ข้าพเจ้าถือพระรัตนตรัยก็เพราะทุกข์ ข้าพเจ้าศึกษาและปฏิบัติธรรมถึงธรรมก็เพราะทุกข์ไม่มีทางออก

หมายเหตุ  เราถกเถียงในเรื่องบัญญัติกันมากแล้ว ผมจึงเสนอเรื่องการปฏิบัติเป็นประสบการณ์ตรงให้อ่านอีกที  แต่การถกเถียงเรื่องบัญญัติ ก็ย่อมดำเนินต่อไปเป็นธรรมดา

          ผมถือพระรัตนตรัยเพราะทุกข์โดยแท้ในวัยเด็กเมื่ออายุ 10 กว่าปี ที่ไม่มีหนทางใดหรือใครๆ ช่วยให้สามารถศึกษาต่อในชั้นมัธยมได้ จึงอธิษฐานขอพระพุทธเจ้า ทุกคืนก่อนนอนหลังสวดมนตร์ไหว้พระก่อนนอน แม้จะไม่ได้เรียนหยุดเรียนไป 1 ปี ก็ยังอธิษฐานขออยู่อย่างนั้นทุกคืน  ทั้งๆที่ไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อได้เลย แต่ก็ทำงานอย่างอื่นไม่ขาดตกบกพร่อง ช่วยพ่อแม่ตามหน้าที่ที่ให้  ซึ่งคงมีน้อยคนมากที่จะกระทำอย่างนี้

         แล้วผมก็ได้เรียนต่อในปีถัดมาเหมือนดังปราติหารย์  โรงเรียนนั้นเปิดเพียงปีเดียวแล้วก็ยุบเลิกกิจการไป แต่ผมได้เรียนต่อไปโดยพ่อไม่ขัดขวาง จนได้อ่านศึกษาหนังสือธรรมที่สูงขึ้นในหอสมุด จึงปฏิบัติธรรมเอาเอง แบบพุทธ-โธ ดูตามลมหายใจ แล้วสวดมนตร์ไหว้พระก่อนนอนทุกคืน จนจบมัธยมปลาย  

          แต่ทุกข์นั้นกำลังบีบขนาบกดดันผมยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีสิทธิ์ เรียนในระดับอุดมศึกษา ทำให้ต้องหยุดเรียนไปแม้จะสอบติดเข้ามหาลัยปิดของรัฐ  คราวนี้หมดหนทางที่ใครๆ หรือมนุษย์คนไหนจะช่วยได้เลยจริงๆ ผมจึงอธิฐานขอจากพระพุทธเจ้าแบบเดิมทุกคืนก่อนนอนเหมือนตอนเด็ก แม้จะไม่เห็นหนทางใดๆ ก็ตาม และผมก็ยังทำหน้าที่อย่างอื่นไม่ขาดตกบกพร่องกับพ่อแม่และการงาน ซึ่งคงมีน้อยคนมากที่จะกระทำอย่างนี้ได้  

           ด้วยกาลเวลาด้วยวัยที่รู้เรียงสามากขึ้น  ก็อาจจะทำให้ความเห็นความคิดพลิกด้านได้ไปนานแล้ว  แต่สำหรับผมนั้นไม่เป็นเช่นนั้น  ยังตั้งมั่นมุ่งมั่นแบบเดิม แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ อาจจะบ้าแบบพี่ชายคนโต ที่เรียนเก่งและบ้าไปแล้วเพราะอยากเรียนต่อ เมื่อโดนพ่อขัดขวาง จึงไม่มีจิตใจอดทนในการทำงานและบ้าไปแล้วตั้งแต่วัยหนุ่ม  ที่ผมเห็นตัวอย่างที่เป็นไปแล้วอย่างชัดเจน จนเป็นที่น่าหวาดกลัวของแม่ว่าลูกอาจจะบ้าไปอีกคน

