ความเเตกต่าง ความเอาเปรียบ ความไม่ยุติธรรม เอกราชของคาตาลัน (ตอนที่18 จากราชอาณาจักรที่ ร.5เสด็จ สู่ สาธารณรัฐสังคมนิยม)

ในวันที่ 1 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมาชาวคาตาลันต่างเรียกร้องเอกราช (ก็มีบางส่วนที่ยังคงอยากรวมกับสเปน) ทำประชามติ เพื่อเอกราชของคาตาโลเนีย ต่อมาวันที่ 27 ตุลาคม 2560 รัฐสภาคาคาโลเนียประกาศเอกราชฝ่ายเดียว สาเหตุในการขอเเยก อาจมีทั้งเศรษฐกิจ ทั้งกีฬา ทั้งวัฒนธรรม  เเต่ในที่นี้จะเสนอในมุมมองของประวัติศาสตร์เท่านั้น ซึ่งมีหลายตอน ผิดพลาดประการใด เช่น เเปลผิด ข้อมูลผิด ก็เเจ้งได้ หรือ ถกเถี่ยงกัน เพื่อความรู้ต่อไป

(คอนที่1 https://ppantip.com/topic/36941336 เเละ ตอนที่2 https://ppantip.com/topic/36945135 ตอนที่3 https://ppantip.com/topic/36948232 ตอนที่4 https://ppantip.com/topic/36958700 เเละตอนที่5 https://ppantip.com/topic/36962780 ตอนที่6 https://ppantip.com/topic/36967458 เเละตอนที่7 https://ppantip.com/topic/36973144 ตอนที่8 https://ppantip.com/topic/36985242ตอนที่9 https://ppantip.com/topic/36988968 ตอนที่10 https://ppantip.com/topic/36993192 ตอนที่11 https://ppantip.com/topic/36997321 ตอนที่12 https://ppantip.com/topic/37016757 ตอนที่13 https://ppantip.com/topic/37020177ตอนที่14 https://ppantip.com/topic/37026729 ตอนที่15 https://ppantip.com/topic/37030059 เเละตอนที่16 https://ppantip.com/topic/37037544)

จากตอนที่17 https://ppantip.com/topic/37041067 ในรัชสมัย"ราชินีนาถIsabella II เเห่งสเปน ราชวงศ์Spanish-Bourbon" รัชสมัย"พระเจ้าAmadeo I เเห่งสเปน ราชวงศ์Spanish-Savoy" จนถึงยุคสาธารณรัฐภายใต้ลัทธิเสรีนิยม ฝ่ายเสรีนิยมในสเปนต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายอนุรักษ์นิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งก็คือ พวกCarlist ซึ่งได้ก่อสงครามชิงราชอำนาจถึง 3 หน โดยเฉพาะครั้งที่3 ซึ่งเริ่มตั้งเเต่รัชสมัยพระเจ้าAmadeo I จนถึง ยุคสาธารณรัฐที่1 รัฐบาลก็ยังไม่สามารถปราบกบฏได้ รัฐสภาจึงมีมติคืนความเป็นประมุขให้เเก่ราชวงศ์Spanish-Bourbon โดยมีมติให้ข้ามอดีตราชินีนาถIsabella II เเห่งสเปน ซึ่งถูกฝ่ายเสรีนิยมสุดโต่งชิงราชสมบัติให้เเก่ราชวงศ์Spanish-Savoy ก่อนที่พระเจ้าAmadeo I เเห่งสเปน จะสละราชสมบัติกลายเป็นสาธารณรัฐ เเละอัญเชิญพระราชโอรสองค์ใหญ่ในอดีตราชินีนาถให้ขึ้นครองราชย์ ซึ่งพระองค์ยอมรับราชสมบัติ ประธานาธิบดีเเห่งสาธารณรัฐยอมลาออก จึงเข้าสู่รัชสมัยพระเจ้าAlfonso XII เเห่งสเปน การที่ราชวงศ์บูร์บองกลับสู่ราชบัลลังก์สเปน ทำให้รัฐบาลสามารถปราบกบฏได้สะดวกขึ้น จนกระทั่งได้รับชัยชนะในที่สุด เเละการที่ประมุขของพวกCarlistสิ้นพระชนม์โดยไม่มีทายาท ทำให้การสืบตำเเหน่งประมุขCarlistคลุมเครือ อีกทั้งการที่พระเจ้าAlfonso XII ก็อ้างสิทธิในCarlistเช่นกัน ทำให้พวกCarlistสิ้นฤทธิ์จนไม่สามารถก่อกบฏอีกเลย พระเจ้าAlfonso XII เเห่งสเปน ทรงเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย ทรงพิจารณาร่างกฎหมายที่รัฐสภาทูลเกล้าทุกฉบับ เเต่รัชสมัยของพระองค์ยาวนานเพียงเกือบ 11 ปี ก็เสด็จสวรรคตด้วยวัณโรคในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1885 สิริพระชนมายุ 27 พรรษา

