หัดเขียนเรื่องแรกนะคะ ถ้ามีคำแนะนำก็ขอความกรุณาด้วยค่ะ
เป็นเรื่องชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ชะตาชีวิตเกิดในที่ต่ำตม มีความทะเยอทะยานอยากบินให้สูงกว่าถิ่นที่เกิด เพราะชีวิตเต็มไปด้วยคำปรามาสถึงความไร้หัวนอนปลายเท้า เพราะเธอเกิดมาจากผู้หญิงที่ใครๆเรียกขานว่าเป็นดอกไม้สีทอง แต่โชคชะตาก็ให้รูปลักษณ์ที่สวยงามแก่เธอ พรอันประเสริฐนี้เหมือนเป็นดาบสองคมให้ทั้งร้ายและดี แมลงตัวผู้ย่อมอยากได้ดอกไม้งาม เธอจะเอาตัวรอดจากแมลงร้ายได้หรือไม่ เม็ดเงินยั่วยวนเธอให้เลือกเดินทางที่โรยด้วยเม็ดเงินเม็ดทองหรือเธอจะเลือกเดินลำบากบนดินลูกรัง เธอจะตัดสินใจอย่างไร
ขอบคุณมากค่ะ
ด้วยสองมือที่เคยไกวเปล
ถึงวันแม่ทุกๆปี ฉันเกลียดเสมอที่สายตาต้องไปเห็นเหล่าลูกกตัญญูแสดงละครรักแม่ จริงๆก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ที่ค่อนแคะก็เพราะอิจฉาเท่านั้นล่ะใครๆก็มีความสุขที่จะได้อวยพรแม่ บอกรักแม่ พูดถึงความรักที่แม่ให้มา แม่ดูแลอุ้มชูกันจนเติบใหญ่ ออดอ้อนกันถ่ายรูปลงเฟสบุคโชว์หรา เวลาเลื่อนมือไปเห็นในวันแม่ เผลอปัดหน้าจอโทรศัพท์แรงจนเกือบหลุดมือ ฉันเป็นเด็กที่มีความอิจฉาความสุขของคนที่เกิดมามีพ่อแม่ครบครันเสมอ เพราะชีวิตฉันไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ แม่ของฉันไม่เหมือนแม่ของใครๆ พ่อของฉันไม่เคยรับรู้การมีตัวตนของฉัน มาสิคะ ฉันจะเล่าชีวิตของฉันให้ฟัง
สาวสวยประจำตำบล
ลูกสาวคนโตของยาย หมายถึงแม่ของฉันนั่นละ หล่อนเป็นเด็กรูปร่างหน้าตาสะสวย ตารักลูกสาวคนโตมาก ตั้งชื่อให้เสียไพเราะฟังแปลกกว่าคนในหมู่บ้านที่ประกอบอาชีพชาวนา ตาตั้งชื่อแม่ด้วยตัวเองว่า “พลอยสวย” ในขณะที่ชาวบ้านมักมีชื่อเพียงหนึ่งพยางค์ ชื่อผู้ชาย เช่น ผัน ทัด มี ชิน ชื่อผู้หญิงเช่น แจ๋ว กลิ่น น้อย ใจ
เมื่อตอนแม่เกิด ตายายเป็นชาวนา ยากจนมาก ทั้งครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้อ ถ้าไม่ได้ทำนา ตาต้องไปหาปลาจากแม่น้ำมาเป็นอาหารแทบทุกมื้อ ยายเล่าว่า วันไหนมีไข่เป็ดต้มกินกับน้ำพริก ผักต้มที่หาเก็บได้ตามริมรั้ว ริมทาง ไม่ต้องซื้อ แม่จะดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้กินไข่ แต่วันไหนมีแกงใส่ปลา ยายเล่าว่า แม่กินข้าวเคล้าน้ำตาร้องไห้โฮๆ (เพราะเบื่อปลาที่ตาไปจับมากินแทบทุกมื้อ แต่ไข่เป็ดเป็นของแพง ต้องเสียสตางค์ซื้อ)
แม่ไม่ชอบเรียนหนังสือ และยายก็ไม่สนับสนุน ยายคิดว่าเป็นผู้หญิงจะเรียนทำไมให้ลำบาก เดี๊ยวโตเป็นสาวก็แต่งงานมีผัว พอแม่โตเป็นสาวรุ่น ความสวยและความฝีปากดีฉอเลาะ แม่จึงมีหนุ่มน้อยใหญ่มาติดพันไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าชื่อเสียงเลื่องลือ ยายมีลูกสาวอีกคน และลูกชายอีกสอง แต่ตามประสาครอบครัวลูกจีน ลูกชายจะมีอภิสิทธิ์เสมอ และลูกสาวคนรองนั้นก็ไม่สวยอย่างแม่ น้าสาวคนนี้จึงออกจะน่าสงสารกว่าใครเพื่อน
