่ายหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมไปหยิบมาให้เพราะถ้าเป็นแต้มดาวโทรมาจริง จะได้จัดการวางสายเสียเลย..แต่เขาก็ไปหลายนาทีจนชลนาจะรู้สึกว่าเขาจะใช้เวลาในการเดินไปหยิบมาให้เธอนานไปนิดจนสายนั้นถูกตัดไปครั้งและกำลังดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็พอดีกับที่เขาเดินมายื่นให้ เธอถึงได้เห็นว่าคนที่โทรมาไม่ใช่แต้มดาว
“สายแรกนั่น..ก็ไม่ใช่แต้มใช่ไหม”
สิงห์พยักหน้าให้ ชลนาไม่ทันสังเกตสีหน้าที่ขรึมขึ้นอย่างชัดเจนของเขา ก่อนจะรับโทรศัพท์มาถือไว้และตัดสินใจกดรับ
“สวัสดีค่ะพ่อ”
“….”
“พ่อคุณว่าไงบ้าง”
ชลนาเงยหน้ามองเขาหลังจากคุยกับบิดาเสร็จและวางสายไปแล้วโดยนับรวมแล้วไม่ถึงสิบประโยค ..เมื่อเขาถามขึ้นและ เธอคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรเขาจึงตัดสินใจเล่า
“พ่อฉันโทรมาเกลี้ยกล่อมให้ฉันแต่งงานกับคุณ”
“แล้วคุณว่าไง..”
“
ฉันก็ไม่แต่งน่ะสิ!”
ชลนาเงยหน้าพร้อมตาแดงๆมาจ้องเขาอย่างโกรธขึ้ง แต่ทว่าวูบหนึ่งเธอเห็นรอยยิ้มจางๆของเขา ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นเมินเฉยตามเดิม
“อ่อ…แล้วพ่อคุณว่าไงอีก”
“พ่อให้ฉันกลับไปอยู่บ้าน ตอนนี้พ่อคิดว่าฉันอยู่กับพี่น้ำ”
หญิงสาวทำเสียงฟุดฟิดเพราะเมื่อพยายามไม่ให้น้ำมันไหลมาทางตามันจึงไหลไปทางจมูกแทน
“แล้วชลจะกลับไหม”
สิงห์ถามเสียงเบา อยากจะคว้าคนขี้น้อยใจมากอดปลอบเหลือเกิน แต่ถ้าทำแบบนั้นเขาก็กลัวว่าเธอจะไม่พอใจ หาว่าเจ้าเล่ห์คิดเอาเปรียบอีก…แต่มาคิดดูอีกที ถ้าเขากอดแล้วเธอจะโกรธและมาระบายอารมณ์กับเขาก็ยังดีกว่าปล่อยให้เครียดและเสียใจคนเดียว คิดแล้วมือหนาก็เคลื่อนไปจวนจะถึงผมที่มัดรวบไว้ข้างหลังนั้น แต่ขณะที่มือห่างอยู่กับศีรษะเธอเพียงเล็กน้อย เสียงของเธอก็ดังขึ้นหยุดมือเขาไว้เสียก่อน
“ไม่…”
“…”
“เพราะถ้าฉันอยู่นี่ครบกำหนดฉันก็ไม่ต้องแต่งงานกับคุณแล้วล่ะ มันก็คุ้มนะ”
“จะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตเหรอ”
“ อืม”
จบเสียงตอบรับที่เหมือนจะไม่มีการลังเลเลยสักนิดนั้นทำให้มือของเขากลับมาวางไว้ข้างตัวตามเดิม บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่คำสั้นๆเพียงเท่านั้นทำให้อารมณ์นิ่งๆของเขารู้สึกเดือดดาล อยากจะตะโกนใส่เธอดังๆสักครั้ง แต่ก็ทำไม่ลง ทำได้เพียงแค่หอบความรู้สึกของตัวเองที่กำลังส่งให้เธอกลับคืนมาก่อน และเดินหนีไปก็เท่านั้น
เสียงตอบรับของเธอเมื่อตอนเย็นทำให้สิงห์หงุดหงิดเพราะดูเหมือนว่าการทำให้ชลนาเปิดใจให้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเขาคงจะต้องเร่งปฏิกิริยาบ้าง แต่ยิ่งเร่งเขากลับยิ่งรู้สึกว่า..เป็นตัวเขาที่ถูกเร่งไม่ใช่ชลนาสักเท่าไหร่ เหมือนแพ้ภัยตัวเองไปทุกวันอย่างไรอย่างนั้น จะทำให้เธอรัก แต่พอเห็นหน้าสวยๆมีน้ำตาปริ่มๆตรงตา เขาก็จวนจะเทใจให้เธอไปเสียแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะว่าคนที่เคยมีความรักมาบ้างอย่างเขาจะเกิดความรักได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เคยมีความรักอย่างชลนา..
