ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : เจ้าชายของหนูน้อยหมวกแดง บทที่ 6 (จบ)

กระทู้สนทนา
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : เจ้าชายของหนูน้อยหมวกแดง

บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/36701359

บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/36704435

บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/36708882

บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/36711390

บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/36714248

================================

บทที่ 6

“อ้าว! วันนี้นายโตลาหรือนี่”

ปรียานุชหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงพูดจากแผนกบัญชี ตอนแรกคิดว่าที่ไม่เห็นเขาวันนี้เพราะโดนเลี่ยงใส่เสียอีก แต่พอรู้ว่าลาก็ชักจะเป็นห่วงขึ้นมาเหมือนกัน ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาได้หลายเดือนยังไม่เคยพบว่าเขาลาเลยสักครั้ง

“พี่ดวง...พวกบัญชีเขารู้ได้ไงว่ามีคนลาน่ะ” ก็เธอเห็นสาวๆ บัญชีทั้งหลายนั่งอยู่กับที่เฉยๆ แผนกของโตมรก็อยู่ห่างไปไกล ถ้าไม่จงใจคงยากจะเจอ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วรู้ได้อย่างไรกัน

“ปกติเวลาใครลาเขาจะส่งอีเมล์บอกว่าใครหยุดบ้าง แต่เขาจะส่งให้เฉพาะพวกระดับหัวหน้าน่ะนะ” พี่ดวงเอ่ยในขณะที่ง่วนกับงานของตนเองอยู่ พี่ดวงจะเป็นพวกทำงานในช่วงเวลางานรีบเร่งตลอดเวลา แต่เมื่อจบเวลาทำงานก็จะทิ้งทุกอย่างเพราะมีครอบครัวต้องดูแล

“หนูดี มาที่นี่หน่อยสิ” เสียงทุ้มของเจ้านายเรียกเธอเบาๆ ปรียานุชเลยละงานที่ทำอยู่แล้วไปคุยกับเจ้านายที่นั่งโต๊ะใหญ่อยู่ด้านหลังเธอ

“ค่ะ มีอะไรหรือคะพี่จอก”

“ช่วยแปลงานตัวนี้ที” จอมเทียนเอ่ยสีหน้าเคร่งขึ้น “เรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่ไปพบที่ลูกค้า พวกฝั่งเซลส์บอกว่าเขาจะต้องรีบเข้าไปชี้แจงลูกค้าพรุ่งนี้ เลยขอให้เราช่วยแปลด่วนที่สุด เรื่องนี้มาศก็ช่วยลำบากด้วย เขายังไม่คุ้น แล้วพี่ไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดออกไปให้ลูกค้าเลยต้องให้หนูดีทำ มันเยอะ เดี๋ยวพี่ช่วยด้วย”

ปรียานุชเห็นแล้วแทบร้องไห้กับปึกกระดาษสำหรับใช้ชี้แจงกับลูกค้าที่ว่านั่น มองอย่างไรก็คงยากที่จะใช้เวลาวันเดียวในการแปล แล้วยิ่งต้องส่งลูกค้ายิ่งแปลว่าต้องละเอียดกว่าปกติเสียด้วย แถมขนาดจอมเทียนแบ่งออกไปแล้วก็ยังไม่วายเยอะอยู่ดี

เด็กสาววางงานที่จับทั้งหมดแล้วมุ่งมั่นกับงานด่วนที่สุดชิ้นนี้ก่อนเพื่อน การเทียบแปลค่อนข้างยากลำบากจนเธอต้องเสียเวลาหาคำศัพท์อยู่นานเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดทางด้านวงจรไฟฟ้าในแบบที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ไม่ใช่คำที่เธอใช้ประจำจึงยิ่งหนักหนาเป็นสองเท่า

กระทั่งเลิกงานแล้ว ทุกคนกลับกันไปหมดเหลือเธอกับจอมเทียนยังนั่งทำงานง่วนกันอยู่ เบญจมาศอยู่เป็นคนสุดท้าย เธอช่วยจบงานที่ปรียานุชทำค้างไว้ก่อนที่จะรับงานด่วนตัวนี้มาทำ จากนั้นเจ้าตัวก็วิ่งไปซื้อขนมปัง แซนด์วิช ไส้กรอกมาให้คนทั้งคู่ที่อาจจะต้องทำงานกันโต้รุ่งก็เป็นได้ จอมเทียนยิ้มปลอบใจเมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดที่ช่วยอะไรไม่ได้มากนั่น

“รีบกลับเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

ปรียานุชยังทำงานของตัวเองต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอโทรศัพท์ไปที่บ้านเพื่อจะบอกว่าเธอคงกลับบ้านดึกมาก ปรานต์ให้เด็กสาวโทรหาเขาถ้าจะกลับเขาจะได้ขับรถมารับ ท่าทางเขาเป็นห่วงมาก ปรียานุชเลยปลอบเขาว่าอยู่ที่ออฟฟิศไม่น่าจะมีอะไร แต่พอวางสายแล้วจู่ๆ ก็นึกถึงคำโตมรขึ้นมาเกี่ยวกับเจ้านายของเธอ

เมื่ออยู่เงียบๆ แบบนี้ปรียานุชก็อดเหลือบไปอย่างหวาดระแวงไมได้ แต่ก็เห็นเจ้านายเธอยังคงนั่งทำงานเรียบร้อยจึงรีบสลัดศีรษะ ตำหนิตัวเองที่คิดอะไรอกุศล

ผ่านไปนานแค่ไหนเธอไม่แน่ใจ รู้แต่ว่ามีมือมาสัมผัสเส้นผมของเธอจากด้านหลังทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปยังเบื้องหลังทันควัน ขนลุกเกรียวด้วยความหวาดกลัว แต่แล้วก็พบกับเจ้านายเธอที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เธอถอนใจโล่งอกแล้วคลี่ยิ้มออก

“พี่จอกมาเงียบๆ หนูดีตกใจหมดนึกว่าผีหลอก”

จอมเทียนยิ้มขัน

“ทำงานไปถึงไหนแล้วหนูดี ไหนขอพี่ดูหน่อยสิ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงนุ่มพลางเอื้อมมาจับมือเล็กๆ ของเธอที่จับเมาส์ค้างไว้อยู่ ปรียานุชตกใจจะชักมือออกแต่มือใหญ่นั่นกลับกุมยึดไว้แน่น เด็กสาวขมวดคิ้วชำเลืองมองเจ้านายซึ่งร่างสูงของเขาอยู่เบื้องหลังวางแขนอีกข้างลงบนโต๊ะกักตัวเธอเอาไว้

ไม่ว่าเขาจะจงใจหรือไม่ แต่เธอก็เริ่มหวาดหวั่น ทว่ายังพยายามมองในแง่ดี

“แปลไปได้เยอะแล้วค่ะ” เธอนึกดีใจที่เสียงตัวเองไม่สั่นเท่าที่คิด แล้วพยายามจะหันไปด้านหลังเพื่อจะดันให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไป “ทางพี่เป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็พอสมควร” เขาเอ่ยเสียงนุ่มแต่ไม่ยอมถอยไปอย่างที่เธอตั้งใจ และดูเหมือนสถานการณ์ยิ่งดูแย่ลงกว่าเดิมเมื่อเขาละจากมือเล็กที่กำเมาส์แน่นของเธอมาที่ผิวแก้มเนียนใส เด็กสาวตัวแข็งทื่อ

“หน้าเครียดเลยหนูดี เดี๋ยวหน้าเหี่ยวหมดพอดี” นิ้วใหญ่ๆ นั่นยังคงไล้ผิวแก้มลงมาจนถึงคอเล็กๆ อย่างจงใจ แล้วลูบบริเวณต้นคอจนถึงกระดูกไหปลาร้า ปรียานุชขนลุกชันจนเกือบจะเป็นขยะแขยง “จริงๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ เก็บบางส่วนไว้ค่อยทำต่อวันพรุ่งนี้”

มือนั่นยังคงพรมนิ้วลงบนผิวเนื้อเธอซึ่งตัวแข็งด้วยอาการช็อคไปแล้ว ร่างเล็กสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้ เมื่อมือเขายังคงเลื่อนต่ำลงมาอีก คราวนี้มันหายเข้าไปในคอเสื้อของเธอด้วยซ้ำ