แม่ของฉันรักสวยรักงามแต่เด็ก ฉลาดแกมโกงเจ้าเลห์แสนกลจนยายปวดหัว พอเป็นสาวยายหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้แม่มีผัวเป็นคนรวยๆ เฟ้นหาหนุ่มน้อยใหญ่ในตำบลที่ฐานะดี แต่แม่ชอบสักคน คนบ้านนอกไม่โก้หรูและแม่ชอบคนหน้าตาดี ที่ยายหามาให้แม่คิดว่ามีแต่หน้าตาไม่เป็นคน อีกทั้งแม่ยังอยู่ในวัยรุ่นจึงอยากสนุกไปเรื่อยๆ จึงหนียายไปเที่ยวเตร่ไม่ค่อยยอมกลับบ้าน พอหายไปสักพักยายไปตามสืบหาตามบ้านเพื่อนแม่ ยายโมโหและอับอาย ลูกสาวทำตัวเสื่อมเสีย ยายก็เอาไม้แข็งเข้าสู้ ตีแม่หนักๆ แม่ร้องไห้วิ่งหนี ยายวิ่งตามรอบบ้านจนเหนื่อย ตีแม่ไม่ค่อยทันเพราะแม่วิ่งเก่ง ตีได้สักทีแม่ก็แรงเยอะสะบัดหลุดวิ่งหนีรอบบ้าน พอวิ่งตามไม่ทันยายเหนื่อย ยายก็ได้แต่ด่า แม่ก็ชนะทุกทีไม่ค่อยโดนตี แต่ไม่ว่ากี่ครั้งที่แม่หนีไปแล้วโดนยายลากกลับบ้านมา ด่าให้อายเท่าไรแม่ก็ไม่เข็ด แอบหนีไปเรื่อยๆ ในที่สุดลูกสาวตัวน้อยของยายก็ปีกกล้าขาเริ่มแข็ง แม่หนีไป “กรุงเทพฯ” ที่ๆยายตามแม่ไม่ได้ เด็กสาวคิดเพียงว่าเบื่อบ้านเบื่อความจน จะหนีเข้าเมืองกรุงไปหารักแท้กับเจ้าชายรูปงาม ก่อนไปแม่ลั่นวาจาประกาศตัวว่า ถ้าไม่ได้ดิบได้ดีจะไม่กลับมาให้อายคน แต่แล้ววันหนึ่ง...แม่ก็กลับมาอย่างนกปีกหัก...
แม่
ฉันเป็นลูกสาวที่ “บังเอิญเกิด” จากความรักสนุกของหญิงชายคู่หนึ่ง แม่ท้องโดยที่พ่อไม่ยอมรับรู้การมีตัวตนของฉัน แม่จึงต้องหนีอาย แอบตายายมาต่างจังหวัดเพื่อคลอดฉันที่บ้านย่าของแม่(ซึ่งก็คือทวดของฉัน) บ้านนี้มีสมาชิกสี่คน คือ ทวด ยายเล็ก(ลูกสาวคนเล็กของทวด) ตาเล็ก (สามีของยายเล็ก) พี่เล็ก (ลูกสาวคนโตของตาเล็กและยายเล็ก) ทวดขอให้คลอดและทิ้งฉันไว้ที่บ้านนอก ทวดจะเลี้ยงเองหากแม่ไม่พร้อม ทวดบอกว่าหลานเหลนแท้ๆทั้งสองคนจะทิ้งได้อย่างไร
ฉันไม่รู้ว่าเรื่องเล่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเสริมแต่งสนุกปากคนเล่า แต่ฉันจำเพราะฉันชอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน คุณๆก็รู้ใช่ไหม ว่าเวลาที่เราเติบโตมาในหมู่มวลญาติมิตรในสังคมเล็กๆต่างจังหวัดนั้น ความใกล้ชิดของสังคมเล็กแคบบวกกับการศึกษาน้อย บวกกับความหวังดีที่บางทีก็เป็นการใช้อ้างเพื่อที่จะพูดจาทับถมกันโดยสะดวกใจ ทำให้มีคำพูดเหน็บใจให้แก่กันเสมอ โดยฉากหน้าคือรอยยิ้มใส่กัน และฉากหลังคือความริษยา ฉันได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่าแม่ฉันไปทำแท้ง แต่ฉันไม่ตาย แม่จึงยอมแพ้ มาคลอดฉันที่บ้านทวด
ฉันเกิดมาเป็นเด็กอวบอ้วน ตุ้ยนุ้ย น้ำหนักแรกเกิดคือสี่กี่โลกรัมกับอีกสองขีด มีผิวขาวเนียนผิดกับลูกชาวบ้านแถวนั้น เพราะยายฉันเป็นลูกจีน ส่วนพ่อของฉัน(ที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า แต่ญาติๆเคยเห็น เพราะว่าแม่เคยมาพบทวดครั้งหนึ่ง) เขาก็เป็นลูกจีน ฉันจึงขาวมากในสายตาของคนต่างจังหวัด ประกอบกับฉันมีตากลมโตสองชั้น และจมูกโด่งสวยที่ฉันได้มาจากพ่อ (ญาติๆบอกอีกนั่นล่ะ) ฉันจึงออกจะน่าเอ็นดูสักหน่อยในสายตาชาวบ้าน เสียแต่ฉันเป็นเด็กไม่ค่อยชอบพูด มักจะนิ่งเสียมาก ใครๆมาหยอกล้อพูดด้วยก็มักไม่ตอบ มองตาใส นิ่งเฉยกระพริบตาใส่ ทำเหมือนเป็นเด็กใบ้ แม้ว่าฉันออกจะนิ่งๆ แต่ใครๆก็บอกว่าโชคดีที่ฉันเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่อ้อนงอแงเอาแต่ใจ เมื่อถึงเวลาหิวก็ร้องบอก พอกินนมเสร็จก็หลับเอง เปลของฉันอันใหญ่ ทวดจะไกลเปลเห่กล่อมด้วยเพลงเดียวที่ฉันจำเนื่อเพลงได้มาจนบัดนี้ “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ ไอ้เขียวหางงอ กอดคอโยกเยก” (หมาตัวโปรดของทวดชื่อไอ้เขียว)