เล่ห์รัก บทที่ 9
ผู้เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงลงมือทานข้าวอย่างไม่รีบร้อน แต่ทว่าคนที่รีบร้อนนั้นกลับเป็นตะวันที่ต้องการจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านเต็มที และในเมื่อหน้าที่ของเธอก็คือตามติดแต้มดาวและมีหน้าที่อีกอย่างคือแยกสองสาวออกจากกันเพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนรักอย่างสิงห์ เธอก็คงจะต้องลงมือจัดการอย่างจริงจังเสียที ไม่เช่นนั้นก็เป็นปาท่องโก๋ติดกันอยู่สี่คนกับอีกหนึ่งตัวอยู่ในบ้านนี่แหละ ไม่ต้องทำมาหากินกันเป็นแน่
“ผมอิ่มแล้ว…” เพียงไม่นานสิงห์ก็รวบช้อน
“ฉันก็อิ่มแล้ว..”
ตะวันรีบพูดตามเพื่อน เพื่อที่จะได้เป็นการไล่แต้มดาวกรายๆ แต่ทว่าสองสาวยังคงทานข้าวกันต่อไปทั้งๆที่ข้าวในจานก็เหลือเพียงน้อยนิดแล้ว
“แต่ฉันยังไม่อิ่ม”
“ฉันก็ยังไม่อิ่มเหมือนกันค่ะ”
พูดไม่พูดเปล่า ยังพากันเติมข้าวจนพูนจานทั้งสองคนเล่นเอาคนที่บอกว่าอิ่มต้องนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นพลางคิดหาแผนการกันไปด้วย
“เธอ..เอารถมาใช่ไหม”
ตะวันที่นิ่งไปอึดใจถามขึ้น พร้อมๆกับที่สิงห์ยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่สมองยังครุ่นคิดหาทางเชิญแขกกลับบ้าน
“ฉันเหรอคะ..ค่ะ จอดอยู่ข้างนอกพี่ตะวันก็เห็นนี่คะ”
แต้มดาวยอมเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวเมื่อรู้สึกว่าเธอถูกจ้องอยู่
“อ่อ..จานนี้หมดแล้วคงอิ่มแล้ว ฉันขอติดรถเธอกลับบ้านด้วยนะ..เอ้า มองอะไร รีบทานสิ”
คำพูดรวบรัดของตะวันทำให้สองสาวที่เหลือมองหน้ากันเหลอหลา ขณะที่สิงห์พอใจกับฝีมือเพื่อนรักอย่างยิ่งและกระดิกเท้ารอไปพลางๆ และเมื่อข้าวในจานของแต้มดาวเหลืออีกเพียงคำเดียว ตะวันก็จัดการนำกระเป๋าเป้ของตัวเองและกระเป๋าถือส่วนตัวของแต้มดาวในห้องนอนออกมายืนรอ พอดีกับที่หญิงสาวยกคำสุดท้ายเข้าปาก…เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เจอกับรอยยิ้มกริ่มของสองเพื่อนรักรออยู่แล้ว
“ประสาท”
คำพูดร้ายกาจลอยเข้ามาให้ได้ยินในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล ทำให้สิงห์หุบรอยยิ้มของตัวเองแทบไม่ทัน ก่อนจะพยายามปั้นหน้าตาให้ขึงขัง น่าเคารพนับถือ เข้าไว้แล้วช่วยหญิงสาวยกจานไปล้าง
“อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ ที่คุณพยายามไล่เพื่อนของฉัน”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งอยู่เฉยๆ คุณก็เห็น”
สิงห์แก้ตัวเมื่อถูกจู่โจมก่อน มือก็ควานหาจานมาล้างไปด้วยแกว่าง และไม่อยากถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานเด็ก หรือเอาเปรียบเจ้าหล่อน
“นั่งกดดันน่ะสิ สงสารแต้มจริงๆที่ต้องมาเจอคนอย่างคุณ อันที่จริงฉันสงสารตัวเองมากกว่า”
“ผมก็สงสารตัวเองเหมือนกัน”
เขาพึมพำแทบจะทันที ทว่าชลนาได้ยินเต็มหู จึงค่อยๆหันไปมองเขาช้าๆ แต่สายตาคมกริบ ทว่าเขาก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเกินกว่าจะถือสาเธอ
“พ่อแม่แต้มไม่ค่อยอยู่บ้าน กลับไปเร็วก็ต้องไปอยู่คนเดียวอยู่ดี นี่เพิ่งจะสองทุ่มเองนะ”
สิงห์ลอบมองสีหน้าหงอยๆของชลนาแล้วอยากจะดึงหัวมนๆนั้นมากอดสักทีสองทีเป็นการปลอบใจทั้งเธอ..และตัวเองที่ริจะคบเด็กที่ยังติดเพื่อนอยู่ อันตัวเขานั้น เรื่องอายุไม่เป็นอุปสรรคเลยสักน้อย ถึงเขาจะอายุสามสิบเธอจะอายุยี่สิบสอง เขาก็เป็นเพื่อนกับเธอได้ แถมยังดูแลเธอให้มีความสุขได้แน่นอน มีคนรักอย่างเขามันไม่ดีตรงไหน ได้เขาแล้วยังเหมือนได้พ่อคอยดูแลปกป้องด้วยเสียอีก…แต่ไอ้ที่ผิดมันก็ผิดอยู่เรื่องเดียวนี่เอง
เขาเข้ามาหาเธอผิดจังหวะไปสักหน่อย…แต่ถ้าไม่เข้าตอนนี้แล้วจะให้มาตอนไหน ให้รอไปอีกสี่ห้าปีให้เธอเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวอย่างนั้นหรือ ป่านนั้นแม่สาวน้อยของเขาคงจะเสร็จเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออย่างแต้มดาวเสียแล้ว ดูเอาเถอะ แค่ยี่สิบสองปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่มองใครแล้ว แล้วถ้าให้อยู่ด้วยกันไปอีกสี่ห้าปี เธอไม่เกลียดผู้ชายไปเลยเรอะ.. สิงห์ส่ายหน้า ไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่
“แต้มนิสัยดีนะคุณ เขาจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนใจเลย..”
สิงห์ไม่พูด แต่ฟังแล้วนำมาคิด ยังมาบรรยายข้อดีให้เขาฟังอีก..ยิ่งเป็นเพื่อนกันมา ยิ่งได้เปรียบกว่าเขาหลายขุมนัก แต้มดาวคงจะเป็นนางฟ้าของชลนาเลยทีเดียว ในขณะที่เขาเหมือน…ผู้ร้ายชัดๆ เพราะเขาเข้ามาในชีวิตของเธอแบบที่หญิงสาวไม่ได้เต็มใจเลยแม้แต่น้อย..
