ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : เจ้าชายของหนูน้อยหมวกแดง
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/36701359
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/36704435
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/36708882
ส่วนอันนี้เป็นลิ้งค์ของเรื่องเก่าๆ ของซีรี่ส์เทพนิยายนะคะ
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย: แผนลับราพันเซล
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/36590456
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/36597398
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/36600609
บทที่ 4 (จบ)
http://ppantip.com/topic/36603143
================================
บทที่ 4
พักนี้กลายเป็นกิจวัตรเวลาที่เธอต้องอยู่ค่ำๆ โตมรเหมือนนกรู้ถึงได้มาอยู่กับเธอเสมอ
เด็กสาวขัดใจอยู่บ้างในช่วงแรกๆ ที่เขาดูจะไม่ค่อย...เอ่อ...ไม่ถึงขนาดไม่มีมารยาท น่าจะเรียกว่าขวานผ่าซากไม่เกรงใจใครมากกว่า ในบางครั้งก็ลากเธอหลุนๆ ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนที่แผนกเขา หรือไม่บางครั้งก็หิ้วคอมพิวเตอร์มาทำงานแถวแผนกเธอเอาดื้อๆ เป็นแขกไม่ได้รับเชิญโดยที่ปรียานุชเองก็ออกแปลกใจอยู่ครามครันเมื่อคนอื่นๆ ในบริษัทนี้ดูจะไม่ได้ล้อเลียนอะไรเธอเลย ราวกับเป็นความชอบธรรมที่โตมรจะมาก้อร่อก้อติกเธอเพราะแม้แต่เจ้านายเธอเองก็ไม่เคยว่ากล่าวตำหนิเลยสักครั้งเดียว จนกระทั่งตอนนี้ก็เลยกลายเป็นความเคยชินของเธอไปเช่นกัน
“เป็นอะไรยายหมวกแดง มองหน้าพี่ทำไม”
ชายหนุ่มร่างใหญ่โตจนเกือบคับที่ทางเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นร่างป้อมนั่นจ้องเขาตาแป๋ว
“พี่โตนี่ไม่เข้ากับสลัดเลยนะคะ”
ปากคอยายเด็กนี่เราะร้ายขึ้นทุกวัน...โตมรแทบแยกเขี้ยว
“มังสวิรัติที่ไหนเขากินข้าวขาหมูกันล่ะ” ว่าจบก็หน้ามุ่ยโยนขนมปังไส้กรอกให้เธอจะได้เงียบๆ ไปเสียที เธอก็ค่อยๆ เล็มขนมนั่นโดยไม่เกี่ยงงอน แล้วก็ยื่นน้ำส้มคั้นที่ซื้อมาสองขวดให้เขาเงียบๆ ซึ่งเขาก็รับมาเปิดดื่มไม่ว่าอะไรเช่นกัน ในห้องรับประทานอาหารรวมกับชายหนุ่มอีกสองคนที่อยู่แผนกเดียวกับเขาจึงเงียบลงได้บ้าง
“แล้วนี่กระบองเพชรหนูดีเป็นไงบ้าง”
ว่าแล้วยายเด็กนี่เงียบนานเสียเมื่อไร! โตมรเหลือบตาขึ้นมองก็ทันได้เห็นเด็กสาวมองออกนอกหน้าต่าง มือป้อมๆ นั่นเกี่ยวซี่ของมู่ลี่ลงเพื่อสำรวจอากาศภายนอก อีกเดี๋ยวก็ต้องบ่นให้เขาเจ้าแคคตัสดอกแดงน่ารักน่าชังนั่นไปตากแดดแหงๆ
‘โต๊ะพี่โตเกะกะสกปรกจะแย่ มีอะไรที่มันดูเจริญหูเจริญตาบ้างก็ดี’ ยายเด็กปากร้ายบอกเขาไว้อย่างนั้น ตาโตๆ นั่นขู่สำทับอีก ‘ดูแลดีๆ ด้วยนะ ถ้าพี่โตทำมันตายได้ หนูดีจะประณามพี่’
เสียงขู่เป็นแมวงอดๆ อย่างนี้...คงกลัวหรอก!
“ยังไม่ตาย” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ก็กระถางเล็กนั่นยังคงวางหราอยู่บนโต๊ะทำงานเขาซึ่งชายหนุ่มเอาไปตากแดดเป็นพักๆ จะมีบางครั้งที่เพื่อนที่หน่วยบอกเขาว่าเจ้าของย่องมาแอบรดน้ำให้ในตอนเช้าเพราะเกรงเขาจะทำมันเฉา
“วันนี้แดดดี พี่เอามันมาตากแดดก็ดีนะ จะได้เจอแสงมั่ง” เจ้าของแคคตัสนั่นแนะนำ
นั่นประไร...ชายหนุ่มก็ทำเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจแล้วก็ต้องร้องจ๊ากเมื่อมือป้อมๆ นั่นบิดเนื้อที่มือเขาแบบไม่ปรานี
“ว่าไงคะ!”