         ผมหยุดเรียนไป 1 ปี ได้เรียนรู้ในการประกอบอาชีพ ซ่อมจักรยานยนตร์ ทำสีรถยนต์ แต่ยังอธิฐานต่อพระพุทธเจ้าเรียนต่อทุกคืน แล้วโอกาสได้แง้มเปิดให้ผมเพียงนิดเดียว ขออนุญาตเรียนต่อแต่ยังไม่ได้รับใบอนุญาต จึงสมัครเรียน ม.ราม คณะวิทยาศาสตร์(ฟิสิกส์) สมัครเรียนได้แต่ไม่มีสิทธิ เป็นนักศึกษาแท้จริง และพ่อก็จะขัดขวางทุกวิถีทาง และต้องอยู่ในเขตจังหวัดควบคุมเท่านั้น  ผมจึงเรียนไปอย่างมีความทุกข์กดดันทุกด้านอย่างยิ่งยวด สิ่งที่พอช่วยผมได้คือ สวดมนตร์กำหนดกรรมฐานทุกเวลาที่ระลึกได้ และอ่านศึกษาหนังสือธรรมในหอสมุดมหาลัยพอๆ กับการเรียนในมหาวิทยาลัย และผมต้องรีบเรียนให้จบภายในเวลา 3 ปี เพื่อไม่ให้แม่ต้องทุกข์ต้องกดดันจากพ่อยาวนานเกินไป และโรคกรรมโรคเวรอันเป็นวิบากอันไม่รู้สาเหตุ(รูมาต้อย) ก็ปะทุขึ้นมาในช่วงปี 2 พอดี ทรมานและเป็นถี่ขึ้นเมื่อขึ้นปี 3 เพราะไม่ทราบสาเหตุและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเลย

            ซึ่งผมรู้ตัวว่า ถ้าผมไม่ศึกษาธรรมในหอสมุดอย่างมากเพื่อพยุงจิตใจและไม่ได้ปฏิบัติธรรมเนื่องๆ ผมคงเพี้ยนๆ ไปแล้วตั้งแต่อยู่ปี 2.  และคงเริ่มบ้าเมื่ออยู่ ปี 3. นั้นเอง  ผู้ที่ไม่อยู่ในสถานะนั้นย่อมไม่เข้าใจ  ผมอยู่ในสถานะนั้นจึงเข้าใจ และเข้าใจอย่างลึกซึ่งว่า พี่ชายคนโตของผมเป็นบ้าเพราะขาดความตั้งมั่นและขันติอดทนยิ่งนั้นเอง จึงบ้าเสียก่อนเพียงยกแรกที่พ่อห้ามไม่ให้เรียนเท่านั้น( เพราะพ่อเห็นว่าเรียนจบมาแล้วไม่มีสิทธิ์เอาไปหางาน ทำงานได้ )

         แต่ถึงตอนนั้นผมยังมีสิทธิ์พลิกเป็นบ้าได้แบบทันใด เมื่อต่อสู้ถึงที่สุดเรียนจบแต่กลับไม่ได้รับปริญญาแล้วกลายเป็นว่างเปล่านั้นเอง เพราะไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น และไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมยื่นกับทางมหาลัยอีกเลย  สิ่งนี้เองที่ผมหวั่นกลัวว่าจะคุมตัวเองไม่ได้เมื่อเกิดสภาวะจริงๆ เกิดพลิกขึ้นมา เปรียบดังคนที่เสียใจ แต่อดทนไว้กดไว้แทบจะทนไม่ได้ แล้วโดนสะกิดให้เกิด สภาวะสะอื้นและร้องไห้ออกมาอย่างมากมายควบคุมตัวเองไม่ได้นั้นเอง

          จุดเปลี่ยนที่จะถึงสภาวะนั้นคือเรียนใกล้จบในปี ที่ 3 เทอมสุดท้าย ผมได้มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมเป็นรูปแบบครั้งแรกในชีวิตที่ คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ซึ่งเพื่อนชวนกันไป 2 คน ตอนแรกก็ไม่ถูกกับจริตในการปฏิบัติธรรมเพราะคนละแบบกับ พุทธ-โธ ดูลมหายใจเข้าออก  แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องปฏิบัติปรับให้ได้ แล้วสภาวธรรม ก็เจริญขึ้นไปตามลำดับรู้ชัด นามรูปปริเฉทญาณ  ปัจจัยปริคคหาญาณ  เพียง 8 วันที่เข้าปฏิบัติครั้งแรก แล้วออกมาเรียนขอจบในภาคฤดูร้อนเพียงวิชาเลือกง่ายๆ  จึงจบแน่นอน แล้วเข้าวัดปฏิบัติธรรมต่อ ทั้งฌาน และ วิปัสสนาญาณ เจริญไปตามลำดับ ดังนี้
              - อุปจารสมาธิ
              - สัมมสนญาณ พร้อมกับ ปฐมฌาน