“ฉะนั้น…”
แต่ไอ้เรื่องความประทับใจ มันก็สร้างกันได้ไม่ใช่หรือ…
“ให้เพื่อนฉันมาหาฉันบ่อยๆนะ”
ชลนาปรับเสียงให้อ่อนลงเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป แต่เมื่อรอไปอีกหลายนาทีเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบจึงได้หันไปมองหน้าเขาที่หยุดช่วยเธอล้างจานไปแล้วเสียดื้อๆ มองอยู่ไม่นานมือของเขาก็กลับมาขยับอีกครั้งบนอ่างล้างจาน แต่ก็ยังไม่ตอบเธออยู่ดี หญิงสาวจึงหันกลับไปล้างจานต่ออย่างเพลินๆ ก่อนที่จะรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่แทรกเข้ามาที่ฝ่ามือ
“หยุด”
“ไม่หยุด”
เขายังคงบุกเธอทางฝ่ามือด้วยการจับไว้แน่นใต้น้ำล้างจาน
“เอาอย่างนั้นใช่ไหม..ได้”
สิงห์มองสีหน้าเหี้ยมๆของชลนาได้ไม่นาน ก็รู้สึกแปลบที่มือเพราะชลนาเอาเล็บมืออีกข้างมาจิกลงบนมือข้างที่กำมือเธอไว้ แต่ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ ยังคงจับเอาไว้อย่างนั้น ปล่อยให้เธอโวยวายอยู่สักครู่ จึงได้เป็นฝ่ายพูดขึ้นแทรกเสียงของเธอบ้าง
“ชลลองมองดูมือของเราสิ พี่จับมือชลไว้แบบนี้เห็นไหม”
“เห็น! แต่ทำไมต้องจับด้วย”
เธอโวยวาย
“ความสัมพันธ์ของคนเราจะดีขึ้นหลังจากจับมือกันครั้งแรกนะ”
“บ้า..” เธอหมั่นไส้ทฤษฎีความสัมพันธ์บ้าบอของเขาที่ชอบยกขึ้นมาพูดอยู่เรื่อย แต่ก็เถียงไม่ออก ไม่รู้จะต่อปากต่อคำกับเจ้าของใบหน้าจริงจังแบบกวนๆนี้อย่างไร ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเจอสายตามีความหมายของเขา ที่เธอไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไรแน่ และไม่กี่นาทีจากนั้น เขาก็เผยมันออกมาเป็นคำพูด
“ตราบใดที่เรายังจับมือกันอยู่แบบนี้ชลไม่ต้องกลัว พี่จะอยู่ข้างชลเสมอและไม่ทิ้งชลไปไหนให้ชลต้องเจ็บช้ำใจ ชลจะไม่เหงา ไม่ว้าเหว่ตลอดชีวิต ชลไว้ใจพี่ได้”
ขณะพูดสิงห์ก้มลงมองคนเตี้ยกว่าทุกวินาที เขาอยากจะรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่ชลนาก็ยังเป็นชลนา..เขาเห็นแต่ความว่างเปล่าในนัยน์ตานั้น
ชลนามองสิงห์ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นอยู่บ้านพร้อมกับตะกร้าเสื้อผ้าของเขาเดินลับไปหลังบ้าน พอนึกได้ว่าของตัวเองก็ยังไม่ได้ซักเหมือนกันจึงเดินไปหยิบตะกร้าในห้องนอนแล้วเดินตามเขาไปเงียบๆ เมื่อเห็นเขาวางเสื้อผ้าลงข้างเครื่อง เธอก็วางเหมือนกัน พอเขาหยิบเสื้อผ้าใส่ในเครื่องจนหมดแล้ว เธอจึงเอ่ยปาก
“ของฉัน..ไม่กี่ตัวเอง ขอฝากคุณซักด้วยกันได้รึเปล่า”
“ไม่ได้”
เขาส่งเสียงเข้มมาให้ช่างแตกต่างจากวันก่อนลิบลับ
“โธ่ แค่เสื้อผ้าสองสามตัวเอง..คุณถือเหรอ”
“เปล่า แต่นี่มันเครื่องซักผ้าของผม ส่วนของคุณ นู่น”
ชลนามองตามที่เขาพยักเพยิด คิดว่าเขาล้อเล่น เพราะมันคือมุมของกะละมังซักผ้า
“คุณจะให้ฉันซักมือเหรอ”
เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้าให้อย่างจริงจังแล้วเดินเลี่ยงเข้าตัวบ้านไป โดยก่อนไปยังไม่วายกำชับไม่ให้เธอใช้เครื่องซักผ้าร่วมกับเขาอีก ชลนาไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเช่นนี้ วันก่อนยังมาทำเป็น ‘พี่’อย่างนั้น ‘ชล’ อย่างนี้ แล้ววันนี้ก็กลับมาเป็นคนเดิมอีกแล้ว เขาช่างเป็นคนที่เข้าใจยากและอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าเธอเสียอีก!!
