เป็นทุกข์ ทั้งทางกายทางใจอย่างจนยิ่งยวดจนตายจาก หรือเป็นบ้าได้ ก็หาใช่ว่าจะเห็นทุกข์ได้ เพราะธรรมนั้นลาดลุ่มลึกไปตาม.

เป็นทุกข์ ทั้งทางกายทางใจอย่างจนยิ่งยวดจนตายจาก หรือเป็นบ้าได้ ก็หาใช่ว่าจะเห็นทุกข์ได้ เพราะธรรมนั้นลาดลุ่มลึกไปตามลำด้บ.

         พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นทุกข์  ผู้นั้นเห็นธรรม"

        คำตรัสเหมือนจะง่าย แต่ไม่ได้ง่ายเลย....  เพราะสัตว์ทั้งหลายส่วนมาก ต่างก็ตกอยู่ในดงทุกข์ เป็นทุกข์ทั้งทางกายและ/หรือทางใจ  ก็ไม่เห็นทุกข์ พ้นจากทุกข์ได้เลย.

        จะเห็นว่าจากที่ผมได้ประสบพบ  

               1. แม้พี่ชายคนโตของข้าพเจ้า จะได้รับความทุกข์ความกดดันทางจิตใจ  ก็ไม่เห็นทุกข์ จนเป็นบ้าไป จนเสียและตายไปเปล่าๆ  และเห็นอีกหลายคนที่เป็นทุกข์ทางใจ จนผิดเพี้ยนเป็นบ้า หรือไร่ความสามารถไป ก็มาก.
               2. และแม้เห็นผู้ที่เจ็บปวด ป่วยไข้  เป็นทุกข์เจียดตาย หรือตายไป ก็มากมาย ก็ไม่สามารถมีปัญญาเห็นทุกข์ เลยมากมาย.

       ดังนั้น ปัญญาเห็นทุกข์ จึงหาใช่ความเป็นทุกข์กายทุกข์ใจเท่านั้นจึงจะปรากฏขึ้นได้ จนเห็นธรรม  
                ความเป็นทุกข์ทางกายและใจอย่างยิ่งจึงแค่เป็นเหตุเป็นปัจจัยเบื้องต้น ไม่ใช่เป็นทุกข์ แล้วจะเห็นทุกข์ได้..

              จะเห็นทุกข์ได้ ก็ต้องสดับธรรมของพระพุทธเจ้า นำมาปฏิบ้ัติตามลำดับจนสมบูรณ์จนยิ่งยวด จนเกิดปัญญาเห็นทุกข์ เห็นซึ่งธรรมอันประเสริฐได้ ตามพละแห่งตน.

              การเป็นทุกข์ทางกายและทางใจอย่างยิ่งที่กำลังเป็นอยู่ จึงเป็นเพียงแค่เหตุเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นเตือน  ของผู้สดับศึกษาปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะ อย่างถูกต้องตามลำดับ จนลาดลึกอย่างยิ่งยวด จึงเกิดปัญญาเห็นทุกข์สัจจะ จนเห็นธรรมได้ นั้นเอง.

             ดังนั้นพึงพิจารณาตนเองอย่างซื่อตรงเนื่องๆ ว่า...
               1.เมื่อยังเป็นทุกข์ จนลุ่มร้อนกระวนกะวายอย่างมาก ข่มไว้ไม่ได้เลย จนผิดเพี่ยน ทางจิตใจ ตนนั้นแหละทราบได้
               2.เมื่อเกิดกิเลส ราคะ หรือ โทสะ หรือโมหะ  เกิดจนแรงกล้า ระงับไม่ได้ ข่มไม่ได้ บรรเทาลงไม่ได้ จนกระทำผิดศีล 5 ด้วยเจตนาแห่งกิเลสนั้นได้  

               ตนย่อมเป็นผู้ที่ยังไม่เห็นทุกข์ เห็นธรรม นั้นเอง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่