รถยุโรปคันสีดำวิ่งเข้ามาจอดหน้าตึกสูงหลังใหญ่ของบริษัทเอชเอ็ม.ซีเคียวริตี้ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร เมื่อทันทีที่รถจอดสนิทประตูด้านหลังคนขับก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของหญิงสาวซึ่งก้าวออกมาจากตัวรถ เธอสวมชุดกางเกงสูทสีดำสนิทตัดกับสีผิวที่ค่อนข้างขาวดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมง ใบหน้าเรียวคมที่มีส่วนผสมของคนสองเชื้อชาติได้อย่างกลมกลืนบ่งบอกว่าเธออายุยี่สิบต้นๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองตรงไปยังเบื้องหน้าขณะที่ก้าวเข้ามาด้านในตัวอาคารกว้าง ซึ่งเต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศมากมาย หลายคนหันมาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม บางคนเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง ซึ่งหญิงสาวก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“คุณแอล!”
รอยยิ้มที่กำลังฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ มีอันต้องสะดุดลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกอันคุ้นเคย พร้อมการปรากฏตัวของสาวใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ที่อยู่ในชุดพนักงานออฟฟิศสีขาวคาดแถบสีส้ม เจ้าหล่อนแทบพุ่งตัวออกมาจากลิฟต์ พอถึงตัวก็คว้าหมับเข้าที่แขนของอีกฝ่ายก่อนเอ่ยอย่างร้อนรนรัวเร็ว
“ทำไมคุณแอลทำอย่างนี้ล่ะคะ รู้ไหม คุณวินโกรธใหญ่เลย!”
ลิโอร่า ฟอสเตอร์ หรือ คุณแอล ที่พนักงานสาวเรียกถึงกับหน้าเจื่อนเมื่อได้รับรู้ข่าว ซึ่งความจริงเธอก็พอรู้อยู่บ้างว่าการกระทำครั้งนี้ของตนเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์และสมควรถูกตำหนิ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าคนที่ต้องทำหน้าที่ตำหนิเธอจะรู้ข่าวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
“วินรู้เรื่องตั้งเมื่อไรเหรอค่ะ พี่แก้ม” สาวลูกครึ่งไทยอเมริกันที่มีสำเนียงภาษาไทยชัดแจ๋วเอ่ยถามอย่างนึกหวั่น เพราะอนาวินที่เป็นทั้งเจ้านายและพี่ชายต่างชายเลือดของเธอนั้นเป็นบุคลลำดับท้ายๆ ในโลกนี้ที่เธอจะกล้าทำให้เขาโกรธ
“ตั้งแต่คุณแอลออกจากประเทศรั้นมาไม่ถึงสามชั่วโมง ทางนั้นก็โทรหาคุณวินทันที” ปนัดดาผู้ทำหน้าที่เป็นเลขาให้กับอนาวินบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “คุณแอลนะคุณแอล ทำไมถึง...พี่ขอโทษนะคะที่ต้องพูดตรงๆ ทำไมถึงทำตัวไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้น”
“โธ่... พี่แก้ม...”