แต่ชลนายังไม่คิดจะซักมือในเวลานี้ จึงถือตะกร้ากลับไปไว้ตามเดิม ทว่าก่อนที่จะถึงห้องเขาก็เดินสวนเธอออกมาพร้อมกับลูกหมาของเขาที่เดินตามมาด้วย
“ไปไหน มานี่เร็ว”
เขาพยักหน้าเรียก แปลความได้ว่าให้ตามเขาไป ชลนาขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังยอมเดินตามเขาต้อยๆไปทางหลังบ้านอยากจะรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก่อนจะเห็นว่าเขานำกะละมังมารองน้ำแล้วยีให้เป็นฟอง หลังจากนั้นก็เดินมาหยิบตะกร้าเสื้อผ้าของเธอไป พร้อมกับเทลงแช่ในกะละมังให้ด้วย เมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่ต้องแยกผ้า แล้วเริ่มสาธิตการซักผ้าด้วยมือให้เธอดู
“นี่คุณคิดว่าฉันซักไม่เป็นเหรอ”
เธอเท้าสะเอวมองเขาทำอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกถูกเขาดูถูกทางอ้อมอย่างไรพิกล
“เป็น แต่ขี้เกียจ” เขาตอบแบบไม่เสียเวลาคิดและหันมา เธอจึงไม่เห็นว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไร แต่ก็พอรู้ว่าคงหน้าตายเหมือนเดิม
“อ้าว พูดแบบนี้ก็สวยสิ ลุกเลย ฉันจะซักเอง” ขยับเข้าไปยืนข้างๆเขาทันที นอกจากจะไม่พอใจคำพูดที่เกือบจะจริงของเขาแล้ว เธอก็ไม่ได้ต้องการให้เขามาซักผ้าให้ด้วย!
“นึกว่าจะแกล้งทำขี้เกียจต่อไปให้ผมซักให้เสียอีก”
เขากระเซ้าแกมประชดนิดๆ แต่เจ็บประมาณมดกัดเท่านั้นสำหรับชลนา เธอใช้มือดันๆไหล่เขาให้พ้นทาง ก่อนจะเข้าไปนั่งเก้าอี้เตี้ยๆนั่นแทนเขา และเริ่มลงมือซักผ้าให้เขาดูเป็นบุญตา
“นี่ เห็นไหม ซักเป็น คุณจะไปไหนก็ไปเถอะไม่ต้องมาเฝ้า”
เธอทำมือเป็นเชิงไล่เขา แม้จะมีฟองสบู่ติดอยู่เต็มก็ตามจนมันปลิวไปติดเสื้อเขาหลายจุด แต่ก่อนที่เขาจะได้แย้งอะไร เสียงเรียกเข้าคุ้นหูก็ดังขึ้น
“โอ๊ะ สงสัยแต้มโทรมา วานคุณช่วยไปหยิบมาให้หน่อยสิ”
เขาส่ายหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมไปหยิบมาให้เพราะถ้าเป็นแต้มดาวโทรมาจริง จะได้จัดการวางสายเสียเลย..แต่เขาก็ไปหลายนาทีจนชลนาจะรู้สึกว่าเขาจะใช้เวลาในการเดินไปหยิบมาให้เธอนานไปนิดจนสายนั้นถูกตัดไปครั้งและกำลังดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็พอดีกับที่เขาเดินมายื่นให้ เธอถึงได้เห็นว่าคนที่โทรมาไม่ใช่แต้มดาว
“สายแรกนั่น..ก็ไม่ใช่แต้มใช่ไหม”
สิงห์พยักหน้าให้ ชลนาไม่ทันสังเกตสีหน้าที่ขรึมขึ้นอย่างชัดเจนของเขา ก่อนจะรับโทรศัพท์มาถือไว้และตัดสินใจกดรับ
“สวัสดีค่ะพ่อ”
“….”