พอตื่นนอนมาฉันก็หาข้าวของใกล้มือเล่นคนเดียวไปตามประสา ไม่ซนไม่ทะโมนปีนป่าย ฉันชอบเล่นขายของ เล่นขายขนมครก นั่งคลุกกับดินหน้าบ้าน เล่นกับหมาของทวด ฉันชอบเด็ดดอกไม้ใส่กะลามะพร้าวแล้วเอาดินคลุกแล้วหยดน้ำใส่จนดินเปียกเปนโคลน เอาช้อนตักดินออกจากพื้นทำให้เป็นรูกลม ปากกว้างตูดลึก เหมือนเบ้าขนมครก แล้วตักโคลนที่ผสมใบไม้ดอกไม้หยอดลงหลุม พอดินแห้งก็ตักขนมโคลนออกมาวางบนใบตอง โรยดอกเข็มใส่ สมมุติว่าเป็นขนมครก
ฉันไม่เจ็บป่วยง่าย ไม่เป็นหวัดง่าย นอกจากว่าเป็นเด็กผิวบางสักหน่อย หน้าตา แขน ขาสองข้างของฉันเต็มไปด้วยตุ่มแผลกัด จากแมลง มด หรือยุง หากถูกกัด แผลก็จะแดงเห่อ คัน นานกว่าเด็กคนอื่น ทุกคนในบ้านพยายามทายาหม่องหลายขนานให้ฉัน ทวดเอาปูนแดงที่ไว้กินหมากมาป้ายตามตุ่มแผลแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล แผลเก่าหายแผลใหม่ก็มาอีก (ฉันสำอางค์แต่เด็กว่างั้นเถอะ) ดังนั้น ฉันจึงเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วนขาวเนียนแต่ทั่วตัวเต็มไปด้วยลายจุดชมพูจากปูนกินหมากของทวด ใครเห็นฉันก็มักจะขำลายชมพูพร้อยทั้งหน้าตัว แต่ฉันสิโกรธอยู่ในใจ เดือดปุดๆ ตามประสาเด็ก ดังนั้นพอเจอผู้ใหญ่ ที่ขำ หรือมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันก็มักพาล ทำเฉยๆ นิ่งๆ ทำอึน ทำมึน ไม่พูด ไม่ไหว้ ไม่สวัสดี การคิดของฉันแบบนี้ส่งผลทำให้ทวดอายเสียหลายหน เหมือนว่าอบรมหลานสาวไม่ดี
พ่อแม่คู่แรกกับชีวิตเด็กชนบท
หลังจากฉันดีดตัวออกจากท้องแม่มาสู่โลกกว้างเมื่ออายุได้ประมาณสองเดือน แม่ของฉัน สาวสวยเสน่ห์แรงประจำตำบลก็ทนกลิ่นโคนสาบควายของบ้านนอกคอกนาไม่ไหว จึงต้องเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า หอบความสาวเข้ากรุงไปหาแสงสีอีกครั้ง และให้สัญญากับทวดของฉันว่า จะส่งเงินค่านม ค่าเลี้ยงดูมาให้เด็กหญิงขาวอวบ หัวแดงๆ คนนี้ และจะมาเยี่ยมบ่อยๆ ฉันไม่รู้ว่าแม่โผล่หน้ามาเยี่ยมฉันกี่ครั้ง แต่ฉันจำเรื่องของแม่ไม่ได้เลยในวัยเด็ก แม่ไม่ได้อยู่สอนฉันคลาน หรือพูด แม่ไม่เคยตื่นเต้นกับการเดินได้ก้าวแรกของฉันเหมือนยายเล็ก ไม่ได้สอนฉันหัดพูดเหมือนตาเล็ก ไม่ได้อาบน้ำชงนมให้ฉันกินเหมือนทวด ไม่ได้เล่นหม้อข้าวหม้อแกงขายของกับฉันเหมือนพี่เล็ก
เมื่อฉันเริ่มหัดพูด ฉันเริ่มรู้ความ ฉันก็เรียกยายเล็กว่าแม่ เรียกตาเล็กว่าพ่อ เรียกทวดว่ายาย เพราะพี่เล็ก ลูกสาวคนโตของยายเล็กเป็นเพื่อนเล่นกับฉัน คอยดูแลฉัน ตามใจฉันทุกอย่าง ฉันมีความสุขที่พี่เอาใจ เล่นด้วยทุกวัน ฉันจึงรักพี่สาวมาก เมื่อพี่ทำอะไรฉันก็ทำตาม พี่เรียกใครอย่างไร ฉันก็เรียกตาม ฉันคิดว่าตัวเองมีความสุขดีในวัยนั้น ในบ้านไม้สองชั้นที่บ้านต่างจังหวัดล้อมรอบด้วยสวนกล้วย สวนมะม่วง ผักสวนครัว (แม้ว่ายุงชุมก็ตาม)
