ด้วยสองมือที่เคยไกวเปล
ถึงวันแม่ทุกๆปี ฉันเกลียดเสมอที่สายตาต้องไปเห็นเหล่าลูกกตัญญูแสดงละครรักแม่ (จริงๆก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ที่ค่อนแคะก็เพราะอิจฉาเท่านั้นล่ะ) ใครๆก็มีความสุขที่จะได้อวยพรแม่ บอกรักแม่ พูดถึงความรักที่แม่ให้มา แม่ดูแลอุ้มชูกันจนเติบใหญ่ ฉันเป็นเด็กที่มีความอิจฉาความสุขของคนที่เกิดมามีพ่อแม่ครบครันเสมอ ฉันคิดแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ ทำไมหรือคะ มาสิคะ ฉันจะเล่าชีวิตของฉันให้ฟัง
แม่แท้ๆ
ฉันเป็นลูกสาวที่ “บังเอิญเกิด” จากความรักสนุกของหญิงชายคู่หนึ่ง แม่ท้องโดยที่พ่อไม่ยอมรับรู้การมีตัวตนของฉัน แม่จึงต้องหนีอาย แอบตายายมาต่างจังหวัดเพื่อคลอดฉันที่บ้านย่าของแม่(ซึ่งก็คือทวดของฉัน) บ้านนี้มีสมาชิกสี่คน คือ ทวด ยายเล็ก(ลูกสาวคนเล็กของทวด) ตาเล็ก (สามีของยายเล็ก) พี่เล็กพี่สาวใจดีของฉัน (ลูกสาวคนโตของตาเล็กและยายเล็ก) แม่ของฉันคิดว่าควรทำแท้ง เพราะความอายและไม่สามารถจะเลี้ยงดูฉันได้ ทวดจึงขอให้คลอดและทิ้งฉันไว้ที่บ้านนอก ทวดจะเลี้ยงเอง หลานแท้ๆทั้งคนจะทิ้งได้อย่างไร ฉันไม่รู้ว่าเรื่องเล่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเสริมแต่งสนุกปากคนเล่า แต่ฉันจำเพราะฉันชอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน คุณๆก็รู้ใช่ไหม ว่าเวลาที่เราเติบโตมาในหมู่มวลญาติมิตรในสังคมเล็กๆต่างจังหวัดนั้น ความใกล้ชิดของสังคมเล็กแคบบวกกับการศึกษาน้อย บวกกับความหวังดีที่บางทีก็เป็นการใช้อ้างเพื่อที่จะพูดจาทับถมกันโดยสะดวกใจ ทำให้มีคำพูดเหน็บใจให้แก่กันเสมอ โดยฉากหน้าคือรอยยิ้มใส่กัน และฉากหลังคือความริษยา
ฉันเกิดมาเป็นเด็กอวบอ้วน ตุ้ยนุ้ย น้ำหนักแรกเกิดคือสี่กี่โลกรัมกับอีกสองขีด มีผิวขาวเนียนผิดกับลูกชาวบ้านแถวนั้น เพราะยายฉันเป็นจีน ส่วนพ่อของฉัน(ที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า แต่ญาติๆเคยเห็น เพราะว่าแม่เคยมาพบทวดครั้งหนึ่ง) เขาก็เป็นลูกจีน ฉันจึงขาวมากในสายตาของคนต่างจังหวัด ประกอบกับฉันมีตากลมโตสองชั้น และจมูกโด่งสวยที่ฉันได้มาจากพ่อ (ญาติๆบอกอีกนั่นล่ะ) ฉันจึงออกจะน่าเอ็นดูสักหน่อยในสายตาชาวบ้าน เสียแต่ฉันเป็นเด็กไม่ค่อยชอบพูด มักจะนิ่งเสียมาก ใครๆมาหยอกล้อพูดด้วยก็มักไม่ตอบ มองตาใส นิ่งเฉยกระพริบตาใส่ ทำเหมือนเป็นเด็กใบ้ แม้ว่าฉันออกจะนิ่งๆ แต่ใครๆก็บอกว่าโชคดีที่ฉันเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่อ้อนงอแงเอาแต่ใจ เมื่อถึงเวลาหิวก็ร้องบอก พอกินนมเสร็จก็หลับเอง เปลของฉันอันใหญ่ ทวดจะไกลเปลเห่กล่อมด้วยเพลงเดียวที่ฉันจำเนื่อเพลงได้มาจนบัดนี้ “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ ไอ้เขียวหางงอ กอดคอโยกเยก” (หมาตัวโปรดของทวดชื่อไอ้เขียว)
พอตื่นมาฉันก็หาข้าวของใกล้มือเล่นคนเดียวไปตามประสา ไม่ซนไม่ทะโมนปีนป่าย ฉันชอบเล่นขายของ เล่นขายขนมครก นั่งคลุกกับดินหน้าบ้าน เล่นกับหมาของทวด ฉันชอบเด็ดดอกไม้ใส่กะลามะพร้าวแล้วเอาดินคลุกแล้วหยดน้ำใส่จนดินเปียกเปนโคลน เอาช้อนตักดินออกจากพื้นทำให้เป็นรูกลม ปากกว้างตูดลึก เหมือนเบ้าขนมครก แล้วตักโคลนที่ผสมใบไม้ดอกไม้หยอดลงหลุม พอดินแห้งก็ตักขนมโคลนออกมาวางบนใบตอง โรยดอกเข็มใส่ สมมุติว่าเป็นขนมครก
ฉันไม่เจ็บป่วยง่าย ไม่เป็นหวัดง่าย นอกจากว่าเป็นเด็กผิวบางสักหน่อย หน้าตา แขน ขาสองข้างของฉันเต็มไปด้วยตุ่มแผลกัด จากแมลง มด หรือยุง หากถูกกัด แผลก็จะแดงเห่อ คัน นานกว่าเด็กคนอื่น ทุกคนในบ้านพยายามทายาหม่องหลายขนานให้ฉัน ทวดเอาปูนแดงที่ไว้กินหมากมาป้ายตามตุ่มแผลแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล แผลเก่าหายแผลใหม่ก็มาอีก (ฉันสำอางค์แต่เด็กว่างั้นเถอะ) ดังนั้น ฉันจึงเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วนขาวเนียนแต่ทั่วตัวเต็มไปด้วยลายจุดชมพูจากปูนกินหมากของทวด ใครเห็นฉันก็มักจะขำลายชมพูพร้อยทั้งหน้าตัว แต่ฉันสิโกรธอยู่ในใจ เดือดปุดๆ ตามประสาเด็ก ดังนั้นพอเจอผู้ใหญ่ ที่ขำ หรือมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันก็มักพาล ทำเฉยๆ นิ่งๆ ทำอึน ทำมึน ไม่พูด ไม่ไหว้ ไม่สวัสดี การคิดของฉันแบบนี้ส่งผลทำให้ทวดอายเสียหลายหน เหมือนว่าอบรมหลานสาวไม่ดี
พ่อแม่ปลอมๆคู่แรกกับกชีวิตเด็กชนบท
หลังจากฉันดีดตัวออกจากท้องแม่มาสู่โลกกว้างเมื่ออายุได้ประมาณสองเดือน แม่ของฉัน สาวสวยเสน่ห์แรงประจำตำบลก็ทนกลิ่นโคนสาบควายของบ้านนอกคอกนาไม่ไหว จึงต้องเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า หอบความสาวเข้ากรุงไปหาแสงสีอีกครั้ง และให้สัญญากับทวดของฉันว่า จะส่งเงินค่านม ค่าเลี้ยงดูมาให้เด็กหญิงขาวอวบ หัวแดงๆ คนนี้ และจะมาเยี่ยมบ่อยๆ