“พ่อคุณว่าไงบ้าง”
ชลนาเงยหน้ามองเขาหลังจากคุยกับบิดาเสร็จและวางสายไปแล้วโดยนับรวมแล้วไม่ถึงสิบประโยค ..เมื่อเขาถามขึ้นและ เธอคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรเขาจึงตัดสินใจเล่า
“พ่อฉันโทรมาเกลี้ยกล่อมให้ฉันแต่งงานกับคุณ”
“แล้วคุณว่าไง..”
“
ฉันก็ไม่แต่งน่ะสิ!”
ชลนาเงยหน้าพร้อมตาแดงๆมาจ้องเขาอย่างโกรธขึ้ง แต่ทว่าวูบหนึ่งเธอเห็นรอยยิ้มจางๆของเขา ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นเมินเฉยตามเดิม
“อ่อ…แล้วพ่อคุณว่าไงอีก”
“พ่อให้ฉันกลับไปอยู่บ้าน ตอนนี้พ่อคิดว่าฉันอยู่กับพี่น้ำ”
หญิงสาวทำเสียงฟุดฟิดเพราะเมื่อพยายามไม่ให้น้ำมันไหลมาทางตามันจึงไหลไปทางจมูกแทน
“แล้วชลจะกลับไหม”
สิงห์ถามเสียงเบา อยากจะคว้าคนขี้น้อยใจมากอดปลอบเหลือเกิน แต่ถ้าทำแบบนั้นเขาก็กลัวว่าเธอจะไม่พอใจ หาว่าเจ้าเล่ห์คิดเอาเปรียบอีก…แต่มาคิดดูอีกที ถ้าเขากอดแล้วเธอจะโกรธและมาระบายอารมณ์กับเขาก็ยังดีกว่าปล่อยให้เครียดและเสียใจคนเดียว คิดแล้วมือหนาก็เคลื่อนไปจวนจะถึงผมที่มัดรวบไว้ข้างหลังนั้น แต่ขณะที่มือห่างอยู่กับศีรษะเธอเพียงเล็กน้อย เสียงของเธอก็ดังขึ้นหยุดมือเขาไว้เสียก่อน
“ไม่…”
“…”
“เพราะถ้าฉันอยู่นี่ครบกำหนดฉันก็ไม่ต้องแต่งงานกับคุณแล้วล่ะ มันก็คุ้มนะ”
“จะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตเหรอ”
“ อืม”
จบเสียงตอบรับที่เหมือนจะไม่มีการลังเลเลยสักนิดนั้นทำให้มือของเขากลับมาวางไว้ข้างตัวตามเดิม บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่คำสั้นๆเพียงเท่านั้นทำให้อารมณ์นิ่งๆของเขารู้สึกเดือดดาล อยากจะตะโกนใส่เธอดังๆสักครั้ง แต่ก็ทำไม่ลง ทำได้เพียงแค่หอบความรู้สึกของตัวเองที่กำลังส่งให้เธอกลับคืนมาก่อน และเดินหนีไปก็เท่านั้น
เสียงตอบรับของเธอเมื่อตอนเย็นทำให้สิงห์หงุดหงิดเพราะดูเหมือนว่าการทำให้ชลนาเปิดใจให้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเขาคงจะต้องเร่งปฏิกิริยาบ้าง แต่ยิ่งเร่งเขากลับยิ่งรู้สึกว่า..เป็นตัวเขาที่ถูกเร่งไม่ใช่ชลนาสักเท่าไหร่ เหมือนแพ้ภัยตัวเองไปทุกวันอย่างไรอย่างนั้น จะทำให้เธอรัก แต่พอเห็นหน้าสวยๆมีน้ำตาปริ่มๆตรงตา เขาก็จวนจะเทใจให้เธอไปเสียแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะว่าคนที่เคยมีความรักมาบ้างอย่างเขาจะเกิดความรักได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เคยมีความรักอย่างชลนา..