ยายเล็กรักฉันดูแลฉันเหมือนลูกสาวตัวเอง ป้อนกล้วย ป้อนข้าวใส่ปากฉัน อาบน้ำ ล้างก้นให้ฉันตั้งแต่แบเบาะ เมื่อเวลานอนก็ไกวเปลให้ฉันนอน (แต่ไม่มีเพลงโยกเยกเหมือนของทวด) ยายเล็กดูแลฉันมากกว่าแม่จริงของฉัน จนฉันเริ่มโตอายุเกือบสองขวบ ยายเล็กท้องลูกสาวคนที่สอง ใครๆพูด ฉันเหมือนเป็นลูกอิจฉา เพราะตั้งแต่คลอดลูกสาวคนโต ยายเล็กรอคอยอยากมีลูกคนที่สองอีกก็ไม่มีสักที ผ่านมาหลายปี พอฉันมาอยู่ด้วยสองปี ยายเล็กก็ได้ลูกคนที่สองสมใจ
เมื่อลูกสาวคนที่สองของยายเล็กเกิด ชีวิตของฉันนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉา เพราะใครๆก็เริ่มล้อเลียนฉันว่าจะเป็นหมาหัวเน่า พ่อแม่จริงก็ทิ้งฉัน พ่อแม่ปลอมก็จะเห่อลูกใหม่ ฉันเป็นเด็กช่างจดจำ ความรู้สึกนี้ฝังใจ น้องยังไม่เกิดฉันก็เกลียดเพราะปากคนพูดใส่เสียแล้ว จนลูกสาวคนเล็กของยายเล็กเกิด เราไม่เคยเล่นกันอย่างสงบสุข เราตีกัน ด่าทอ ทะเลาะกันเสมอ ฉันไม่เล่นกับใครนอกจากพี่เล็ก ส่วนน้องเล็กอยากจะมาเล่นกับฉัน ฉันก็ไม่เล่นด้วย น้องจึงแกล้งฉัน เพราะฉันขัดใจ ฉันเป็นเด็กไม่ยอมใคร เมื่อถูกพูดจายั่วยุ ก็จะทำร้ายคืนกลับให้หนักกว่า เราสองคนจึงเหมือนน้ำกับน้ำมันตั้งแต่เด็ก ฉันอิจฉาน้องที่เกิดมาแย่งความรักจากยายเล็กไป เพราะยายมีลูกคนเล็กต้องดูแลมากกว่าฉัน แต่น้องก็คอยอิจฉาฉัน เพราะตอนเด็กฉันน่าเอ็นดู ใครๆมาบ้านก็มักเอ็นดูฉันมากกว่าน้อง ฉันสวยกว่ามีแต่คนสนใจอยากเล่นด้วย
แม้ว่าเราจะทะเลาะกันทุกวัน แต่ฉันโชคดี ที่ตาเล็กและยายเล็กเป็นคนใจดี ใจเย็น ทั้งสองคนไม่เคยตีฉันเลย และให้ความอบอุ่นอย่างเต็มที่ เวลาเด็กน้อยทั้งสองทะเลาะตีกัน ก็เพียงแค่ถูกผู้ใหญ่จับแยกไปคนละทาง เราสองคนไม่เคยถูกตี ด่าทอ หรือทำโทษ มีเพียงเสียงบ่นจากยายเล็กว่า “เห้อ นี่ละน้า ก็หมากับหนู มันไม่ถูกกันจริงๆ หนูมันคอยแหย่หมา หมารำคาญก็เลยกัดเข้าให้” (ฉันเกิดปีจอ น้องเกิดปีชวด)
ส่วนตาเล็กนั้น แม้จะมีลูกสาวอีกคน แต่ก็ใส่ใจฉันไม่เคยขาด ตาไปทำนา เจอลิปสติกสีแดงตกพื้นแตกๆ แต่ข้างในยังมีแท่งลิปสติก ตาก็เอามาให้ฉันทาปากเล่นแต่งหน้าทาแป้ง วันหนึ่งฉันนั่งเล่นลิปสติกที่ตาให้ไว้หน้ากระจกที่แคร่ไม้ตรงหน้าบ้าน มีคนมาร้องเรียกหาทวดจะให้ตัดผมให้ ทวดฉันมีฝีมือตัดผม ฉันเคยนั่งมองเพลินดูทวดใช้ปัดตาเลี่ยนไถหัวคนแถวบ้านบ่อยๆ เสียงปัดตาเลี่ยนดังครืดๆๆ ทวดมีกรรไกรอันใหญ่และมีโกนอันใหญ่ ฉันชอบเสียงกรรไกรตัดผมดังฉับๆๆๆ พอทวดเดินออกมาจากในบ้านเขาก็แจ้งความจำนงจะว่าจ้างตัดผม ระหว่างทวดตัดผมให้ลูกค้า ฉันนั่งเล่นลิปสติกทาปากแดงเถือก ลูกค้าตัดผมเห็นถามอย่างเอ็นดูว่า
“อิหนู ไปเอารูธใครเขามาเล่น” (สมัยนั้นที่บ้านนอกเขาเรียกลิปสติกว่า “รูธ”)
ฉันตอบสั้นๆตามประตาเด็กพูดน้อย
“รูธตาเล็ก”
หลังจากวันนั้น คนในหมู่บ้านลือกันให้สนั่นว่าตาเล็กของฉันมีลิปสติกสงสัยว่าจะเป็นพวกกะเทย
