เรื่องสั้นวันพุธ (4 เม.ย. 61) : อาหารมื้อเช้า

เรื่องสั้นวันพุธ : อาหารมื้อเช้า
โดย.....ลิอ่อง


    ความจอแจของร้านค้าและแผงลอยริมทางในซอยแห่งนั้นเริ่มขึ้นราวหกโมงเศษ และเมื่อเวลาผ่านไปถึงหนึ่งโมงเช้า ทั้งภาพและเสียงของผู้คนและยวดยานในย่านนั้นก็หนาตาหนาหูขึ้นตามลำดับ

    ฉันเลือกร้านโจ๊กและต้มเลือดหมูที่เป็นอาคารแบบทาวน์เฮาสอันมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างกว่าหลังอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน ทำให้บรรยากาศภายในร้านแลดูโปร่ง แม้มีโต๊ะเก้าอี้จัดไว้หลายชุด

       จุดที่ฉันเลือกนั่งแบบหันหน้าเข้าร้านเพื่อกินอาหารเช้าในวันนี้ก็คือ โต๊ะริมซ้ายมือที่อยู่ชิดแผงกระถางไม้ประดับหลากสีคล้ายสวนหย่อมน้อย พอให้ลูกค้าที่แวะเข้ามาอุดหนุนได้ชื่นใจและผ่อนคลาย
    
        อาหารเช้าสำหรับคนนอนดึกเพราะการเดินทางรอนแรมจากต่างจังหวัดเพื่อเข้ามาทำธุระในกรุงอย่างฉัน ก็คือโจ๊กหมูร้อนๆ ใส่น้ำมันเจียวกระเทียม มีผักกาดหอมโรยหน้ามาสามสี่ชิ้น และเพราะความร้อนของเนื้อข้าวก็ทำให้ฉันต้องใช้เวลากับมันไม่ต่ำกว่าสิบห้านาทีจึงจะหมดชาม
    
        ฉันตักโจ๊กเข้าปากได้ไม่ถึงสามคำ ก็มีเสียงทักทายลูกค้าคนใหม่จากเจ้าของร้าน เชื้อเชิญให้เข้ามานั่งด้านใน มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของฉัน ใกล้จนฉันรู้สึกได้ว่ากำลังดึงเก้าอี้ออก และนั่งอยู่ด้านหลังของฉันโดยหันหน้าออกไปหน้าร้าน

        เมื่อนั่งลงแล้ว น้ำเสียงอ่อนโยนของผู้ชายก็ดังขึ้น
    
        “ถึงแล้วลูก ร้านอาหารเช้าของเรา” มีเสียงขยับเก้าอี้เล็กน้อย แล้วเขาก็พูดต่ออย่างอารมณ์ดี “วันนี้กินต้มเลือดหมูนะลูก”
    
        ฉันซึ่งนั่งหันหลังให้เขาและคงจะเป็นตำแหน่งเดียวกันกับเขา ลอบฟังบทสนทนาของผู้เป็นพ่อด้วยความสนใจ แม่ของเด็กอาจจะไม่มีเวลาทำอาหาร พ่อก็เลยต้องพาลูกมาฝากท้องไว้ที่ร้านใกล้ๆ บ้าน
    
        ไม่มีเสียงตอบจากลูก ฉันคิดเอาว่าเด็กคงเพิ่งตื่น หรือไม่ก็อารมณ์ไม่ดีพอจะโต้ตอบกับพ่อของเขา
    
        “มาแล้วๆ ต้มเลือดหมูของโปรดใครเอ่ย ?” เขาพูดพร้อมเสียงหยิบช้อนในกล่อง “วันนี้ต้องกินให้หมดนะลูก อย่าเหลือทิ้ง คิดถึงคนยากจนที่ไม่มีข้าวกินนะคะ” ท้ายประโยคนั้นเสียงสูง อ๋อ...ลูกผู้หญิง
    
        ฉันก้มหน้าก้มตากินอาหารในชามของตนเองต่อไปพร้อมกับฟังพ่อสอนให้ลูกกินข้าวไปด้วย และคิดเอาว่า ถ้าฉันมีลูก ฉันก็คงจะทำอย่างที่เขาทำ เพราะสำหรับเด็กเล็กๆ แล้ว การที่เราปลูกฝังเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เขา ก็เท่ากับเพาะเมล็ดพันธุ์ไว้ในการรับรู้ ในหัวใจของเขา เพื่อรอวันงอกงามเติบโตเป็นต้นไม้แห่งทัศนคติที่ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล ในวันข้างหน้านั่นเอง
    
         “ค่อยๆ เคี้ยวนะคะ อย่ารีบกินนะลูก เดี๋ยวสำลัก....อ้า ! ระวัง น้ำแกงจะหกค่ะ”
    