ถึงเเม้ว่าในขณะที่พระเจ้าAlfonso XII เเห่งสเปน ยังทรงพระชนชีพ จะทรงมีเเต่พระราชธิดา ถึงขั้นสถาปนาพระราชธิดาองค์ใหญ่"เจ้าหญิงMercedes"เป็นองค์รัชทายาท เเต่เนื่องจากก่อนที่จะสวรรคต ราชินีในพระเจ้าAlfonso XII "    Maria Christina"กำลังทรงพระครรภ์ ทำให้เมื่อพระเจ้าAlfonso XII สวรรคต รัฐสภาสเปนจึงเห็นว่า ควรเลื่อนการทรงราชย์ของพระประมุขพระองค์ใหม่เสียก่อน เพราะถ้าพระบุตรในพระครรภ์เป็นโอรส ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเเทนพระเชษฐภคินี วัย 5 พรรษา จึงเห็นควรให้พระชนนี"Maria Christina"ในประมุขพระองค์ใหม่สำเร็จราชการไปพลางๆก่อน เเล้วในวันที่ 17 พฤษภาคม 1886 พระชนนีผู้สำเร็จราชการเเทนพระองค์มีประสูติกาลพระราชโอรส รัฐสภาจึงมีมติอัญเชิญให้พระกุมารขึ้นทรงราชย์ตั้งเเต่เสด็จพระราชสมภพ ทรงพระนามว่า "พระเจ้าAlfonso XIII เเห่งสเปน" โดยให้พระชนนีสำเร็จราชการเเทนพระองค์ในขณะที่ทรงพระเยาว์ ในระหว่างการว่าราชการของพระชนนี ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญก็คือ ในรัฐบาลของPráxedes Mateo Sagasta เกิดสงครามSpanish–American War เนื่องจากสหรัฐอเมริกาต้องการชิงอาณานิคมพ้นทะเลที่เหลือของสเปน ได้เเก่ คิวบา ฟิลิปปินส์ เปอร์โตริโก เเละกวม โดยผลของสงครามก็คือ สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายชนะ ได้ฟิลิปปินส์ เปอร์โตริโก เเละกวม ส่วนคิวบาได้รับเอกราชจากสเปน

ในการว่าราชการของพระชนนี"Maria Christina" ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญอันทำให้ความสัมพันธไมตรีอันเเน่นเเฟ้นระหว่างไทย-สเปน ก็คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่1 โดยเสด็จเป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ในวันที่ 16 – 19 ตุลาคม 1897 โดยเสด็จโดยรถไฟเข้าทางชายเเดนฝรั่งเศส โดยมุ่งสู่กรุงมาดริด เมื่อถึงพระนคร ราชสำนัก-รัฐบาลสเปนได้ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ เเล้วให้ประทับร่วมกับราชวงศ์สเปนที่พระบรมมหาราชวังกรุงมาดริด โดยจากหนังสือไกลบ้าน ระบุว่า ร.5 ทรงเอ็นดู"พระเจ้าAlfonso XIII เเห่งสเปน"เป็นอย่างมาก เนื่องจากพระชนมายุไล่เลี่ยกับเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ(ร.6)ที่ตามเสด็จ ณ ประเทศสเปน อีกทั้งทางราชสำนักสเปนได้ถวายจัดเลี้ยงเเละมหรสพทั้งในพระราชวังเเละโรงละครนอกพระราชวังทุกวัน พระองค์ทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆมากมาย เช่น El Escorial, พิพิธภัณฑ์ปราโด, Buen Retiro Park, Palacio Real de El Pardo เเละทอดพระเนตรการต่อสู้วัวกระทิง โดยประทับในมาดริด 3 วัน จึงเสด็จไปยังนครเซบิย่า เเละเข้าสู่โปรตุเกสต่อไป เเต่เนื่องจากจะเสด็จนิวัติสยาม จึงต้องผ่านสเปนไปอิตาลี จึงเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ไม่เอิกเกริก เพื่อรบกวนราชสำนักสเปนอีก จึงทรงเเวะเมืองกาเซเรส เเละ นครบาร์เซโลน่า เเล้วเข้าสู่เเดนฝรั่งเศส ส่วนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่2 ในตอนเเรกมีเเผนว่าจะเสด็จสเปน เเต่ก็ได้ยกเลิกไป เนื่องจากเวลามีจำกัด การเสด็จประพาสสเปนกังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเเน่นเเฟ้นจนถึงปัจจุบัน รวมถึงทรงได้เเรงบันลาลใจจากพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าAlfonso XII จึงทรงสร้างพระบรมรูปทรงม้าของพระองค์เอง