ด้วยสองมือที่เคยไกวเปล
เป็นเรื่องชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ชะตาชีวิตเกิดในที่ต่ำตม มีความทะเยอทะยานอยากบินให้สูงกว่าถิ่นที่เกิด เพราะชีวิตเต็มไปด้วยคำปรามาสถึงความไร้หัวนอนปลายเท้า เพราะเธอเกิดมาจากผู้หญิงที่ใครๆเรียกขานว่าเป็นดอกไม้สีทอง แต่โชคชะตาก็ให้รูปลักษณ์ที่สวยงามแก่เธอ พรอันประเสริฐนี้เหมือนเป็นดาบสองคมให้ทั้งร้ายและดี แมลงตัวผู้ย่อมอยากได้ดอกไม้งาม เธอจะเอาตัวรอดจากแมลงร้ายได้หรือไม่ เม็ดเงินยั่วยวนเธอให้เลือกเดินทางที่โรยด้วยเม็ดเงินเม็ดทองหรือเธอจะเลือกเดินลำบากบนดินลูกรัง เธอจะตัดสินใจอย่างไร
ขอบคุณมากค่ะ
ด้วยสองมือที่เคยไกวเปล
ถึงวันแม่ทุกๆปี ฉันเกลียดเสมอที่สายตาต้องไปเห็นเหล่าลูกกตัญญูแสดงละครรักแม่ จริงๆก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ที่ค่อนแคะก็เพราะอิจฉาเท่านั้นล่ะใครๆก็มีความสุขที่จะได้อวยพรแม่ บอกรักแม่ พูดถึงความรักที่แม่ให้มา แม่ดูแลอุ้มชูกันจนเติบใหญ่ ออดอ้อนกันถ่ายรูปลงเฟสบุคโชว์หรา เวลาเลื่อนมือไปเห็นในวันแม่ เผลอปัดหน้าจอโทรศัพท์แรงจนเกือบหลุดมือ ฉันเป็นเด็กที่มีความอิจฉาความสุขของคนที่เกิดมามีพ่อแม่ครบครันเสมอ เพราะชีวิตฉันไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ แม่ของฉันไม่เหมือนแม่ของใครๆ พ่อของฉันไม่เคยรับรู้การมีตัวตนของฉัน มาสิคะ ฉันจะเล่าชีวิตของฉันให้ฟัง
สาวสวยประจำตำบล
ลูกสาวคนโตของยาย หมายถึงแม่ของฉันนั่นละ หล่อนเป็นเด็กรูปร่างหน้าตาสะสวย ตารักลูกสาวคนโตมาก ตั้งชื่อให้เสียไพเราะฟังแปลกกว่าคนในหมู่บ้านที่ประกอบอาชีพชาวนา ตาตั้งชื่อแม่ด้วยตัวเองว่า “พลอยสวย” ในขณะที่ชาวบ้านมักมีชื่อเพียงหนึ่งพยางค์ ชื่อผู้ชาย เช่น ผัน ทัด มี ชิน ชื่อผู้หญิงเช่น แจ๋ว กลิ่น น้อย ใจ
เมื่อตอนแม่เกิด ตายายเป็นชาวนา ยากจนมาก ทั้งครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้อ ถ้าไม่ได้ทำนา ตาต้องไปหาปลาจากแม่น้ำมาเป็นอาหารแทบทุกมื้อ ยายเล่าว่า วันไหนมีไข่เป็ดต้มกินกับน้ำพริก ผักต้มที่หาเก็บได้ตามริมรั้ว ริมทาง ไม่ต้องซื้อ แม่จะดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้กินไข่ แต่วันไหนมีแกงใส่ปลา ยายเล่าว่า แม่กินข้าวเคล้าน้ำตาร้องไห้โฮๆ (เพราะเบื่อปลาที่ตาไปจับมากินแทบทุกมื้อ แต่ไข่เป็ดเป็นของแพง ต้องเสียสตางค์ซื้อ)
แม่ไม่ชอบเรียนหนังสือ และยายก็ไม่สนับสนุน ยายคิดว่าเป็นผู้หญิงจะเรียนทำไมให้ลำบาก เดี๊ยวโตเป็นสาวก็แต่งงานมีผัว พอแม่โตเป็นสาวรุ่น ความสวยและความฝีปากดีฉอเลาะ แม่จึงมีหนุ่มน้อยใหญ่มาติดพันไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าชื่อเสียงเลื่องลือ ยายมีลูกสาวอีกคน และลูกชายอีกสอง แต่ตามประสาครอบครัวลูกจีน ลูกชายจะมีอภิสิทธิ์เสมอ และลูกสาวคนรองนั้นก็ไม่สวยอย่างแม่ น้าสาวคนนี้จึงออกจะน่าสงสารกว่าใครเพื่อน