ฉันไม่รู้ว่าแม่โผล่หน้ามาเยี่ยมฉันกี่ครั้ง แต่ฉันจำเรื่องของแม่ไม่ได้เลยในวัยเด็ก ไม่ผูกพัน ไม่สนิทใจ แม่ไม่ได้อยู่สอนฉันคลาน หรือพูด แม่ไม่เคยตื่นเต้นกับการเดินได้ก้าวแรกของฉันเหมือนยายเล็ก ไม่ได้สอนฉันหัดพูดเหมือนพี่เล็ก ไม่ได้อาบน้ำชงนมให้ฉันกินเหมือนทวด ไม่ได้เล่นหม้อข้าวหม้อแกงขายของกับฉันเหมือนตาเล็ก
เมื่อฉันเริ่มหัดพูด ฉันเริ่มรู้ความ ฉันก็เรียกยายเล็กว่าแม่ เรียกตาเล็กว่าพ่อ เรียกทวดว่ายาย เพราะพี่เล็ก ลูกสาวคนโตของยายเล็กเป็นเพื่อนเล่นกับฉัน คอยดูแลฉัน ตามใจฉันทุกอย่าง ฉันมีความสุขที่พี่เอาใจ เล่นด้วยทุกวัน ฉันจึงรักพี่สาวมาก เมื่อพี่ทำอะไรฉันก็ทำตาม พี่เรียกใครอย่างไร ฉันก็เรียกตาม ฉันคิดว่าตัวเองมีความสุขดีในวัยนั้น ในบ้านไม้สองชั้นที่บ้านต่างจังหวัดล้อมรอบด้วยสวนกล้วย สวนมะม่วง ผักสวนครัว (แม้ว่ายุงชุมก็ตาม) ยายเล็กรักฉันดูแลฉันเหมือนลูกสาวตัวเอง ป้อนกล้วย ป้อนข้าวใส่ปากฉัน อาบน้ำ ล้างก้นให้ฉันตั้งแต่แบเบาะ เมื่อเวลานอนก็ไกวเปลให้ฉันนอน (แต่ไม่มีเพลงโยกเยกเหมือนของทวด)
ยายเล็กดูแลฉันมากกว่าแม่จริงของฉัน จนฉันเริ่มโตอายุเกือบสองขวบ ยายเล็กท้องลูกสาวคนที่สอง ใครๆพูดว่าฉันเป็นลูกอิจฉา เพราะตั้งแต่คลอดลูกสาวคนโต ยายเล็กรอคอยอยากมีลูกคนที่สองอีกก็ไม่มีสักที ผ่านมาหลายปี พอฉันมาอยู่ด้วยสองปี ยายเล็กก็ได้ลูกคนที่สองสมใจ เมื่อลูกสาวคนที่สองของยายเล็กเกิด ชีวิตของฉันนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉา เพราะใครๆก็เริ่มล้อเลียนฉันว่าจะเป็นหมาหัวเน่า พ่อแม่จริงก็ทิ้งฉัน พ่อแม่ปลอมก็จะเห่อลูกใหม่ ฉันเป็นเด็กช่างจดจำ ความรู้สึกนี้ฝังใจจนลูกสาวคนเล็กของยายเล็กเกิดมา
น้องเล็กที่ห่างกับฉันสองปี เราไม่เคยเล่นกันอย่างสงบสุข เราตีกัน ด่าทอ ทะเลาะกันเสมอ ฉันไม่เล่นกับใครนอกจากพี่เล็ก ส่วนน้องเล็กอยากจะมาเล่นกับฉัน ฉันก็ไม่เล่นด้วย น้องจึงแกล้งฉัน เพราะฉันขัดใจ ฉันเป็นเด็กไม่ยอมใคร เมื่อถูกพูดจายั่วยุ ก็จะทำร้ายคืนกลับให้หนักกว่า เราสองคนจึงเหมือนน้ำกับน้ำมันตั้งแต่เด็ก ฉันอิจฉาน้องที่เกิดมาแย่งความรักจากยายเล็กไป แต่น้องก็อิจฉาฉัน เพราะตอนเด็กฉันน่าเอ็นดู ฉันสวยกว่ามีแต่คนสนใจอยากเล่นด้วย
