เรียนวิทย์ไปเพื่ออะไร เมื่อไม่มีสิทธิ์ หาเงินไม่ได้ ปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร ผู้คนที่รู้จักจะถามผมอย่างนี้ตั้งแต่วัยเด็ก

เกิดมาจำความได้ ก็เป็นทุกข์ต่ำต้อยในฐานะ  แต่พอได้เรียนหนังสือ ก็อยากมีปัญญา ยอมทุกอย่างเพื่อแสวงหาปัญญาเพราะเรียนเก่งขึ้นตามลำดับ  แต่เจอทางตันตอนชั้นประถม  ไม่มีใครหรือมนุษย์คนใหนช่วยได้  ซึ่งพี่ชายคนโต ก็เกิดบ้าและเพี้ยนไปแล้ว 1 รายเพราะอยากเรียนแต่ไม่ได้เรียน และพี่ทุกคนไม่สามารถผ่านด้านชั้นประถมไปได้ ดัวยพ่อบังคับให้หยุดเรียนทุกคน

       จึงต้องเอาพระพุทธเจ้า เป็นที่พึงเป็นที่ระลึก แล้วปฏิบัติธรรมด้วยตนเองเพื่อจะช่วยให้เรียนต่อได้ ทั้งที่ต้องหยุดเรียนไป 1 ปี  เมื่อได้เรียนต่อด้วยอภินิหารอะไรก็ไม่รู้  หรือด้วยการได้ไหว้พระสวดมนตร์อธิษฐานก่อนนอนทุกคืน(แต่ถ้าวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่สมเหตุสมผล)  ด้วยการแลกกับช่วยงานพ่อแม่ทุกข์อย่างเหมือนเดิม ตามที่หยุดเรียนไป 1 ปี ก็เรียนเก่งขั้นไปตามลำดับ วิธีหลักการปฏิบัติธรรมก็เริ่มพัฒนาขึ้น ด้วยการได้อ่านศึกษาจากตำราพุทธศาสนาในห้องสมุดโรงเรียน

         แต่ความทุกข์ใหญ่ที่ให้เรียนรู้กำลังคืบคลานเข้ามา ด้วยมีประกาสิทธิ์ยิ่งกว่าอำนาจทั้งหลายในสังคมของประเทศ นั้นก็คือกฏหมาย ไม่มีสิทธิ์เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา แม้จะสอบติดมหาลัยมีชื่อของรัฐ ในคณะวิทยาศาสตร์ก็ตาม
          แล้วมนุษย์เล็กๆ คนเดียวจะมีอำนาจอะไร ไม่มีคนช่วย พ่อก็ขัดขวางทุกข์วิถีทาง แถมผู้ที่รู้จักเกือบทั้งหมดมองแล้วกังขา หรือถามว่าเรียนไปเพื่ออะไร เมื่อไม่มีสิทธิ์ ไม่สามารถเอามาหางานหาเงินได้ ก็ได้เพียงต่อบอกว่า อยากมีปัญญา อยากมีความรู้ ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น  บางคนก็สายหัว บางคนก็ทำหน้าเหยๆ บางคนก็สงสาร  บางคนก็ดูถูกว่า มันอยากเรียนเพื่อเป็นเทวดา ได้ยินเต็มสองหู (ยิ้มๆ. เขาดูถูกได้ถูกต้อง เพราะยิ่งกว่าการเป็นเทวดา).