“โอดครวญกับพี่ก็ไม่มีความหมายค่ะ” ปนัดดาตัดบท พรางรุนหลังให้คู่สนทนาเดินเข้าไปในลิฟต์โดยสาร แล้วกดหมายเลขสิบเจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคารหลังนี้ “ไปคุยกับคุณวินดีกว่า เพราะขืนปล่อยให้รอนานกว่านี้ คุณคงกลายร่างเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ และคนที่จะแย่ที่สุดก็คือคุณแอลนะคะ”
หลังถูกพาตัวขึ้นมาบนชั้นสิบเจ็ด ลิโอร่าได้แต่ยืนนิ่งอยู่ภายให้ห้องทำงานใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวตัดดำอย่างคลาสสิกลงตัว บ่งบอกถึงรสนิยมเรียบง่ายแต่ต้องดูดีของผู้เป็นเจ้าของ หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่มีป้ายชื่อคริสตัลเทียมใสที่มีตัวอักษรสีทองเป็นภาษาไทยว่า อนาวิน ฮอฟฟ์แมนน์ รองประธานกรรมการบริหาร หญิงสาวอ่านป้ายชื่อกลับไปมาฆ่าเวลา เนื่องจากเจ้าของชื่อซึ่งเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ลูกครึ่งไทย – อเมริกัน วัยยี่สิบเก้าปีที่ยืนหันหลังให้อยู่นั้นกำลังติดสายกับลูกค้า จากบทสนทนาภาษาอังกฤษทำให้ลิโอร่าพอจะคาดเดาได้ว่านั่นคือลูกค้ารายใหญ่ และพวกเขากำลังต่อรองกันเรื่องคนที่จะไปทำหน้าที่บอดี้การ์ด
ใช่ บอดี้การ์ด
ฉากหน้าของบริษัทเอชเอ็ม.ซีเคียวริตี้ ซึ่งต่อตั้งมาได้ห้าปี คือบริษัทรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรหรือ รปภ.อันสุดแสนจะธรรมดา หากแต่ฉากหลังที่รู้กันดีในวงการ เอชเอ็ม.ซีเคียวริตี้ คือบริษัทอารักขาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญทั้งในและนอกประเทศ โดยมีชายชาวอเมริกันวัยห้าสิบสี่ปี ที่ชื่อไบรอัน ฮอฟฟ์แมนน์ อดีตนายทหารกองทัพบกสหรัฐที่ขอเกษียณตัวเองก่อนครบอายุราชการ เป็นประธานกรรมการบริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เขาใช้ทุนทั้งหมดที่มีบินมาเปิดบริษัทที่ประเทศไทย ประเทศบ้านเกิดของภรรยาเขาที่จากโลกนี้ไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกพร้อมกับลูกสาวคนเล็ก โดยมอบหมายให้ลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวทำหน้าที่บริหารจัดการแทบทุกเรื่องรวมทั้งคัดสรรคนที่มาทำหน้าที่บอดี้การ์ด ซึ่งสองรายแรกที่สองพ่อลูกรับมาทำงานก็คือลิโอร่ากับพ่อเลี้ยงของเธอ
ลิโอร่าได้เชื้อสายอเมริกันมาจากพ่อซึ่งเสียชีวิตไปตอนเธออายุได้เจ็ดขวบ ห้าปีต่อมาแม่ที่เป็นคนไทยก็แต่งงานใหม่กับไมเคิล รอฟฟ์ ชายอเมริกันที่อายุอ่อนกว่าแม่เธอถึงแปดปี และหลังจากการย้ายบ้านหลายต่อหลายครั้งแต่ตั้งตอนที่อยู่กับแม่สองคน ไมเคิลก็พาพวกเธอย้ายไปอาศัยอยู่ที่เมืองอาร์ลิงตันในเวอร์จิเจีย ซึ่งเป็นที่ที่เธอได้มีโอกาสรู้จักสองพ่อลูกฮอฟฟ์แมนน์ที่เพิ่งสูญเสียภรรยาและลูกสาวไปไม่ถึงหนึ่งปี และด้วยความบังเอิญทางด้านสายเลือดจึงทำให้ทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน แม่ของลิโอร่าได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตัวเธอที่เพิ่งเรียนจบเกรดสิบสองจึงตัดสินใจมาเมืองไทยตามคำชักชวนของพ่อเลี้ยงและสองพ่อลูกฮอฟฟ์แมนน์ที่กำลังเดินทางมาทำธุรกิจที่นี่
“ไง”
เสียงทักทายที่แสดงชัดเจนว่าผู้พูดกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธกรุ่นเรียกให้ลิโอร่าเงยหน้าขึ้นจากป้ายชื่อที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานไปยังใบหน้าของอนาวิน ที่คงจะน่ามองกว่านี้หากเขาไม่ได้กำลังทำหน้าตาถทึง นัยน์ตาสีน้ำตาลที่หรี่เล็กลงจ้องมองมาอย่างคาดโทษ ทำเอาลิโอร่าแทบจะอยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอด แต่เธอรู้ดีว่าทำเช่นนั้นไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรคนที่มีนิสัยเจ้าระเบียบและบ้างานอย่างอนาวินย่อมไม่มีทางปล่อยให้เธอหลุดพ้นไปจากความผิดในครั้งนี้อย่างแน่นอน
“ไฮ วิน...” ลิโอร่าฝืนฉีกยิ้มกว้างทักทายเสียงหวาน ด้วยความพยายามที่จะทำให้บรรยายอันน่าสยดสยองรอบตัวนั้นเบาบางลงไปบ้าง “ฉันกลับมาแล้ว”
“กลับมาทำไม”
รอยยิ้มของลิโอร่ากระเด็นออกไปจากใบหน้าทันทีที่ได้ยินคำสวนกลับของชายหนุ่ม เธอทำหน้าเหยเก บ่นอุบอิบขอความเห็นใจ “ฉันหายไปทำงานตั้งสี่เดือน เจอหน้ากันทักแบบเนี้ย!”