แม้ว่าเราจะทะเลาะกันทุกวัน แต่ฉันโชคดี ที่ตาเล็กและยายเล็กเป็นคนใจดี ใจเย็น ทั้งสองคนไม่เคยตีฉันเลย และให้ความอบอุ่นอย่างเต็มที่ เวลาเด็กน้อยทั้งสองทะเลาะตีกัน ก็ถูกผู้ใหญ่จับแยกไปคนละทาง เพียงแค่นั้น เราสองคนไม่เคยถูกตี ด่าทอ หรือทำโทษอะไร มีเพียงเสียงบ่นจากยายเล็กว่า “เห้อ นี่ละน้า ก็หมากับหนู มันไม่ถูกกันจริงๆ” (ฉันเกิดปีจอ น้องเกิดปีชวด)
ลองเขียนเรื่องแรก มีข้อติ แนะนำก็กราบขอบคุณนะคะ
ถึงวันแม่ทุกๆปี ฉันเกลียดเสมอที่สายตาต้องไปเห็นเหล่าลูกกตัญญูแสดงละครรักแม่ (จริงๆก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ที่ค่อนแคะก็เพราะอิจฉาเท่านั้นล่ะ) ใครๆก็มีความสุขที่จะได้อวยพรแม่ บอกรักแม่ พูดถึงความรักที่แม่ให้มา แม่ดูแลอุ้มชูกันจนเติบใหญ่ ฉันเป็นเด็กที่มีความอิจฉาความสุขของคนที่เกิดมามีพ่อแม่ครบครันเสมอ ฉันคิดแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ ทำไมหรือคะ มาสิคะ ฉันจะเล่าชีวิตของฉันให้ฟัง
แม่แท้ๆ
ฉันเป็นลูกสาวที่ “บังเอิญเกิด” จากความรักสนุกของหญิงชายคู่หนึ่ง แม่ท้องโดยที่พ่อไม่ยอมรับรู้การมีตัวตนของฉัน แม่จึงต้องหนีอาย แอบตายายมาต่างจังหวัดเพื่อคลอดฉันที่บ้านย่าของแม่(ซึ่งก็คือทวดของฉัน) บ้านนี้มีสมาชิกสี่คน คือ ทวด ยายเล็ก(ลูกสาวคนเล็กของทวด) ตาเล็ก (สามีของยายเล็ก) พี่เล็กพี่สาวใจดีของฉัน (ลูกสาวคนโตของตาเล็กและยายเล็ก) แม่ของฉันคิดว่าควรทำแท้ง เพราะความอายและไม่สามารถจะเลี้ยงดูฉันได้ ทวดจึงขอให้คลอดและทิ้งฉันไว้ที่บ้านนอก ทวดจะเลี้ยงเอง หลานแท้ๆทั้งคนจะทิ้งได้อย่างไร ฉันไม่รู้ว่าเรื่องเล่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเสริมแต่งสนุกปากคนเล่า แต่ฉันจำเพราะฉันชอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน คุณๆก็รู้ใช่ไหม ว่าเวลาที่เราเติบโตมาในหมู่มวลญาติมิตรในสังคมเล็กๆต่างจังหวัดนั้น ความใกล้ชิดของสังคมเล็กแคบบวกกับการศึกษาน้อย บวกกับความหวังดีที่บางทีก็เป็นการใช้อ้างเพื่อที่จะพูดจาทับถมกันโดยสะดวกใจ ทำให้มีคำพูดเหน็บใจให้แก่กันเสมอ โดยฉากหน้าคือรอยยิ้มใส่กัน และฉากหลังคือความริษยา
ฉันเกิดมาเป็นเด็กอวบอ้วน ตุ้ยนุ้ย น้ำหนักแรกเกิดคือสี่กี่โลกรัมกับอีกสองขีด มีผิวขาวเนียนผิดกับลูกชาวบ้านแถวนั้น เพราะยายฉันเป็นจีน ส่วนพ่อของฉัน(ที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า แต่ญาติๆเคยเห็น เพราะว่าแม่เคยมาพบทวดครั้งหนึ่ง) เขาก็เป็นลูกจีน ฉันจึงขาวมากในสายตาของคนต่างจังหวัด