           ต้องหยุดเรียนอีก 1 ปี  ซ่อมจักรยานยนตร์ ทำสีรถ ได้รับเงินเดือนครั้งแรกในชีวิต 400 บาทต่อเดือน แต่ไม่เคยขาดการไหว้พระสวดมนต์อธิษฐาน ให้ได้เรียนต่อ ปฏิบัติธรรมก่อนนอนเลย

           แล้วบุญ กึ่งๆ กลางๆ แบบไม่สมบูรณ์ส่งผล เพราะพ่อประกาศชัดขวางทุกข์วิธีทาง ให้เป็นทุกข์ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ขอให้แม่ช่วยส่งเงินเรียนเดือนละ 8-900 บาท ได้ใบสอบถามจากกระทรงมหาดไทย  แต่ยังไม่ได้รับใบอนุญาติจากกระทรวงมหาดไทย  จึงเอาไปสมัครเรียน มหาลัยรามคำแหง คณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์  ผอ.สวป. ของมหาลัยให้เรียนไปก่อน แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษา ใน 1 ปี ให้เอาใบอนุญาติมายื่น

           จึงตั้งเป้าหมายจะเรียนให้จบภายใน 3 ปี  นี้ก็เป็นการกดดันตนเองมากอย่างหนึ่ง แต่ยังกดดันให้เป็นทุกข์ยังไม่พอ ที่จะทำให้เป็นบ้าได้ ยังมีความกดดันให้เป็นทุกข์ทวีเพิ่มขึ้น ยิ่งขึ้นๆ แบบมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทนอยู่ได้ คือต้องเพี้ยนหรือบ้าไปเสียก่อนคือ.

           1.หลังจากนั้นไม่เคยได้รับใบอนุญาติจากกระทรวงมหาดไทยเลย อาจจะโดนให้ออกกลางคันเมื่อใดก็ได้ หรือเรียนจบแล้วอาจจะไม่ได้รับปริญญาหรืออะไรเลยก็ได้ .
           2.พ่อชัดขวางการส่งเงินของแม่เพื่อให้ผมเรียน แม้ต้องหาวิธีหลบเลียงจนส่งเงินให้ผมได้ เดือนละ 8-900 บาท ดังนั้นผมกินอยู่อย่างขัดสน
           3.แม่ต้องโดนพ่อปลุกตั้งแต่ตี 5. เพื่อด่าเรื่องที่ส่งเสริมให้ผมไปเรียน ม.ราม  จนแม่แทบทนไม่ได้บอกกับพี่ จนพี่ต้องขอร้องให้ผมหยุดเรียนด้วยสงสารแม่ ตอนจะขึ้นปี 2 ผมจึงขอเวลาพี่ว่า น้องขอเวลา 2 ปี จะรีบเรียนให้จบภายใน 3 ปี พี่จึงจำยอมถอย.
           4.การออกจากพื้นที่ควบคุม จะโดนจับหรือใครไม่ชอบแกล้งเมื่อใดก็ได้ จนต้องหวาดผวากลัว เมื่อเดินทางกลับบ้าน และขึ้นมาเรียนที่ กทม.

          จิตใจต้องทุกข์กดดันทุกด้าน รู้ตัวว่าถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ต้องบ้าแน่ ปฏิบัติอานาปานสติ และ พุทธ-โธ กับลมหายใจเข้าออก ทุกเวลาที่ระลึกได้ก็ยังเอาไม่อยู่ จะค่อยๆ เพี้ยนและจะต้องเสิยสติบ้าได้ เมื่อกระทบกับเหตุวิกฤตยิ่งกว่านี้ จึงต้องมองหาตัวช่วย

           จึงเกิดปิ้งไอเดียขึ้นมาว่า  ตอนที่เราได้อ่านธรรมในหนังสือหอสมุดมหาลัย เราทีความปิติสุขเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นในจิตใจ ดังนั้นจึงต้องรักษาใจรักษาจิต ด้วยวิธีนี้เข้าเสริม จึงตัดสินใจให้เวลาครึ่งหนึ่งอ่านหนังสือธรรม กับอีกครึ่งหนึ่งให้กับการเรียนวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่

            แต่ความทุกข์นั้นได้บีบคั่นกดดันปิดล้อม เข้ามาเรื่อยๆ  แบบมีสติรู้เห็นชัดเจนที่มันคืบคลานเข้ามา เมื่อเรียนใกล้จบตามเป้าหมายใน 3 ปี เพราะมีโอกาสไม่ได้รับปริญญาก็ได้.