แม่ของฉันรักสวยรักงามแต่เด็ก ฉลาดแกมโกงเจ้าเลห์แสนกลจนยายปวดหัว พอเป็นสาวยายหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้แม่มีผัวเป็นคนรวยๆ เฟ้นหาหนุ่มน้อยใหญ่ในตำบลที่ฐานะดี แต่แม่ชอบสักคน คนบ้านนอกไม่โก้หรูและแม่ชอบคนหน้าตาดี ที่ยายหามาให้แม่คิดว่ามีแต่หน้าตาไม่เป็นคน อีกทั้งแม่ยังอยู่ในวัยรุ่นจึงอยากสนุกไปเรื่อยๆ จึงหนียายไปเที่ยวเตร่ไม่ค่อยยอมกลับบ้าน พอหายไปสักพักยายไปตามสืบหาตามบ้านเพื่อนแม่ ยายโมโหและอับอาย ลูกสาวทำตัวเสื่อมเสีย ยายก็เอาไม้แข็งเข้าสู้ ตีแม่หนักๆ แม่ร้องไห้วิ่งหนี ยายวิ่งตามรอบบ้านจนเหนื่อย ตีแม่ไม่ค่อยทันเพราะแม่วิ่งเก่ง ตีได้สักทีแม่ก็แรงเยอะสะบัดหลุดวิ่งหนีรอบบ้าน พอวิ่งตามไม่ทันยายเหนื่อย ยายก็ได้แต่ด่า แม่ก็ชนะทุกทีไม่ค่อยโดนตี แต่ไม่ว่ากี่ครั้งที่แม่หนีไปแล้วโดนยายลากกลับบ้านมา ด่าให้อายเท่าไรแม่ก็ไม่เข็ด แอบหนีไปเรื่อยๆ ในที่สุดลูกสาวตัวน้อยของยายก็ปีกกล้าขาเริ่มแข็ง แม่หนีไป “กรุงเทพฯ” ที่ๆยายตามแม่ไม่ได้ เด็กสาวคิดเพียงว่าเบื่อบ้านเบื่อความจน จะหนีเข้าเมืองกรุงไปหารักแท้กับเจ้าชายรูปงาม ก่อนไปแม่ลั่นวาจาประกาศตัวว่า ถ้าไม่ได้ดิบได้ดีจะไม่กลับมาให้อายคน แต่แล้ววันหนึ่ง...แม่ก็กลับมาอย่างนกปีกหัก...
แม่
ฉันเป็นลูกสาวที่ “บังเอิญเกิด” จากความรักสนุกของหญิงชายคู่หนึ่ง แม่ท้องโดยที่พ่อไม่ยอมรับรู้การมีตัวตนของฉัน แม่จึงต้องหนีอาย แอบตายายมาต่างจังหวัดเพื่อคลอดฉันที่บ้านย่าของแม่(ซึ่งก็คือทวดของฉัน) บ้านนี้มีสมาชิกสี่คน คือ ทวด ยายเล็ก(ลูกสาวคนเล็กของทวด) ตาเล็ก (สามีของยายเล็ก) พี่เล็ก (ลูกสาวคนโตของตาเล็กและยายเล็ก) ทวดขอให้คลอดและทิ้งฉันไว้ที่บ้านนอก ทวดจะเลี้ยงเองหากแม่ไม่พร้อม ทวดบอกว่าหลานเหลนแท้ๆทั้งสองคนจะทิ้งได้อย่างไร
ฉันไม่รู้ว่าเรื่องเล่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเสริมแต่งสนุกปากคนเล่า แต่ฉันจำเพราะฉันชอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน คุณๆก็รู้ใช่ไหม ว่าเวลาที่เราเติบโตมาในหมู่มวลญาติมิตรในสังคมเล็กๆต่างจังหวัดนั้น ความใกล้ชิดของสังคมเล็กแคบบวกกับการศึกษาน้อย บวกกับความหวังดีที่บางทีก็เป็นการใช้อ้างเพื่อที่จะพูดจาทับถมกันโดยสะดวกใจ ทำให้มีคำพูดเหน็บใจให้แก่กันเสมอ โดยฉากหน้าคือรอยยิ้มใส่กัน และฉากหลังคือความริษยา ฉันได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่าแม่ฉันไปทำแท้ง แต่ฉันไม่ตาย แม่จึงยอมแพ้ มาคลอดฉันที่บ้านทวด
ฉันเกิดมาเป็นเด็กอวบอ้วน ตุ้ยนุ้ย น้ำหนักแรกเกิดคือสี่กี่โลกรัมกับอีกสองขีด มีผิวขาวเนียนผิดกับลูกชาวบ้านแถวนั้น เพราะยายฉันเป็นลูกจีน ส่วนพ่อของฉัน(ที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า แต่ญาติๆเคยเห็น เพราะว่าแม่เคยมาพบทวดครั้งหนึ่ง) เขาก็เป็นลูกจีน ฉันจึงขาวมากในสายตาของคนต่างจังหวัด ประกอบกับฉันมีตากลมโตสองชั้น และจมูกโด่งสวยที่ฉันได้มาจากพ่อ (ญาติๆบอกอีกนั่นล่ะ) ฉันจึงออกจะน่าเอ็นดูสักหน่อยในสายตาชาวบ้าน เสียแต่ฉันเป็นเด็กไม่ค่อยชอบพูด มักจะนิ่งเสียมาก ใครๆมาหยอกล้อพูดด้วยก็มักไม่ตอบ มองตาใส นิ่งเฉยกระพริบตาใส่ ทำเหมือนเป็นเด็กใบ้ แม้ว่าฉันออกจะนิ่งๆ แต่ใครๆก็บอกว่าโชคดีที่ฉันเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่อ้อนงอแงเอาแต่ใจ เมื่อถึงเวลาหิวก็ร้องบอก พอกินนมเสร็จก็หลับเอง เปลของฉันอันใหญ่ ทวดจะไกลเปลเห่กล่อมด้วยเพลงเดียวที่ฉันจำเนื่อเพลงได้มาจนบัดนี้ “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ ไอ้เขียวหางงอ กอดคอโยกเยก” (หมาตัวโปรดของทวดชื่อไอ้เขียว)