ประกอบกับฉันมีตากลมโตสองชั้น และจมูกโด่งสวยที่ฉันได้มาจากพ่อ (ญาติๆบอกอีกนั่นล่ะ) ฉันจึงออกจะน่าเอ็นดูสักหน่อยในสายตาชาวบ้าน เสียแต่ฉันเป็นเด็กไม่ค่อยชอบพูด มักจะนิ่งเสียมาก ใครๆมาหยอกล้อพูดด้วยก็มักไม่ตอบ มองตาใส นิ่งเฉยกระพริบตาใส่ ทำเหมือนเป็นเด็กใบ้ แม้ว่าฉันออกจะนิ่งๆ แต่ใครๆก็บอกว่าโชคดีที่ฉันเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่อ้อนงอแงเอาแต่ใจ เมื่อถึงเวลาหิวก็ร้องบอก พอกินนมเสร็จก็หลับเอง เปลของฉันอันใหญ่ ทวดจะไกลเปลเห่กล่อมด้วยเพลงเดียวที่ฉันจำเนื่อเพลงได้มาจนบัดนี้ “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ ไอ้เขียวหางงอ กอดคอโยกเยก” (หมาตัวโปรดของทวดชื่อไอ้เขียว)
พอตื่นมาฉันก็หาข้าวของใกล้มือเล่นคนเดียวไปตามประสา ไม่ซนไม่ทะโมนปีนป่าย ฉันชอบเล่นขายของ เล่นขายขนมครก นั่งคลุกกับดินหน้าบ้าน เล่นกับหมาของทวด ฉันชอบเด็ดดอกไม้ใส่กะลามะพร้าวแล้วเอาดินคลุกแล้วหยดน้ำใส่จนดินเปียกเปนโคลน เอาช้อนตักดินออกจากพื้นทำให้เป็นรูกลม ปากกว้างตูดลึก เหมือนเบ้าขนมครก แล้วตักโคลนที่ผสมใบไม้ดอกไม้หยอดลงหลุม พอดินแห้งก็ตักขนมโคลนออกมาวางบนใบตอง โรยดอกเข็มใส่ สมมุติว่าเป็นขนมครก
ฉันไม่เจ็บป่วยง่าย ไม่เป็นหวัดง่าย นอกจากว่าเป็นเด็กผิวบางสักหน่อย หน้าตา แขน ขาสองข้างของฉันเต็มไปด้วยตุ่มแผลกัด จากแมลง มด หรือยุง หากถูกกัด แผลก็จะแดงเห่อ คัน นานกว่าเด็กคนอื่น ทุกคนในบ้านพยายามทายาหม่องหลายขนานให้ฉัน ทวดเอาปูนแดงที่ไว้กินหมากมาป้ายตามตุ่มแผลแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล แผลเก่าหายแผลใหม่ก็มาอีก (ฉันสำอางค์แต่เด็กว่างั้นเถอะ) ดังนั้น ฉันจึงเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วนขาวเนียนแต่ทั่วตัวเต็มไปด้วยลายจุดชมพูจากปูนกินหมากของทวด ใครเห็นฉันก็มักจะขำลายชมพูพร้อยทั้งหน้าตัว แต่ฉันสิโกรธอยู่ในใจ เดือดปุดๆ ตามประสาเด็ก ดังนั้นพอเจอผู้ใหญ่ ที่ขำ หรือมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันก็มักพาล ทำเฉยๆ นิ่งๆ ทำอึน ทำมึน ไม่พูด ไม่ไหว้ ไม่สวัสดี การคิดของฉันแบบนี้ส่งผลทำให้ทวดอายเสียหลายหน เหมือนว่าอบรมหลานสาวไม่ดี
พ่อแม่ปลอมๆคู่แรกกับกชีวิตเด็กชนบท