“ฉันคงจะทักทายดีกว่านี้แถมให้โบนัสก้อนโต ถ้าเธอไม่หนีงานกลับมา!” อนาวินลงท้ายด้วยเสียงตวาดลั่น เขาเดินย่างสามขุมเข้าใส่หญิงสาวที่รีบถอยกรูด เอ่ยร้องห้ามรัวเร็วจนลิ้นแทบพันกัน
“โว้ๆๆ เย็นไว้ก่อนคุณพี่ชาย เย็นไว้ๆ”
“ฉันไว้ใจเธอ เอลล่า” อนาวินพูดรอดไรฟัน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมอย่างน่ากลัว“ทั้งฝีมือ ทั้งการทำงานที่ผ่านมาของเธออยู่ในระดับมือหนึ่งของบริษัท เธอไม่เคยพลาด ไม่เคยทิ้งงาน แล้วทำไมหนนี้ถึงเป็นแบบนี้! เธอหนีงานกลับมาทำไม!”
มุมปากของลิโอร่ายกยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์ “นี่ล่ะ คำถามที่รอคอย”
อนาวินที่ปวดหัวจนแทบระเบิดยกมือขึ้นบีบขมับตัวเองแรงๆ เหลือบมองน้องสาวที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางด้านสายเลือดสักนิดที่กำลังยิ้มกว้าง ซึ่งเขาคุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้ของเจ้าหล่อนดี
สัญชาตญาณเอาตัวรอดอันดีเยี่ยมของลิโอร่ากำลังเริ่มทำงานแล้ว
“บอกข้ออ้างของเธอมา” อนาวินพูด “แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะรอดพ้นจากการลงโทษเด็ดขาด เพราะถ้ามันฟังไม่ขึ้น เงาหัวเธอก็ยังขาดอยู่ดี”
“นายถามหาข้ออ้างจากคนที่นายเพิ่งชมไปหยกๆ ว่าเป็นมืออาชีพอย่างนั้นเหรอ ผิดถนัดเลยล่ะวิน” ลิโอร่าพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าอย่างมั่นอกมั่นใจ เธอสาวเท้าก้าวเข้าใกล้เขาอีกเล็กน้อย ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงมากกว่าเดิม “ที่ฉันต้องเผ่นกลับมาเพราะมีอุปสรรคใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน อุปสรรคที่คนทำอาชีพบอดี้การ์ดอย่างเราไม่สมควรจะให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แล้วนายเองก็คงรู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่ทำให้คนอย่างฉันยอมทิ้งงานกลับมาแบบปุบปับ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามหรอก จริงไหม?”
“เกิดอะไรขึ้น” อนาวินถามออกมาในที่สุดหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของลิโอร่าหรี่เล็กลงขณะที่เอ่ยบอกเหตุผลอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ความรัก” และโดยไม่เปิดโอกาสให้คนฟังได้ทันตั้งตัวหรือส่งคำถามกลับมา หญิงสาวก็ซัดต่ออีกประโยคอย่างรวดเร็ว “อีตาชีคนั่นจะจับฉันแต่งงานทั้งๆ ที่เขามีเมียอยู่แล้วตั้งสองคน!”
อนาวินหน้าตื่น ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างจนแทบถลน ริมฝีปากหยักหนาเผยออ้าอยู่หลายวินาทีก่อนที่จะหลุดคำอุทานออกมาได้ในที่สุด “โอ้พระเจ้า!”