พอตื่นนอนมาฉันก็หาข้าวของใกล้มือเล่นคนเดียวไปตามประสา ไม่ซนไม่ทะโมนปีนป่าย ฉันชอบเล่นขายของ เล่นขายขนมครก นั่งคลุกกับดินหน้าบ้าน เล่นกับหมาของทวด ฉันชอบเด็ดดอกไม้ใส่กะลามะพร้าวแล้วเอาดินคลุกแล้วหยดน้ำใส่จนดินเปียกเปนโคลน เอาช้อนตักดินออกจากพื้นทำให้เป็นรูกลม ปากกว้างตูดลึก เหมือนเบ้าขนมครก แล้วตักโคลนที่ผสมใบไม้ดอกไม้หยอดลงหลุม พอดินแห้งก็ตักขนมโคลนออกมาวางบนใบตอง โรยดอกเข็มใส่ สมมุติว่าเป็นขนมครก
ฉันไม่เจ็บป่วยง่าย ไม่เป็นหวัดง่าย นอกจากว่าเป็นเด็กผิวบางสักหน่อย หน้าตา แขน ขาสองข้างของฉันเต็มไปด้วยตุ่มแผลกัด จากแมลง มด หรือยุง หากถูกกัด แผลก็จะแดงเห่อ คัน นานกว่าเด็กคนอื่น ทุกคนในบ้านพยายามทายาหม่องหลายขนานให้ฉัน ทวดเอาปูนแดงที่ไว้กินหมากมาป้ายตามตุ่มแผลแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล แผลเก่าหายแผลใหม่ก็มาอีก (ฉันสำอางค์แต่เด็กว่างั้นเถอะ) ดังนั้น ฉันจึงเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วนขาวเนียนแต่ทั่วตัวเต็มไปด้วยลายจุดชมพูจากปูนกินหมากของทวด ใครเห็นฉันก็มักจะขำลายชมพูพร้อยทั้งหน้าตัว แต่ฉันสิโกรธอยู่ในใจ เดือดปุดๆ ตามประสาเด็ก ดังนั้นพอเจอผู้ใหญ่ ที่ขำ หรือมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันก็มักพาล ทำเฉยๆ นิ่งๆ ทำอึน ทำมึน ไม่พูด ไม่ไหว้ ไม่สวัสดี การคิดของฉันแบบนี้ส่งผลทำให้ทวดอายเสียหลายหน เหมือนว่าอบรมหลานสาวไม่ดี
พ่อแม่คู่แรกกับชีวิตเด็กชนบท
หลังจากฉันดีดตัวออกจากท้องแม่มาสู่โลกกว้างเมื่ออายุได้ประมาณสองเดือน แม่ของฉัน สาวสวยเสน่ห์แรงประจำตำบลก็ทนกลิ่นโคนสาบควายของบ้านนอกคอกนาไม่ไหว จึงต้องเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า หอบความสาวเข้ากรุงไปหาแสงสีอีกครั้ง และให้สัญญากับทวดของฉันว่า จะส่งเงินค่านม ค่าเลี้ยงดูมาให้เด็กหญิงขาวอวบ หัวแดงๆ คนนี้ และจะมาเยี่ยมบ่อยๆ ฉันไม่รู้ว่าแม่โผล่หน้ามาเยี่ยมฉันกี่ครั้ง แต่ฉันจำเรื่องของแม่ไม่ได้เลยในวัยเด็ก แม่ไม่ได้อยู่สอนฉันคลาน หรือพูด แม่ไม่เคยตื่นเต้นกับการเดินได้ก้าวแรกของฉันเหมือนยายเล็ก ไม่ได้สอนฉันหัดพูดเหมือนตาเล็ก ไม่ได้อาบน้ำชงนมให้ฉันกินเหมือนทวด ไม่ได้เล่นหม้อข้าวหม้อแกงขายของกับฉันเหมือนพี่เล็ก
เมื่อฉันเริ่มหัดพูด ฉันเริ่มรู้ความ ฉันก็เรียกยายเล็กว่าแม่ เรียกตาเล็กว่าพ่อ เรียกทวดว่ายาย เพราะพี่เล็ก ลูกสาวคนโตของยายเล็กเป็นเพื่อนเล่นกับฉัน คอยดูแลฉัน ตามใจฉันทุกอย่าง ฉันมีความสุขที่พี่เอาใจ เล่นด้วยทุกวัน ฉันจึงรักพี่สาวมาก เมื่อพี่ทำอะไรฉันก็ทำตาม พี่เรียกใครอย่างไร ฉันก็เรียกตาม ฉันคิดว่าตัวเองมีความสุขดีในวัยนั้น ในบ้านไม้สองชั้นที่บ้านต่างจังหวัดล้อมรอบด้วยสวนกล้วย สวนมะม่วง ผักสวนครัว (แม้ว่ายุงชุมก็ตาม)