        ในเวลาที่ทำกรรมฐานอยู่ 18 วัน เกิดวิปัสสนูกิเลส  กลับไปบวชพระแต่พระไม่บวชให้เพราะรังเกียดฐานะทางสังคม จึงรู้ตัวว่าตนเองหลงอยู่ในวิปัสสนูกิเลส แต่ปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ  ขณะรอบวชพระที่วัดใหม่อยู่  ฌาน และวิปัสสณาญาณก็เจริญขึ้น ดังนี้
             - ทุติยฌาน ก็เจริญขึ้นอย่างสมบูรณ์  
             -  อุทพัยพยญาณ

เมื่อได้บวชพระ ก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่เนืองๆ  วิปัสสนาญาณได้เจริญขึ้นดังนี้
             - ภังคญาณ
             - ภยญาณ
             - อาทีนวญาณ
             - นิพพิทาญาณ

        แต่เมื่อบวชได้ประมาณ 100 วัน รองเจ้าอาวาสที่รังเกียดฐานะทางสังคม ตั้งแต่ได้เจอหน้าเพียงครั้งแรกหลังผมบวได้ สิบกว่าวัน ได้มาขอร้องให้สึกไป ผมจึงสละให้ท่าน
        สึกจากพระปับผมก็ขึ้นกรุงเทพฯ กลับเข้ามาทำกรรมฐานต่อไม่ขาดจากการปฏิบัติธรรมเลย และยอมสละชีวิตนิ้เพื่อพระธรรมที่ปฏิบัตินั้น จึงผ่านพ้นอุปสรรค์ ต่างในการปฏิบัติธรรมตามลำดับไปได้ วิปัสสนาญาณเจริญขึ้น ดังนี้
            - มุญจิตุกัมยตาญาณ
            - ปฏิสังขาญาณ
            -  สังขารุเบกขาญาณ