“เห็นหรือยังว่าเหตุผลของฉันสำคัญมากขนาดไหน”
อนาวินถอนหายใจยาว สีหน้ายังคงอึ้งค้างระคนตกใจ “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอน่าจะโทรมาบอกฉันก่อน”
“ฉันไม่มีเหลือแล้ว! คนพวกนั้นกำลังเตรียมงาน เขากำลังจะจับฉันโยนขึ้นเตียงเป็นเมียคนที่สามของชีค!” ลิโอร่าเล่าด้วยสีหน้าสยดสยอง “โชคดีที่ฉันไปหว่านล้อมเมียสองคนของชีคนั่นได้สำเร็จ ถึงได้หนีรอดปลอดภัยกลับมา”
“อย่ามาพูดให้ขำ” อนาวินพูดกลั้วหัวเราะ ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อถือเลยสักนิด “ทั้งพ่อเลี้ยงเธอ พ่อฉัน และตัวฉัน พวกเราฝึกให้เธอชนิดที่เรียกว่าโหดไม่แพ้พวกทหารเลยนะ แล้วก็ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่เป็นสิบปี เอลล่า ฝีมือระดับเธอไม่มีทางถูกผู้ชายข่มขืนได้ง่ายๆ หรอก นอกจากจะทำตัวโง่เง่าจนถูกวางยา ตีหัวให้สลบ หรือ...สมยอม”
“ตัวๆ หรือสามรุมหนึ่งฉันไม่เกี่ยงหรอก แต่นี่เป็นสิบๆ -- ไม่ๆ ฉันไม่ได้หมายถึงอะไรอย่างนั้น” เธอรีบบอกปัด เมื่อเห็นดวงตาของคู่สนทนาเปิดกว้างอย่างตื่นตกใจระคนเดือดโมโห “คนที่ต้องการจับฉันทำเมียมีแค่ชีคนั่นคนเดียว แต่เขามีลูกน้องคนให้ความช่วยเหลือตั้งหลายสิบคน พวกเขาเห็นดีเห็นงามตามกันไปหมด แล้วฉันจะเอาอะไรไปสู้ นอกจากหาวิธีหนีออกมาจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด”
อนาวินกวาดสายตาไปทั่วทั้งร่างกายของน้องสาวต่างสายเลือดอย่างพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย ส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวอย่างเหยียดหยามเต็มที่
“หน้าตาพอได้ แต่...ตูดแฟบๆ นมแบนๆ แบบนี้ ทำไมถึงได้ไปเตะตาต้องใจชีคนั่นได้ ปกติคนประเทศแถบนั้นเขาชอบผู้หญิงอวบๆ อึมๆ ไม่ใช่เหรอ”
“หยาบคาย รูปร่างแบบนี้เขาเรียกคนซ่อนรูป” ลิโอร่าขู่ฟ่อ ส่งค้อนให้วงโต “ฉันก็พอจะมีเสน่ห์ติดตัวบ้างล่ะน่า”
“เสน่ห์อะไรของเธอ ฉันไม่เคยมองเห็นเลย”
“เสน่ห์เถื่อนๆ ไงล่ะ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงสะบัด ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเงยหน้าส่งเสียงหัวเราะดังลั่นห้อง “แล้วตกลงว่า...เหตุผลฉันดีพอไหม”
อนาวินยกยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยตอบคำถามที่ทำให้คนฟังเกือบหัวใจวาย “ปลดประจำการจากเจ้าหน้าที่ภาคสนาม และให้มานั่งในออฟฟิศชั่วคราว ซึ่งโต๊ะทำงานของเธอก็คือโต๊ะตัวนี้”
ริมฝีปากของลิโอร่าเผยอค้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เต็มไปด้วยความงุนงงระคนตื่นตกใจ จับจ้องไปยังมือขวาของอนาวินที่กำลังตบเบาๆ ลงบนโต๊ะทำงานของเขา ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมาหยุดลงที่ใบหน้าของชายหนุ่ม พร้อมกับเอ่ยถามเสียงแผ่วหวิว
“...นายจะลงภาคสนาม?”