“ก็ได้ๆ” โตมรน่ามุ่ย ยายเด็กหมวกแดงนี่ชักฤทธิ์มาก “แค่นี้ก็ต้องหยิกกันด้วย”
ที่ให้เจ้าต้นไม้ประเภทนี้มานี่ รู้ตัวหรือเปล่าว่าเหมือนคนให้ชะมัด ดูก็ต้นป้อมๆ เล็กๆ แต่ถ้าไม่ระวังก็โดนหนามตำเอาได้
เอาเข้าไป...
เพื่อนที่ทำงานคนอื่นซึ่งมองยิ้มเฉย เพราะเริ่มเคยชินกับพฤติกรรมของคนคู่นี้ ไอ้คนที่ถกเถียงกันตรงหน้าสองคน คนหนึ่งเป็นมังสวิรัติที่เดาะพกแซนด์วิชเนื้อสัตว์ติดตัว ส่วนอีกคนหนึ่งต้องหิ้วน้ำส้มสองขวดไว้กับตัวเองทุกๆ วัน แล้วจะมาทะเลาะกันหาอะไร
“ทำไมพี่โตชอบลากหนูดีมากินข้าวเย็นด้วย” ยายเด็กหมวกแดงยังไม่เลิกหาเรื่องเขา เป็นอย่างนี้มาเดือนๆ แล้วเพิ่งสงสัยหรือไง “พี่เองก็มีเพื่อนกินข้าว แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าหนูดีไม่มีเพื่อนกินข้าวหรอก พี่ดวงพี่ป้องพี่จอกก็อยู่”
เหอะ! เขาแค่นเสียงเบาๆ จนอีกฝ่ายไม่ได้สังเกต
“กินกับผู้ชายด้วยกันมันแห้งแล้ง” โตมรพูดหน้าตาเฉยพลางพยักเพยิดกับคนอื่นๆ ราวกับถามความเห็น “หรือพวกนายว่าไง”
“คนอื่นตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่เห็นนายจะลากใครมากินด้วยนอกจากหนูดีไม่ใช่หรือ” หนึ่งเสียงคัดค้านด้วยอาการหัวเราะอย่างรู้เท่าทันจนโตมรขึงตาใส่ทันที แล้วรีบหันไปยังเด็กสาวคนเดียวที่อยู่ในห้องอาหารซึ่งกะพริบตาทำหน้าปั้นยากอยู่
ไอ้พวกนี้! หาเรื่องให้เขาซวยแล้วไง กระต่ายตื่นหมด!
“เงียบไปเลยมนัส” ชายหนุ่มปรามเพื่อนแล้วหันมาทางเธอ “ไม่ต้องไปฟังไอ้พวกนี้นักหรอก มันพูดไปงั้นแหละ” พูดตัดบทจบ ก็ก้มหน้าก้มตากินต่อแบบไม่มองหน้าใคร ส่วนคนอื่นก็หัวเราะเบาๆ แล้วสนใจโทรศัพท์มือถือที่หนึ่งในนั้นเพิ่งซื้อมาใหม่ เทคโนโลยีอะไรที่เพิ่มขึ้นจนเธอปวดหัวเพราะเคยใช้เสียที่ไหน
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูดีก็รู้ว่าพูดเล่นกันเฉยๆ” เด็กสาวพยักหน้า
ปรียานุชไม่เคยคิดหรอกน่ะว่าเขาจะสนใจไยดีในแง่อื่น ก็เท่าที่เห็นพวกผู้ชายที่เข้ามามีไมตรีทั้งหลายก็มักจะชวนคุยในเรื่องดีๆ พูดจาสุภาพแล้วก็ทำตัวช่วยเหลือดีกันทุกคน
อ้อ...ไม่ใช่กับเธอหรอกนะ กับเพื่อนเธอต่างหาก เพียงแต่ว่าชายหนุ่มเหล่านั้นช่างน่าสงสารที่ผกาแก้วเพื่อนสนิทเธอความรู้สึกช้ามากถึงมากที่สุด จึงเข้าใจว่าทุกคนเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ได้คิดเลยว่าเขาคิดอะไรกับตัวเองมากกว่านั้น
แต่นี่โตมรไม่ได้เหมือนพวกนั้นเลยสักนิด เธอคิดว่าถ้าผู้ชายสักคนสนใจผู้หญิงสักคนหนึ่งเขาก็น่าจะพูดจาเพราะๆ ไม่ห้วนสั้นทื่อแบบที่โตมรทำ หรือน่าจะอ่อนโยนกว่านี้สักนิด ซึ่งมองจากอาการโยนขนมปังให้เธอแล้วไม่ได้มีอาการแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมีให้แก่ผู้หญิงเลย
เพราะฉะนั้นฟันธงได้ว่าเขาไม่เคยคิดอะไรเกินกว่านั้นแน่นอน!