“ที่จริงทางนั้นเขาบอกว่าไม่ไปพรุ่งนี้แล้ว แต่พี่ไม่ได้บอกหนูดี” เขาเอ่ยเสียงต่ำเมื่อริมฝีปากนั้นคลอเคลียอยู่ที่ขมับเธอ “เห็นว่าเราไม่ค่อยมีโอกาสอยู่ด้วยกันเท่าไร พี่ชอบหนูดีนะ แล้วพี่รู้ว่าหนูดีก็ชอบพี่เหมือนกัน”

สมองเธอสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว อยากจะขัดขืนต่อต้านแต่กลัวที่จะทำแบบนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกลัวแต่ก็กลัว ได้แต่นั่งนิ่งแข็งเป็นหินปล่อยให้เขาทำอะไรเกินเลยได้ตามใจโดยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

เธอสะอื้นฮักตัวสั่นเทิ้ม อยากจะทำอย่างไรก็ได้เพื่อหนีจากสถานการณ์แบบนี้ แต่ร่างสูงที่คุกคามเกือบจะกันการหนีของเธอโดยสมบูรณ์

“ร้องไห้ทำไม หนูดีไม่ชอบหรือ” ทั้งที่เขาถามแต่ยังคงไม่หยุดมือ ความรู้สึกขยะแขยงยิ่งพุ่งสูงขึ้นจนน้ำตาแทบไหล

“แล้วแบบนี้ชอบไหม” เสียงห้วนต่ำแทบคำรามลั่นอยู่เบื้องหลัง แล้วจู่ๆ ร่างเล็กของเธอก็ได้รับอิสระเมื่อร่างสูงที่แทบจะคร่อมเหนือร่างเธอหายไป เธอรู้อีกทีคือเสียงล้มกระแทกพื้นของเจ้านายหนุ่มกับเสียงหอบหายใจอีกเสียงหนึ่ง ปรียานุชหันไปมองด้วยอาการตะลึง

“พี่โต”

เมื่อได้ยินเสียงแผ่วจากเธอ โตมรหันขวับมามองเธอ ใบหน้าออกคล้ำของเขาเคร่งเครียด ดวงตาดำระอุร้อนด้วยแรงอารมณ์

“นั่งเฉยทำไมให้มันลวนลามเอาอยู่ได้ ปากมีทำไมไม่ร้อง”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มข้นแล้วหันขวับไปมองคนที่ลงไปนอนกองกับพื้น จอมเทียนยันตัวลุกขึ้นมองหน้าคนที่ทำร้ายร่างกายเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง

“นายคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้เที่ยวมาต่อยหน้าคนอื่นเขา นี่มันเรื่องส่วนตัว!”

“ไอ้เรื่องทุเรศๆ ที่พี่ทำน่ะเหรอเรื่องส่วนตัว” โตมรเอ่ยตอบหน้าเคร่ง “ที่ผ่านมาพี่รอดมาได้ตลอด แต่คราวนี้คงยากแล้วล่ะ ผมเล่นพี่แน่!”

“นี่เป็นเรื่องของพี่กับหนูดี นายไม่เกี่ยว” จอมเทียนลุกขึ้น จับแก้มของตัวเองที่โดนอีกฝ่ายซัด มองเขาด้วยสายตาเย็นชา “แล้วอย่าคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ ตอนนี้นายต่างหากที่จะเจอข้อหาทำร้ายร่างกาย”

โตมรแค่นเสียงหัวเราะ ร่างใหญ่ของเขาเดินตรงไปหาอีกฝ่ายด้วยท่าทางคุกคามเต็มที่ เสียงหักนิ้วกรอบแกรบกับใบหน้าถทึงซึ่งดูคุกคามนั่นทำให้จอมเทียนถอยหลังไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นชัดอยู่แล้วว่าเขารูปร่างเสียเปรียบเต็มประตู

“พี่พูดถูก ไหนๆ ก็อาจจะต้องเจอข้อหานี้แล้ว ก็เอาให้สะใจดีไหม ไม่ต้องห่วง ผมไม่เอาถึงขั้นทำให้ตัวเองเจอข้อหาพยายามฆ่าหรอก”