First Love :: บทที่ 1 รับงาน
รถยุโรปคันสีดำวิ่งเข้ามาจอดหน้าตึกสูงหลังใหญ่ของบริษัทเอชเอ็ม.ซีเคียวริตี้ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร เมื่อทันทีที่รถจอดสนิทประตูด้านหลังคนขับก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของหญิงสาวซึ่งก้าวออกมาจากตัวรถ เธอสวมชุดกางเกงสูทสีดำสนิทตัดกับสีผิวที่ค่อนข้างขาวดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมง ใบหน้าเรียวคมที่มีส่วนผสมของคนสองเชื้อชาติได้อย่างกลมกลืนบ่งบอกว่าเธออายุยี่สิบต้นๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองตรงไปยังเบื้องหน้าขณะที่ก้าวเข้ามาด้านในตัวอาคารกว้าง ซึ่งเต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศมากมาย หลายคนหันมาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม บางคนเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง ซึ่งหญิงสาวก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“คุณแอล!”
รอยยิ้มที่กำลังฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ มีอันต้องสะดุดลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกอันคุ้นเคย พร้อมการปรากฏตัวของสาวใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ที่อยู่ในชุดพนักงานออฟฟิศสีขาวคาดแถบสีส้ม เจ้าหล่อนแทบพุ่งตัวออกมาจากลิฟต์ พอถึงตัวก็คว้าหมับเข้าที่แขนของอีกฝ่ายก่อนเอ่ยอย่างร้อนรนรัวเร็ว
“ทำไมคุณแอลทำอย่างนี้ล่ะคะ รู้ไหม คุณวินโกรธใหญ่เลย!”
ลิโอร่า ฟอสเตอร์ หรือ คุณแอล ที่พนักงานสาวเรียกถึงกับหน้าเจื่อนเมื่อได้รับรู้ข่าว ซึ่งความจริงเธอก็พอรู้อยู่บ้างว่าการกระทำครั้งนี้ของตนเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์และสมควรถูกตำหนิ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าคนที่ต้องทำหน้าที่ตำหนิเธอจะรู้ข่าวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
“วินรู้เรื่องตั้งเมื่อไรเหรอค่ะ พี่แก้ม” สาวลูกครึ่งไทยอเมริกันที่มีสำเนียงภาษาไทยชัดแจ๋วเอ่ยถามอย่างนึกหวั่น เพราะอนาวินที่เป็นทั้งเจ้านายและพี่ชายต่างชายเลือดของเธอนั้นเป็นบุคลลำดับท้ายๆ ในโลกนี้ที่เธอจะกล้าทำให้เขาโกรธ
“ตั้งแต่คุณแอลออกจากประเทศรั้นมาไม่ถึงสามชั่วโมง ทางนั้นก็โทรหาคุณวินทันที” ปนัดดาผู้ทำหน้าที่เป็นเลขาให้กับอนาวินบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “คุณแอลนะคุณแอล ทำไมถึง...พี่ขอโทษนะคะที่ต้องพูดตรงๆ ทำไมถึงทำตัวไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้น”
“โธ่... พี่แก้ม...”