“ว่าแต่ทำไมพักนี้พี่เห็นหนูดีต้องอยู่ทำงานดึกตลอดเลย ยุ่งขนาดนั้นเลยหรือ เห็นไอ้ป้องกับพี่ดวงกลับบ้านตรงเวลาเผง” มนัส พี่ที่อยู่แผนกเดียวกับโตมรอีกคนตั้งข้อสังเกต
ข้อนี้โตมรก็สังเกตเห็นเหมือนกันแต่ไม่ได้ทักถาม
“ช่วงนี้มีงานจะเอาด่วนเยอะเลยค่ะ หนูดีแปลแทบไม่ทันแล้ว” ปรียานุชตอบ “เห็นพี่จอกว่ามีโปรเจ็กต์ใหม่ที่ต้องติดต่อกับลูกค้ารายนี้เยอะมาก แต่ละงานก็เลยจะเร่งทั้งนั้นจนตอนนี้พี่เขาคิดว่าจะหาคนใหม่เพิ่มอีกคนหนึ่งมารับงานตรงนี้อีก ไม่งั้นแย่แน่ๆ”
“อือ ฮึ” โตมรกางหนังสือพิมพ์เปิดอ่านข่าวพยักหน้ารับรู้ ทว่าคิ้วนั้นขมวดมุ่นทันที แวบหนึ่งที่เขาสบตากับเพื่อนสนิทในแผนกซึ่งต่างฝ่ายต่างเข้าใจทันที มนัสจึงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ ซื่อๆ
“อย่างนั้นก็ดี หนูดีจะได้ไม่ต้องอยู่ดึกๆ ดื่นๆ”
===================================
(มีต่อค่ะ)
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : เจ้าชายของหนูน้อยหมวกแดง บทที่ 4
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/36701359
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/36704435
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/36708882
ส่วนอันนี้เป็นลิ้งค์ของเรื่องเก่าๆ ของซีรี่ส์เทพนิยายนะคะ
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย: แผนลับราพันเซล
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/36590456
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/36597398
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/36600609
บทที่ 4 (จบ) http://ppantip.com/topic/36603143
================================
บทที่ 4
พักนี้กลายเป็นกิจวัตรเวลาที่เธอต้องอยู่ค่ำๆ โตมรเหมือนนกรู้ถึงได้มาอยู่กับเธอเสมอ
เด็กสาวขัดใจอยู่บ้างในช่วงแรกๆ ที่เขาดูจะไม่ค่อย...เอ่อ...ไม่ถึงขนาดไม่มีมารยาท น่าจะเรียกว่าขวานผ่าซากไม่เกรงใจใครมากกว่า ในบางครั้งก็ลากเธอหลุนๆ ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนที่แผนกเขา หรือไม่บางครั้งก็หิ้วคอมพิวเตอร์มาทำงานแถวแผนกเธอเอาดื้อๆ เป็นแขกไม่ได้รับเชิญโดยที่ปรียานุชเองก็ออกแปลกใจอยู่ครามครันเมื่อคนอื่นๆ ในบริษัทนี้ดูจะไม่ได้ล้อเลียนอะไรเธอเลย ราวกับเป็นความชอบธรรมที่โตมรจะมาก้อร่อก้อติกเธอเพราะแม้แต่เจ้านายเธอเองก็ไม่เคยว่ากล่าวตำหนิเลยสักครั้งเดียว จนกระทั่งตอนนี้ก็เลยกลายเป็นความเคยชินของเธอไปเช่นกัน
“เป็นอะไรยายหมวกแดง มองหน้าพี่ทำไม”
ชายหนุ่มร่างใหญ่โตจนเกือบคับที่ทางเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นร่างป้อมนั่นจ้องเขาตาแป๋ว
“พี่โตนี่ไม่เข้ากับสลัดเลยนะคะ”
ปากคอยายเด็กนี่เราะร้ายขึ้นทุกวัน...โตมรแทบแยกเขี้ยว