พระเจ้าAlfonso XIII เเห่งสเปน ทรงว่าราชการด้วยพระองค์เองในปี1902 เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงเริ่มจากการเสด็จเยือนมิตรประเทศในยุโรป โดยเฉพาะสหราชอาณาจักร ในที่นั่น พระองค์พบกับ"เจ้าหญิงVictoria Eugenieเเห่งBattenberg" พระราชนัดดาในราชินีนาถVictoriaเเห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงอภิเษกสมรสในปี1906 เเต่ในระหว่างพระราชพิธีอภิเษกสมรสได้เกิดการพยายามลอบปลงพระชนม์ทั้งสองพระองค์ โดยนักอนาธิปไตยชาวเเคว้นคาตาโลเนีย นามว่า "Mateu Morral" เเต่ไม่สำเร็จ ในรัชกาลนี้เกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่1 เนื่องจากพระองค์ทรงมีพระราชมารดาเป็นออสเตรีย ซึ่งอยู่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง เเละมีมเหสีเป็นอังกฤษ ฝ่ายสัมพันธมิตร พระองค์เเละรัฐสภาจึงตัดสินใจเป็นกลางในสงครามนี้ สเปนจึงรับบทตัวกลางในการประสานงานระหว่างสองฝ่ายตลอดสงคราม เเต่ในรัชกาลนี้ก็เกิดโศกอนาฏกรรมที่รุนเเรงกว่าสงคราม เพราะเกิดการระบาดของโรคไข้หวัดสเปน ต่อมาได้เกิดสงครามRif War เนื่องจากดินเเดนSpanish Morocco ในทวีปเเอฟริกาได้ประกาศเอกราชเป็น "Rif Republic" การนี้ทำให้กองทัพสเปนประกาศกฎอัยการศึก เพื่อความสงบเรียบร้อยเเละความสะดวกในการปราบกบฏ เเต่การนี้ทำให้รัฐบาลประชาธิปไตยของManuel García-Prieto จากพรรคLiberal รวมถึงรัฐสภา เริ่มขัดเเย้งกับกองทัพ จึงเป็นเหตุให้กองทัพนำโดยนายพลMiguel Primo de Rivera ทำการรัฐประหารยึดอำนาจในปี1923 เเล้วนำเรื่องกราบบังคมทูลถึงความจำเป็น พระเจ้าAlfonso XIII เเห่งสเปนจึงรับรองการรัฐประหาร เเล้วให้Miguel Primo de Riveraขึ้นเป้นนายกรัฐมนตรี

รัฐบาลของนายพลMiguel Primo de Rivera ใช้อำนาจการปกครองโดยเผด็จการด้วยอิทธิพลของลัทธิชาตินิยม โดย เเละยกเลิกสภาCortes เเล้วจัดการพวกเสรีนิยมจนเเทบหมด เมื่อท่านสามารถปราบ"Rif Republic"ได้ทั้งสิ้น ก็ทำการพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐานมากมาย เช่น Barcelona Metro, เขื่อนDuero, เขื่อนDuero รวมถึงถนนหนทางทั่วทั้งสเปน เป็นต้น นายพลMiguel Primo de Riveraได้ลาออกจากตำเเหน่งในปี1930 เนื่องจากป่วยหนัก
เเละไม่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันเเละกองทัพอีก นายพลDámaso Berenguer ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อ เเล้วใช้การปกครองเเบบเผด็จการขวาจัดดั่งเดิม เเต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพดั่งเดิม จึงลาออกจากตำเเหน่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1931 เเล้วจัดการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคฝักใฝ่สาธารณรัฐชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เนื่องปัญหาทางเศรษฐกิจชองรัฐบาลเผด็จการ พระเจ้าAlfonso XIII เเห่งสเปนทรงรู้พระองค์เอง จึงเสด็จลี้ภัยไปยังอิตาลี เเละสวรรคต ณ ที่นั่น ในปี1941 สิริพระชนมายุ 54 พรรษา ครองราชย์ยาวนาน 45 ปี จากนั้นนายกรัฐมนตรีJuan Bautista Aznar-Cabañas
ได้เสนอญัตติล้มล้างสถาบันกษัตริย์เเละจัดตั้งสาธารณรัฐสเปนที่2 รัฐสภามีมติอนุมัติ ในวันที่ 14 เมษายน 1931 สาธารณรัฐที่2จึงเกิดขึ้น

เเต่สาธารณรัฐใหม่ ได้จัดสร้างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาไปทางสังคมนิยม โดยหารู้ไม่ว่า การนี้จะนำภัยมาถึงตัวสาธารณรัฐ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่