“โอดครวญกับพี่ก็ไม่มีความหมายค่ะ” ปนัดดาตัดบท พรางรุนหลังให้คู่สนทนาเดินเข้าไปในลิฟต์โดยสาร แล้วกดหมายเลขสิบเจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคารหลังนี้ “ไปคุยกับคุณวินดีกว่า เพราะขืนปล่อยให้รอนานกว่านี้ คุณคงกลายร่างเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ และคนที่จะแย่ที่สุดก็คือคุณแอลนะคะ”
หลังถูกพาตัวขึ้นมาบนชั้นสิบเจ็ด ลิโอร่าได้แต่ยืนนิ่งอยู่ภายให้ห้องทำงานใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวตัดดำอย่างคลาสสิกลงตัว บ่งบอกถึงรสนิยมเรียบง่ายแต่ต้องดูดีของผู้เป็นเจ้าของ หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่มีป้ายชื่อคริสตัลเทียมใสที่มีตัวอักษรสีทองเป็นภาษาไทยว่า อนาวิน ฮอฟฟ์แมนน์ รองประธานกรรมการบริหาร หญิงสาวอ่านป้ายชื่อกลับไปมาฆ่าเวลา เนื่องจากเจ้าของชื่อซึ่งเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ลูกครึ่งไทย – อเมริกัน วัยยี่สิบเก้าปีที่ยืนหันหลังให้อยู่นั้นกำลังติดสายกับลูกค้า จากบทสนทนาภาษาอังกฤษทำให้ลิโอร่าพอจะคาดเดาได้ว่านั่นคือลูกค้ารายใหญ่ และพวกเขากำลังต่อรองกันเรื่องคนที่จะไปทำหน้าที่บอดี้การ์ด
ใช่ บอดี้การ์ด
ฉากหน้าของบริษัทเอชเอ็ม.ซีเคียวริตี้ ซึ่งต่อตั้งมาได้ห้าปี คือบริษัทรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรหรือ รปภ.อันสุดแสนจะธรรมดา หากแต่ฉากหลังที่รู้กันดีในวงการ เอชเอ็ม.ซีเคียวริตี้ คือบริษัทอารักขาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญทั้งในและนอกประเทศ โดยมีชายชาวอเมริกันวัยห้าสิบสี่ปี ที่ชื่อไบรอัน ฮอฟฟ์แมนน์ อดีตนายทหารกองทัพบกสหรัฐที่ขอเกษียณตัวเองก่อนครบอายุราชการ เป็นประธานกรรมการบริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เขาใช้ทุนทั้งหมดที่มีบินมาเปิดบริษัทที่ประเทศไทย ประเทศบ้านเกิดของภรรยาเขาที่จากโลกนี้ไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกพร้อมกับลูกสาวคนเล็ก โดยมอบหมายให้ลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวทำหน้าที่บริหารจัดการแทบทุกเรื่องรวมทั้งคัดสรรคนที่มาทำหน้าที่บอดี้การ์ด ซึ่งสองรายแรกที่สองพ่อลูกรับมาทำงานก็คือลิโอร่ากับพ่อเลี้ยงของเธอ
ลิโอร่าได้เชื้อสายอเมริกันมาจากพ่อซึ่งเสียชีวิตไปตอนเธออายุได้เจ็ดขวบ ห้าปีต่อมาแม่ที่เป็นคนไทยก็แต่งงานใหม่กับไมเคิล รอฟฟ์ ชายอเมริกันที่อายุอ่อนกว่าแม่เธอถึงแปดปี และหลังจากการย้ายบ้านหลายต่อหลายครั้งแต่ตั้งตอนที่อยู่กับแม่สองคน ไมเคิลก็พาพวกเธอย้ายไปอาศัยอยู่ที่เมืองอาร์ลิงตันในเวอร์จิเจีย ซึ่งเป็นที่ที่เธอได้มีโอกาสรู้จักสองพ่อลูกฮอฟฟ์แมนน์ที่เพิ่งสูญเสียภรรยาและลูกสาวไปไม่ถึงหนึ่งปี และด้วยความบังเอิญทางด้านสายเลือดจึงทำให้ทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน แม่ของลิโอร่าได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตัวเธอที่เพิ่งเรียนจบเกรดสิบสองจึงตัดสินใจมาเมืองไทยตามคำชักชวนของพ่อเลี้ยงและสองพ่อลูกฮอฟฟ์แมนน์ที่กำลังเดินทางมาทำธุรกิจที่นี่
“ไง”
เสียงทักทายที่แสดงชัดเจนว่าผู้พูดกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธกรุ่นเรียกให้ลิโอร่าเงยหน้าขึ้นจากป้ายชื่อที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานไปยังใบหน้าของอนาวิน ที่คงจะน่ามองกว่านี้หากเขาไม่ได้กำลังทำหน้าตาถทึง นัยน์ตาสีน้ำตาลที่หรี่เล็กลงจ้องมองมาอย่างคาดโทษ ทำเอาลิโอร่าแทบจะอยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอด แต่เธอรู้ดีว่าทำเช่นนั้นไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรคนที่มีนิสัยเจ้าระเบียบและบ้างานอย่างอนาวินย่อมไม่มีทางปล่อยให้เธอหลุดพ้นไปจากความผิดในครั้งนี้อย่างแน่นอน
“ไฮ วิน...” ลิโอร่าฝืนฉีกยิ้มกว้างทักทายเสียงหวาน ด้วยความพยายามที่จะทำให้บรรยายอันน่าสยดสยองรอบตัวนั้นเบาบางลงไปบ้าง “ฉันกลับมาแล้ว”
“กลับมาทำไม”
รอยยิ้มของลิโอร่ากระเด็นออกไปจากใบหน้าทันทีที่ได้ยินคำสวนกลับของชายหนุ่ม เธอทำหน้าเหยเก บ่นอุบอิบขอความเห็นใจ “ฉันหายไปทำงานตั้งสี่เดือน เจอหน้ากันทักแบบเนี้ย!”