             เมื่อสอบใกล้จบจึงเข้าวัดปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แล้วสอบผ่านจบทุกวิชาใน 3 ปี แต่ไม่รู้จะได้รับปริญญาหรือเปล่า เพราะอยู่ในวัดปฏิบัติธรรม ด้วยไม่เห็นทางใดเลยที่จะดับทุกข์หรือบรรเทาทุกข์ได้  จึงสละทุกอย่าง แม้ชีวิตเพื่อปฏิบัติธรรม ฌาน 1 ฌาน 2 ก็เจริญขึ้นตามลำดับ วิปัสสนาญาณก็เจริญขึ้นไปตามลำดับ วิปัสสนูกิเลสก็เกิดให้เห็น จนวางคลายหลงไปได้  วิปัสสนาญาณก็วนเวียนขึ้นๆ ลงๆ ให้เห็นทุกข์อย่างยิ่ง ทั้ง ภยญาณ นิพพิทานญาณ

             เห็นทุกข์อย่างไรก็ประกองใจไว้ได้ ด้วยเพราะที่ผ่านมาเป็นทุกข์อย่างไรก็พอประกองมาได้ จึงปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด จนสละชีวิตไปพร้อมกับเห็นทุกข์ที่เป็นทุกข์ ที่กำลังจะตายไปจริงๆ  จึงเห็นแจ้ง ทั้งอนิจจัง ทุกขัง เกิด-ดับ ๆ ที่ปรากฏกับ จิต ที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวเจิดจ้า เกิด-ดับ อย่างชัดเจนยิ่ง แล้วตกตาย  หมดสิ้นไปจริงๆ ช่วงขณะหนึ่ง และเกิดขึ้นมาใหม่ มีเพียงแต่สุขและเป็นหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดปน แล้วเคลื่อนขยายรู้ชัดทั่วร่างกาย.

             พร้อมทั้งเกิดความรู้มาว่า เราจะไม่บ้าแบบพี่คนโตอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไร ทุกข์อย่างไร

              แล้วทุกข์ก็บรรเทาลงแม้ คิดว่าจะไม่ได้รับปริญญาก็ตาม แต่ภายหลังก็ได้รับปริญญาเหมือนกับผู้อื่น แม้จะได้รับอนุมัติจากสภามหาลัยหลังสุดก็ตาม.

              จึงได้รับปริญญาทั้งทางโลกและทางธรรม
  
              นั้นเมื่อผมอายุ 23 - 24 ปี  ยังพิสู่จน์อะไรไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นผลจะเป็นอย่างไร?


              แต่ปัจจุบันอายุย่าง 59 ปี แล้ว  ผ่านความยากลำบากจากนั้นอีกมากมาย ก็ยังดำรงตนอยู่ในศีลธรรมได้ สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวได้ ทำให้ลูกและภรรยาเจริญขึ้นได้อย่างดี และพอมีกินสำหรับตนเองและภารรยาไปจนตาย ตอบแทนคุณ ให้แม่ได้อย่างพอควร(ผมตั้งไว้เกือบล้านบาท หรือมากกว่านั่นจนท่านสิ้นใจ) แม้ท่านจะนอนติดเตียงมา 5 ปีแล้ว ด้วยอายุ 92 ปี จนท่านบอกว่าคุ้มกับที่ท่านย่อมทุกข์เพื่อส่งผมเรียนจนจบ ถ้าไม่มีผมแล้วท่านจะอยู่ และจะลำบากอย่างไรไม่รู้ เพราะคนอื่นไม่มีกำลัง จึงไม่อยากรับ.

             พิจารณากันเองว่า ปัญญา และ ธรรม นั้นดีอย่างไร  สำหรับผมนั้นดีแล้ว ดีแล้ว.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่