จอมเทียนหรี่ตามองเอ่ยเสียงหยัน

“จะทำอะไรคิดเสียก่อนไอ้โต นายอาจจะทำอะไรตอนนี้ได้ แต่ผลหลังจากนั้นนายน่าจะรู้ พี่จะทำให้นายเด้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก หรือจะจัดการให้หนูดีมีปัญหาขึ้นประวัติแบล็กลิสต์ทำงานที่ไหนไม่ได้ก็ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย นายยอมแลกไหมล่ะ”

ชายหนุ่มชะงัก แล้วหันมามองร่างเล็กที่ยังนั่งช็อคอยู่ ชายหนุ่มหันกลับมามองคนที่ทำหน้าตาเหมือนคนเหนือกว่า จอมเทียนท้าทายเขาโดยการยืนกางแขนออกราวกับยอมให้ทำอะไรตามสบาย ผิดกับสีหน้ามั่นใจที่เจ้าตัวคิดว่าโตมรไม่ทำอะไรเขาแน่นอน

“ทำไมพี่โคตรเลวอย่างนี้วะ ผมล่ะนับถือเลย!” โตมรหัวเราะแค่นๆ “ผู้หญิงที่เขาเต็มใจเยอะแยะดันไม่เลือก ดันมาทำสั่วๆ กับเด็กผู้หญิง ฝีมือพี่เหมือนกันใช่ไหม ทั้งน้องขวัญ ทั้งไอ้ภาน่ะ”

“ผู้หญิงแรดๆ จะแตะไปทำไมล่ะ ไม่เห็นสนุก” จอมเทียนเอ่ย เสียงเขายังคงทุ้มราบรื่น “อย่างน้องขวัญนี่ก็ดี พี่ชอบเขาที่สุด สดอย่างนี้เลย นายไม่เข้าใจหรอก น่าเสียดายเหมือนกันนึกว่าจะเก็บไว้ได้นานกว่านี้ ส่วนน้องภาก็ไม่ถึงขนาดชอบ เป็นของว่างเสียมากกว่าเอาไว้แก้ขัดตอนที่ขวัญไม่อยู่ ส่วนหนูดี...”

ชายหนุ่มหันมายิ้มให้กับเธอ รอยยิ้มเทพบุตรที่แฝงมัจจุราชไว้ภายใน

“ไม่ต้องห่วง หนูดีไม่ได้เข้ารสนิยมพี่เท่าไร น้องมาศน่าสนใจกว่า แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอพี่ตามใจนิดหนึ่งแล้วปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน”

ปรียานุชฟังคำพูดของเขาแล้วความรู้สึกรังเกียจราวกับอีกฝ่ายยิ่งกว่าสัตว์ชั้นต่ำโพยพุ่งกระแทกใจเธอจนแทบจะทานทน ตัวเธอสั่นเทิ้มสุดท้ายก็หลุดปากออกมา

“สัตว์...”

จอมเทียนหรี่ตามองพลางจุปาก “พูดไม่เห็นเพราะเลยหนูดี อย่าทำให้พี่อารมณ์เสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นหนูดีได้มีปัญหาแน่”

โตมรหัวเราะอีกครั้งเรียกความสนใจของทุกคนไปที่เขา

“แล้วพี่คิดว่าตัวเองมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายคนอื่นขนาดนั้นเลยหรือ”

“นายจะลองดูก็ได้นะโต” จอมเทียนเลิกคิ้ว กอดอกด้วยท่าทางสบายๆ ทว่าสายตากร้าวฉายแววท้าทาย “ก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่าพ่อพี่เป็นใคร เอาล่ะ...ดูเหมือนว่าการที่นายใช้ชีวิตได้ปกติสุขมาจนถึงตอนนี้จะทำให้นายทะนงตัวเองไปหน่อย พี่แค่ไม่อยากเอาจริงเพราะเห็นว่านายมีความสามารถ"

เขามองหน้าโตมรอีกครั้ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าเย็นชาและดูแคลนอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง

"มาตอนนี้ความอดทนชักเริ่มจำกัดแล้ว นายน่าจะรู้ดีนะว่าควรทำตัวยังไง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่