        ในเวลา สิบกว่าวันที่ปฏิบัติธรรมนั้นและเข้าสู่ สังขารุเบกขาญาณ เจริญ ติดต่อกันเป็นเวลา 6-7 วันที่เดียว  หลังจากนั้นสภาวธรรมนี้ได้เกิดขึ้น(ของเก่าที่เล่าไว้แล้ว)
------
        พอถึงเช้ามืดหลังจากทำกรรมกรรมฐานมา 24 วันในการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ พอจิตขึ้นมาจากภวังค์หลับ รับรู้เพียงอารมณ์ที่รู้สึกที่หูไม่ทันรู้ทั่วร่างกาย ก็กำหนดภาวนาทันที ซึ่งสติมีความเร็วมาก พอภาวนาที่จุดนั้นก็เกิดความเจ็บที่ภาวนาขึ้นแต่ไม่สนใจภาวนาต่อก็มีความเจ็บมากขึ้น ความคิดก็แวบขึ้นมาว่าจะภาวนายินหนอหรือ เจ็บหนอดี ก็เกิดความคิดขึ้นว่าภาวนา ยินหนอต่อ เพราะทำมาอย่างนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจภาวนา ยินหนอต่อ ภาวนาเร็วขึ้น ความเจ็บก็เพิ่มมากขึ้น จนเกิดแสงสว่างสีเหลืองอ่อนเท่ากับดาวประกายพรึกเจ็บเจียนตายแต่ก็ไม่กลัว เพราะที่ผ่านมาครั้งก่อนไม่เป็นอะไร ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นมากกว่ามากหลายเท่าตัว คำภาวนาเร็วขึ้นมาก ความเจ็บทวีคูณขึ้น แสงสว่างจ้าขึ้นใสมากขึ้น เป็นมากขึ้นจนชีวิตนี้กำลังจะตายจากจึงเกิดความหน่วงของจิตคล้ายกับรถที่วิ่งมาอย่างเร็วมาก แล้วเบรกกะทันหันชะรอตัวลงแล้วคำภาวนาคงที่ ความเจ็บคงที่ แสงสว่างคงที่ เสมอเรียบได้สักระยะหนึ่ง (ขอให้เข้าใจด้วยว่าช่วงนี้ใดๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไร นอกจากจุดนี้จุดเดียว) หลังจากนั้นจิต ก็มีการ เกิด ดับ คือแสงของจิตดับ ความเจ็บขาดเป็นช่วงๆ ประมาณ 7 - 8 ครั้งที่ชัดเจนที่สุดและอีกหลายครั้งที่ไม่ชัดเจนหลังจากนั้นจิตก็ตกจากที่ สูงดิ่งลงเหมือนคนกำลังตกเหวลงมาข้างล่างแล้วขาดหายไปชั่วเวลาไม่นานจากนั้น จิตยกขึ้นมารับอารมณ์เพราะจิตไม่มีร่างกาย มีความสุขและเอกคะตาแล้วจิตพิจารณาอารมณ์ว่า "นี้เป็นมรรคผลนิพพาน" แต่ด้วยความกลัวหลงจนวิปลาสเหมือนที่ผ่านมาจึงพิจารณาว่า "ไม่ใช่ออ! อารมณ์สุขอย่างนี้ เป็นอารมณ์ของพรหม" พอพิจารณาเสร็จหลังจากนั้นช่วงเวลาไม่นานก็บังเกิดเป็นดวงสีเหลืยงอ่อนเท่าดวงดาวขึ้นมาหลังจากนั้นรู้สึกโครงเคลง คล้ายกับคนที่อยู่ในท้องเรือใหญ่โดนคลื่นกระทบ แล้วรู้สึกทั่วตัวในท่านอนหายคู้เข่าด้านขวามือสองข้างทาบบนอกเหมือนอย่าง เดิมกับตอนแรกที่กำหนดกรรมฐานเข้าภวังค์จนออกมาหลังจากนั้นกำหนดกรรมฐานก็จะ มีความสุขความสบายอาบทั่วทั้งจิตละร่างกาย และเวลากำหนดกรรมฐานมีอาการดับขาดตอนบ่อยคือนั่งกำหนดกรรมฐานก็ดับไปทันที และสติบังเกิดขึ้นเต็มตัวทันที่
--------

        ในเช้านั้นหลังที่ผมเห็นแจ้งชัดการเกิด-ดับ ในไตรลักษณ์ที่ปรากฏ อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา อย่างแจ้งชัดนั้น  พร้อมทั้ง ตติยฌาน ใจผมก็ได้คำนึงขึ้นว่า  เราจะไม่บ้าแบบพี่ชายคนโต ไม่ว่าจะโดนกดดันใดๆ อีกแล้ว คือเราจะไม่เป็นบ้าจะเสียสติอีกแล้วนั้นเอง  

         หลายวันต่อมาผมได้ไปดูบอร์ดที่มีรายชื่อที่สภามหาลัยอนุมัติเรียนจบในปีนั้น  แต่กลับไม่มีซื่อของผมเลย เพื่อนคนอื่นที่รู้ว่าจบพร้อมกันก็มีรายชื่อหมดแล้ว  แต่ผมกลับมีสติ สงบใจเย็น ไม่หวั่นไหวไม่เป็นดังที่เคยหวาดกลัวไว้เลย กลับสงบและคิดดำเนินการไปตามลำดับไป นั้นเอง.

           รวมเวลาที่เริ่มปฏิบัติธรรมที่วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์  เป็นเวลาประมาณ 5 เดือน ขณะมีอายุเพียง 23 ย่าง 24 ปีนั้นเอง

                  นั้นก็คือ ธรรมย่อม รักษาผู้ปฏิบัติธรรม ตามลำดับนั้นเอง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่