“ฉันคงจะทักทายดีกว่านี้แถมให้โบนัสก้อนโต ถ้าเธอไม่หนีงานกลับมา!” อนาวินลงท้ายด้วยเสียงตวาดลั่น เขาเดินย่างสามขุมเข้าใส่หญิงสาวที่รีบถอยกรูด เอ่ยร้องห้ามรัวเร็วจนลิ้นแทบพันกัน
“โว้ๆๆ เย็นไว้ก่อนคุณพี่ชาย เย็นไว้ๆ”
“ฉันไว้ใจเธอ เอลล่า” อนาวินพูดรอดไรฟัน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมอย่างน่ากลัว“ทั้งฝีมือ ทั้งการทำงานที่ผ่านมาของเธออยู่ในระดับมือหนึ่งของบริษัท เธอไม่เคยพลาด ไม่เคยทิ้งงาน แล้วทำไมหนนี้ถึงเป็นแบบนี้! เธอหนีงานกลับมาทำไม!”
มุมปากของลิโอร่ายกยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์ “นี่ล่ะ คำถามที่รอคอย”
อนาวินที่ปวดหัวจนแทบระเบิดยกมือขึ้นบีบขมับตัวเองแรงๆ เหลือบมองน้องสาวที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางด้านสายเลือดสักนิดที่กำลังยิ้มกว้าง ซึ่งเขาคุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้ของเจ้าหล่อนดี
สัญชาตญาณเอาตัวรอดอันดีเยี่ยมของลิโอร่ากำลังเริ่มทำงานแล้ว
“บอกข้ออ้างของเธอมา” อนาวินพูด “แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะรอดพ้นจากการลงโทษเด็ดขาด เพราะถ้ามันฟังไม่ขึ้น เงาหัวเธอก็ยังขาดอยู่ดี”
“นายถามหาข้ออ้างจากคนที่นายเพิ่งชมไปหยกๆ ว่าเป็นมืออาชีพอย่างนั้นเหรอ ผิดถนัดเลยล่ะวิน” ลิโอร่าพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าอย่างมั่นอกมั่นใจ เธอสาวเท้าก้าวเข้าใกล้เขาอีกเล็กน้อย ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงมากกว่าเดิม “ที่ฉันต้องเผ่นกลับมาเพราะมีอุปสรรคใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน อุปสรรคที่คนทำอาชีพบอดี้การ์ดอย่างเราไม่สมควรจะให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แล้วนายเองก็คงรู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่ทำให้คนอย่างฉันยอมทิ้งงานกลับมาแบบปุบปับ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามหรอก จริงไหม?”
“เกิดอะไรขึ้น” อนาวินถามออกมาในที่สุดหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของลิโอร่าหรี่เล็กลงขณะที่เอ่ยบอกเหตุผลอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ความรัก” และโดยไม่เปิดโอกาสให้คนฟังได้ทันตั้งตัวหรือส่งคำถามกลับมา หญิงสาวก็ซัดต่ออีกประโยคอย่างรวดเร็ว “อีตาชีคนั่นจะจับฉันแต่งงานทั้งๆ ที่เขามีเมียอยู่แล้วตั้งสองคน!”
อนาวินหน้าตื่น ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างจนแทบถลน ริมฝีปากหยักหนาเผยออ้าอยู่หลายวินาทีก่อนที่จะหลุดคำอุทานออกมาได้ในที่สุด “โอ้พระเจ้า!”