“มังสวิรัติที่ไหนเขากินข้าวขาหมูกันล่ะ” ว่าจบก็หน้ามุ่ยโยนขนมปังไส้กรอกให้เธอจะได้เงียบๆ ไปเสียที เธอก็ค่อยๆ เล็มขนมนั่นโดยไม่เกี่ยงงอน แล้วก็ยื่นน้ำส้มคั้นที่ซื้อมาสองขวดให้เขาเงียบๆ ซึ่งเขาก็รับมาเปิดดื่มไม่ว่าอะไรเช่นกัน ในห้องรับประทานอาหารรวมกับชายหนุ่มอีกสองคนที่อยู่แผนกเดียวกับเขาจึงเงียบลงได้บ้าง
“แล้วนี่กระบองเพชรหนูดีเป็นไงบ้าง”
ว่าแล้วยายเด็กนี่เงียบนานเสียเมื่อไร! โตมรเหลือบตาขึ้นมองก็ทันได้เห็นเด็กสาวมองออกนอกหน้าต่าง มือป้อมๆ นั่นเกี่ยวซี่ของมู่ลี่ลงเพื่อสำรวจอากาศภายนอก อีกเดี๋ยวก็ต้องบ่นให้เขาเจ้าแคคตัสดอกแดงน่ารักน่าชังนั่นไปตากแดดแหงๆ
‘โต๊ะพี่โตเกะกะสกปรกจะแย่ มีอะไรที่มันดูเจริญหูเจริญตาบ้างก็ดี’ ยายเด็กปากร้ายบอกเขาไว้อย่างนั้น ตาโตๆ นั่นขู่สำทับอีก ‘ดูแลดีๆ ด้วยนะ ถ้าพี่โตทำมันตายได้ หนูดีจะประณามพี่’
เสียงขู่เป็นแมวงอดๆ อย่างนี้...คงกลัวหรอก!
“ยังไม่ตาย” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ก็กระถางเล็กนั่นยังคงวางหราอยู่บนโต๊ะทำงานเขาซึ่งชายหนุ่มเอาไปตากแดดเป็นพักๆ จะมีบางครั้งที่เพื่อนที่หน่วยบอกเขาว่าเจ้าของย่องมาแอบรดน้ำให้ในตอนเช้าเพราะเกรงเขาจะทำมันเฉา
“วันนี้แดดดี พี่เอามันมาตากแดดก็ดีนะ จะได้เจอแสงมั่ง” เจ้าของแคคตัสนั่นแนะนำ
นั่นประไร...ชายหนุ่มก็ทำเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจแล้วก็ต้องร้องจ๊ากเมื่อมือป้อมๆ นั่นบิดเนื้อที่มือเขาแบบไม่ปรานี
“ว่าไงคะ!”
“ก็ได้ๆ” โตมรน่ามุ่ย ยายเด็กหมวกแดงนี่ชักฤทธิ์มาก “แค่นี้ก็ต้องหยิกกันด้วย”
ที่ให้เจ้าต้นไม้ประเภทนี้มานี่ รู้ตัวหรือเปล่าว่าเหมือนคนให้ชะมัด ดูก็ต้นป้อมๆ เล็กๆ แต่ถ้าไม่ระวังก็โดนหนามตำเอาได้
เอาเข้าไป...
เพื่อนที่ทำงานคนอื่นซึ่งมองยิ้มเฉย เพราะเริ่มเคยชินกับพฤติกรรมของคนคู่นี้ ไอ้คนที่ถกเถียงกันตรงหน้าสองคน คนหนึ่งเป็นมังสวิรัติที่เดาะพกแซนด์วิชเนื้อสัตว์ติดตัว ส่วนอีกคนหนึ่งต้องหิ้วน้ำส้มสองขวดไว้กับตัวเองทุกๆ วัน แล้วจะมาทะเลาะกันหาอะไร
“ทำไมพี่โตชอบลากหนูดีมากินข้าวเย็นด้วย” ยายเด็กหมวกแดงยังไม่เลิกหาเรื่องเขา เป็นอย่างนี้มาเดือนๆ แล้วเพิ่งสงสัยหรือไง “พี่เองก็มีเพื่อนกินข้าว แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าหนูดีไม่มีเพื่อนกินข้าวหรอก พี่ดวงพี่ป้องพี่จอกก็อยู่”
เหอะ! เขาแค่นเสียงเบาๆ จนอีกฝ่ายไม่ได้สังเกต
“กินกับผู้ชายด้วยกันมันแห้งแล้ง” โตมรพูดหน้าตาเฉยพลางพยักเพยิดกับคนอื่นๆ ราวกับถามความเห็น “หรือพวกนายว่าไง”
“คนอื่นตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่เห็นนายจะลากใครมากินด้วยนอกจากหนูดีไม่ใช่หรือ” หนึ่งเสียงคัดค้านด้วยอาการหัวเราะอย่างรู้เท่าทันจนโตมรขึงตาใส่ทันที แล้วรีบหันไปยังเด็กสาวคนเดียวที่อยู่ในห้องอาหารซึ่งกะพริบตาทำหน้าปั้นยากอยู่
ไอ้พวกนี้! หาเรื่องให้เขาซวยแล้วไง กระต่ายตื่นหมด!