         แม่หนูคนนี้ก็คงจะเป็นเด็กดี ไม่ยอมพูดจาในขณะเคี้ยวอาหารตามคำที่พ่อของเธอเคยสอนไว้ ฉันนึกนิยมผู้เป็นพ่ออยู่ในใจ และรู้สึกยินดีที่อาหารในชามจวนจะหมด อันหมายถึงจะได้มีโอกาสเดินออกไปจากร้านเพื่อลอบมองดูเขากับลูกสาวอย่างที่ตั้งใจไว้
    
         ฉันเร่งตักโจ๊กในชามที่เหลือไม่กี่ช้อนให้หมดชาม ขณะที่ได้ยินเสียงของเขาพูดกับลูกสาวแทบตลอดเวลา เออ...หรือว่าเขาอาจจะพูดมากไปก็ได้ และลูกอาจจะเบื่อที่พ่อคนนี้ช่างสอนเสียเหลือเกิน

         ยามนั้น ฉันคิดถึงพ่อที่จากไปแล้วขึ้นมาทันใด นึกถึงวันหนึ่งที่พ่อเคยพาฉันซ้อนท้ายจักรยานยนต์ไปกินข้าวแกงเป็นอาหารเช้าในวันที่แม่ไม่อยู่ ก่อนจะพาฉันไปส่งที่โรงเรียนทันกับเสียงระฆังเข้าแถวพอดิบพอดี

        ฉันเหลือบดูนาฬิกาบนฝาผนังและเห็นว่าจะต้องไปจากที่นี่เสียที จึงค่อยๆ ถอยเก้าอี้ไม่มีพนักไปทางด้านหลังเบาๆ ยืนขึ้น และหันกลับไปทางหน้าร้าน
    
         ฉันเดินผ่านเขากับลูกเพื่อออกไปที่หน้าร้าน และจ่ายเงินให้เจ้าของร้านที่กำลังยืนปรุงอาหารตามคำสั่งของลูกค้าสองสามรายที่รออยู่ จากมุมนี้ฉันมองเห็นเขาได้ถนัดถนี่ ชัดเจนเสียจนฉันรู้ว่า จะต้องจดจำภาพของชายแปลกหน้าคนนี้ไปอีกนานแสนนาน
    
         เขาคือชายวัยสามสิบปลายร่างผอมบาง สวมเสื้อแขนยาวผ่าอกสีเทาแลสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเรียวเล็ก ตัดผมรองทรง มีรอยยิ้มเรื่อยๆ ในอ้อมกอดแขนซ้ายของเขาคือ ตุ๊กตาผู้หญิงตัวโตเท่าเด็กวัยขวบเศษ ถักเปียยาวสองข้าง สวมชุดกระโปรงสีชมพูมีสายสร้อยคล้องคอเลียนแบบไข่มุกสีขาว นัยน์ตากลมโต และเผยอริมฝีปากสีแดงยิ้มตลอดเวลา ยามนั้น เขายังคงกินอาหารไป และก้มลงพูดคุยกับตุ๊กตาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บางคราวเขาทำท่าคล้ายจะป้อนอาหารใส่ปากตุ๊กตานั้น และเมื่อไม่มีอาการตอบรับใดๆ เขาก็จะยกช้อนขึ้นมาใส่ปากตัวเองในที่สุด

        คนขายเห็นสายตาของฉันที่แลไป เธอจึงกระซิบขณะนับเงินทอนให้ฉัน
    
         “ลูกสาวแกน่ารักมากค่ะ ตายไปเมื่อสองปีก่อน เมล็ดผลไม้ติดคอ” เธอหยุดนิดหนึ่งด้วยความสะท้อนใจแล้วรีบเล่าต่อ “อยู่มาแม่ของเด็กก็ถูกรถชนตายอีก แกเลยเป็นแบบนี้”
    
         เธอส่งเงินทอนใส่มือของฉัน และพูดกับฉันและคนอื่นๆ ที่รออยู่ด้วยเสียงค่อนข้างเบา
    
         “แกเป็นลูกค้าเราตั้งแต่ลูกยังเดินไม่ได้ พอมาเป็นงี้ มีคนบอกให้ฉันไล่ไปร้านอื่น” เธอหยุดถอนใจ “ฉันไม่ไล่หรอกคุณ...บางทีไม่เอาเงินด้วย เวทนาแก”       
    
         ก่อนออกมาจากร้านนั้น ฉันแลไปสบตาเขาเข้าพอดีกับจังหวะที่เขาเองก็มองมาที่หน้าร้าน จึงได้เห็นรอยยิ้มของเขา

        แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครยิ้มตอบ เพราะเห็นชัดว่าเขาไม่ใช่คนปกติ แต่ฉันก็อยากเข้าใจว่า เป็นรอยยิ้มจากเจ้าของชีวิตผู้มีอิสรภาพสมบูรณ์ ไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ เช่นเดียวกับรอยยิ้มของตุ๊กตาผมเปียในอ้อมกอดของเขาที่ยังคงยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น


                                           .................................................................................

(เมษายน 2561)

ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาให้กำลังใจในทุกรูปแบบค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่