ยายเล็กรักฉันดูแลฉันเหมือนลูกสาวตัวเอง ป้อนกล้วย ป้อนข้าวใส่ปากฉัน อาบน้ำ ล้างก้นให้ฉันตั้งแต่แบเบาะ เมื่อเวลานอนก็ไกวเปลให้ฉันนอน (แต่ไม่มีเพลงโยกเยกเหมือนของทวด) ยายเล็กดูแลฉันมากกว่าแม่จริงของฉัน จนฉันเริ่มโตอายุเกือบสองขวบ ยายเล็กท้องลูกสาวคนที่สอง ใครๆพูด ฉันเหมือนเป็นลูกอิจฉา เพราะตั้งแต่คลอดลูกสาวคนโต ยายเล็กรอคอยอยากมีลูกคนที่สองอีกก็ไม่มีสักที ผ่านมาหลายปี พอฉันมาอยู่ด้วยสองปี ยายเล็กก็ได้ลูกคนที่สองสมใจ
เมื่อลูกสาวคนที่สองของยายเล็กเกิด ชีวิตของฉันนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉา เพราะใครๆก็เริ่มล้อเลียนฉันว่าจะเป็นหมาหัวเน่า พ่อแม่จริงก็ทิ้งฉัน พ่อแม่ปลอมก็จะเห่อลูกใหม่ ฉันเป็นเด็กช่างจดจำ ความรู้สึกนี้ฝังใจ น้องยังไม่เกิดฉันก็เกลียดเพราะปากคนพูดใส่เสียแล้ว จนลูกสาวคนเล็กของยายเล็กเกิด เราไม่เคยเล่นกันอย่างสงบสุข เราตีกัน ด่าทอ ทะเลาะกันเสมอ ฉันไม่เล่นกับใครนอกจากพี่เล็ก ส่วนน้องเล็กอยากจะมาเล่นกับฉัน ฉันก็ไม่เล่นด้วย น้องจึงแกล้งฉัน เพราะฉันขัดใจ ฉันเป็นเด็กไม่ยอมใคร เมื่อถูกพูดจายั่วยุ ก็จะทำร้ายคืนกลับให้หนักกว่า เราสองคนจึงเหมือนน้ำกับน้ำมันตั้งแต่เด็ก ฉันอิจฉาน้องที่เกิดมาแย่งความรักจากยายเล็กไป เพราะยายมีลูกคนเล็กต้องดูแลมากกว่าฉัน แต่น้องก็คอยอิจฉาฉัน เพราะตอนเด็กฉันน่าเอ็นดู ใครๆมาบ้านก็มักเอ็นดูฉันมากกว่าน้อง ฉันสวยกว่ามีแต่คนสนใจอยากเล่นด้วย
แม้ว่าเราจะทะเลาะกันทุกวัน แต่ฉันโชคดี ที่ตาเล็กและยายเล็กเป็นคนใจดี ใจเย็น ทั้งสองคนไม่เคยตีฉันเลย และให้ความอบอุ่นอย่างเต็มที่ เวลาเด็กน้อยทั้งสองทะเลาะตีกัน ก็เพียงแค่ถูกผู้ใหญ่จับแยกไปคนละทาง เราสองคนไม่เคยถูกตี ด่าทอ หรือทำโทษ มีเพียงเสียงบ่นจากยายเล็กว่า “เห้อ นี่ละน้า ก็หมากับหนู มันไม่ถูกกันจริงๆ หนูมันคอยแหย่หมา หมารำคาญก็เลยกัดเข้าให้” (ฉันเกิดปีจอ น้องเกิดปีชวด)
ส่วนตาเล็กนั้น แม้จะมีลูกสาวอีกคน แต่ก็ใส่ใจฉันไม่เคยขาด ตาไปทำนา เจอลิปสติกสีแดงตกพื้นแตกๆ แต่ข้างในยังมีแท่งลิปสติก ตาก็เอามาให้ฉันทาปากเล่นแต่งหน้าทาแป้ง วันหนึ่งฉันนั่งเล่นลิปสติกที่ตาให้ไว้หน้ากระจกที่แคร่ไม้ตรงหน้าบ้าน มีคนมาร้องเรียกหาทวดจะให้ตัดผมให้ ทวดฉันมีฝีมือตัดผม ฉันเคยนั่งมองเพลินดูทวดใช้ปัดตาเลี่ยนไถหัวคนแถวบ้านบ่อยๆ เสียงปัดตาเลี่ยนดังครืดๆๆ ทวดมีกรรไกรอันใหญ่และมีโกนอันใหญ่ ฉันชอบเสียงกรรไกรตัดผมดังฉับๆๆๆ พอทวดเดินออกมาจากในบ้านเขาก็แจ้งความจำนงจะว่าจ้างตัดผม ระหว่างทวดตัดผมให้ลูกค้า ฉันนั่งเล่นลิปสติกทาปากแดงเถือก ลูกค้าตัดผมเห็นถามอย่างเอ็นดูว่า
“อิหนู ไปเอารูธใครเขามาเล่น” (สมัยนั้นที่บ้านนอกเขาเรียกลิปสติกว่า “รูธ”)
ฉันตอบสั้นๆตามประตาเด็กพูดน้อย
“รูธตาเล็ก”
หลังจากวันนั้น คนในหมู่บ้านลือกันให้สนั่นว่าตาเล็กของฉันมีลิปสติกสงสัยว่าจะเป็นพวกกะเทย