“เห็นหรือยังว่าเหตุผลของฉันสำคัญมากขนาดไหน”
อนาวินถอนหายใจยาว สีหน้ายังคงอึ้งค้างระคนตกใจ “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอน่าจะโทรมาบอกฉันก่อน”
“ฉันไม่มีเหลือแล้ว! คนพวกนั้นกำลังเตรียมงาน เขากำลังจะจับฉันโยนขึ้นเตียงเป็นเมียคนที่สามของชีค!” ลิโอร่าเล่าด้วยสีหน้าสยดสยอง “โชคดีที่ฉันไปหว่านล้อมเมียสองคนของชีคนั่นได้สำเร็จ ถึงได้หนีรอดปลอดภัยกลับมา”
“อย่ามาพูดให้ขำ” อนาวินพูดกลั้วหัวเราะ ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อถือเลยสักนิด “ทั้งพ่อเลี้ยงเธอ พ่อฉัน และตัวฉัน พวกเราฝึกให้เธอชนิดที่เรียกว่าโหดไม่แพ้พวกทหารเลยนะ แล้วก็ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่เป็นสิบปี เอลล่า ฝีมือระดับเธอไม่มีทางถูกผู้ชายข่มขืนได้ง่ายๆ หรอก นอกจากจะทำตัวโง่เง่าจนถูกวางยา ตีหัวให้สลบ หรือ...สมยอม”
“ตัวๆ หรือสามรุมหนึ่งฉันไม่เกี่ยงหรอก แต่นี่เป็นสิบๆ -- ไม่ๆ ฉันไม่ได้หมายถึงอะไรอย่างนั้น” เธอรีบบอกปัด เมื่อเห็นดวงตาของคู่สนทนาเปิดกว้างอย่างตื่นตกใจระคนเดือดโมโห “คนที่ต้องการจับฉันทำเมียมีแค่ชีคนั่นคนเดียว แต่เขามีลูกน้องคนให้ความช่วยเหลือตั้งหลายสิบคน พวกเขาเห็นดีเห็นงามตามกันไปหมด แล้วฉันจะเอาอะไรไปสู้ นอกจากหาวิธีหนีออกมาจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด”
อนาวินกวาดสายตาไปทั่วทั้งร่างกายของน้องสาวต่างสายเลือดอย่างพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย ส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวอย่างเหยียดหยามเต็มที่
“หน้าตาพอได้ แต่...ตูดแฟบๆ นมแบนๆ แบบนี้ ทำไมถึงได้ไปเตะตาต้องใจชีคนั่นได้ ปกติคนประเทศแถบนั้นเขาชอบผู้หญิงอวบๆ อึมๆ ไม่ใช่เหรอ”
“หยาบคาย รูปร่างแบบนี้เขาเรียกคนซ่อนรูป” ลิโอร่าขู่ฟ่อ ส่งค้อนให้วงโต “ฉันก็พอจะมีเสน่ห์ติดตัวบ้างล่ะน่า”
“เสน่ห์อะไรของเธอ ฉันไม่เคยมองเห็นเลย”
“เสน่ห์เถื่อนๆ ไงล่ะ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงสะบัด ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเงยหน้าส่งเสียงหัวเราะดังลั่นห้อง “แล้วตกลงว่า...เหตุผลฉันดีพอไหม”
อนาวินยกยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยตอบคำถามที่ทำให้คนฟังเกือบหัวใจวาย “ปลดประจำการจากเจ้าหน้าที่ภาคสนาม และให้มานั่งในออฟฟิศชั่วคราว ซึ่งโต๊ะทำงานของเธอก็คือโต๊ะตัวนี้”
ริมฝีปากของลิโอร่าเผยอค้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เต็มไปด้วยความงุนงงระคนตื่นตกใจ จับจ้องไปยังมือขวาของอนาวินที่กำลังตบเบาๆ ลงบนโต๊ะทำงานของเขา ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมาหยุดลงที่ใบหน้าของชายหนุ่ม พร้อมกับเอ่ยถามเสียงแผ่วหวิว
“...นายจะลงภาคสนาม?”