“เงียบไปเลยมนัส” ชายหนุ่มปรามเพื่อนแล้วหันมาทางเธอ “ไม่ต้องไปฟังไอ้พวกนี้นักหรอก มันพูดไปงั้นแหละ” พูดตัดบทจบ ก็ก้มหน้าก้มตากินต่อแบบไม่มองหน้าใคร ส่วนคนอื่นก็หัวเราะเบาๆ แล้วสนใจโทรศัพท์มือถือที่หนึ่งในนั้นเพิ่งซื้อมาใหม่ เทคโนโลยีอะไรที่เพิ่มขึ้นจนเธอปวดหัวเพราะเคยใช้เสียที่ไหน
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูดีก็รู้ว่าพูดเล่นกันเฉยๆ” เด็กสาวพยักหน้า
ปรียานุชไม่เคยคิดหรอกน่ะว่าเขาจะสนใจไยดีในแง่อื่น ก็เท่าที่เห็นพวกผู้ชายที่เข้ามามีไมตรีทั้งหลายก็มักจะชวนคุยในเรื่องดีๆ พูดจาสุภาพแล้วก็ทำตัวช่วยเหลือดีกันทุกคน
อ้อ...ไม่ใช่กับเธอหรอกนะ กับเพื่อนเธอต่างหาก เพียงแต่ว่าชายหนุ่มเหล่านั้นช่างน่าสงสารที่ผกาแก้วเพื่อนสนิทเธอความรู้สึกช้ามากถึงมากที่สุด จึงเข้าใจว่าทุกคนเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ได้คิดเลยว่าเขาคิดอะไรกับตัวเองมากกว่านั้น
แต่นี่โตมรไม่ได้เหมือนพวกนั้นเลยสักนิด เธอคิดว่าถ้าผู้ชายสักคนสนใจผู้หญิงสักคนหนึ่งเขาก็น่าจะพูดจาเพราะๆ ไม่ห้วนสั้นทื่อแบบที่โตมรทำ หรือน่าจะอ่อนโยนกว่านี้สักนิด ซึ่งมองจากอาการโยนขนมปังให้เธอแล้วไม่ได้มีอาการแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมีให้แก่ผู้หญิงเลย
เพราะฉะนั้นฟันธงได้ว่าเขาไม่เคยคิดอะไรเกินกว่านั้นแน่นอน!
“ว่าแต่ทำไมพักนี้พี่เห็นหนูดีต้องอยู่ทำงานดึกตลอดเลย ยุ่งขนาดนั้นเลยหรือ เห็นไอ้ป้องกับพี่ดวงกลับบ้านตรงเวลาเผง” มนัส พี่ที่อยู่แผนกเดียวกับโตมรอีกคนตั้งข้อสังเกต
ข้อนี้โตมรก็สังเกตเห็นเหมือนกันแต่ไม่ได้ทักถาม
“ช่วงนี้มีงานจะเอาด่วนเยอะเลยค่ะ หนูดีแปลแทบไม่ทันแล้ว” ปรียานุชตอบ “เห็นพี่จอกว่ามีโปรเจ็กต์ใหม่ที่ต้องติดต่อกับลูกค้ารายนี้เยอะมาก แต่ละงานก็เลยจะเร่งทั้งนั้นจนตอนนี้พี่เขาคิดว่าจะหาคนใหม่เพิ่มอีกคนหนึ่งมารับงานตรงนี้อีก ไม่งั้นแย่แน่ๆ”
“อือ ฮึ” โตมรกางหนังสือพิมพ์เปิดอ่านข่าวพยักหน้ารับรู้ ทว่าคิ้วนั้นขมวดมุ่นทันที แวบหนึ่งที่เขาสบตากับเพื่อนสนิทในแผนกซึ่งต่างฝ่ายต่างเข้าใจทันที มนัสจึงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ ซื่อๆ
“อย่างนั้นก็ดี หนูดีจะได้ไม่ต้องอยู่ดึกๆ ดื่นๆ”
===================================
(มีต่อค่ะ)