หลังจากฉันดีดตัวออกจากท้องแม่มาสู่โลกกว้างเมื่ออายุได้ประมาณสองเดือน แม่ของฉัน สาวสวยเสน่ห์แรงประจำตำบลก็ทนกลิ่นโคนสาบควายของบ้านนอกคอกนาไม่ไหว จึงต้องเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า หอบความสาวเข้ากรุงไปหาแสงสีอีกครั้ง และให้สัญญากับทวดของฉันว่า จะส่งเงินค่านม ค่าเลี้ยงดูมาให้เด็กหญิงขาวอวบ หัวแดงๆ คนนี้ และจะมาเยี่ยมบ่อยๆ
ฉันไม่รู้ว่าแม่โผล่หน้ามาเยี่ยมฉันกี่ครั้ง แต่ฉันจำเรื่องของแม่ไม่ได้เลยในวัยเด็ก ไม่ผูกพัน ไม่สนิทใจ แม่ไม่ได้อยู่สอนฉันคลาน หรือพูด แม่ไม่เคยตื่นเต้นกับการเดินได้ก้าวแรกของฉันเหมือนยายเล็ก ไม่ได้สอนฉันหัดพูดเหมือนพี่เล็ก ไม่ได้อาบน้ำชงนมให้ฉันกินเหมือนทวด ไม่ได้เล่นหม้อข้าวหม้อแกงขายของกับฉันเหมือนตาเล็ก
เมื่อฉันเริ่มหัดพูด ฉันเริ่มรู้ความ ฉันก็เรียกยายเล็กว่าแม่ เรียกตาเล็กว่าพ่อ เรียกทวดว่ายาย เพราะพี่เล็ก ลูกสาวคนโตของยายเล็กเป็นเพื่อนเล่นกับฉัน คอยดูแลฉัน ตามใจฉันทุกอย่าง ฉันมีความสุขที่พี่เอาใจ เล่นด้วยทุกวัน ฉันจึงรักพี่สาวมาก เมื่อพี่ทำอะไรฉันก็ทำตาม พี่เรียกใครอย่างไร ฉันก็เรียกตาม ฉันคิดว่าตัวเองมีความสุขดีในวัยนั้น ในบ้านไม้สองชั้นที่บ้านต่างจังหวัดล้อมรอบด้วยสวนกล้วย สวนมะม่วง ผักสวนครัว (แม้ว่ายุงชุมก็ตาม) ยายเล็กรักฉันดูแลฉันเหมือนลูกสาวตัวเอง ป้อนกล้วย ป้อนข้าวใส่ปากฉัน อาบน้ำ ล้างก้นให้ฉันตั้งแต่แบเบาะ เมื่อเวลานอนก็ไกวเปลให้ฉันนอน (แต่ไม่มีเพลงโยกเยกเหมือนของทวด)
ยายเล็กดูแลฉันมากกว่าแม่จริงของฉัน จนฉันเริ่มโตอายุเกือบสองขวบ ยายเล็กท้องลูกสาวคนที่สอง ใครๆพูดว่าฉันเป็นลูกอิจฉา เพราะตั้งแต่คลอดลูกสาวคนโต ยายเล็กรอคอยอยากมีลูกคนที่สองอีกก็ไม่มีสักที ผ่านมาหลายปี พอฉันมาอยู่ด้วยสองปี ยายเล็กก็ได้ลูกคนที่สองสมใจ เมื่อลูกสาวคนที่สองของยายเล็กเกิด ชีวิตของฉันนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉา เพราะใครๆก็เริ่มล้อเลียนฉันว่าจะเป็นหมาหัวเน่า พ่อแม่จริงก็ทิ้งฉัน พ่อแม่ปลอมก็จะเห่อลูกใหม่ ฉันเป็นเด็กช่างจดจำ ความรู้สึกนี้ฝังใจจนลูกสาวคนเล็กของยายเล็กเกิดมา
น้องเล็กที่ห่างกับฉันสองปี เราไม่เคยเล่นกันอย่างสงบสุข เราตีกัน ด่าทอ ทะเลาะกันเสมอ ฉันไม่เล่นกับใครนอกจากพี่เล็ก ส่วนน้องเล็กอยากจะมาเล่นกับฉัน ฉันก็ไม่เล่นด้วย น้องจึงแกล้งฉัน เพราะฉันขัดใจ ฉันเป็นเด็กไม่ยอมใคร เมื่อถูกพูดจายั่วยุ ก็จะทำร้ายคืนกลับให้หนักกว่า เราสองคนจึงเหมือนน้ำกับน้ำมันตั้งแต่เด็ก ฉันอิจฉาน้องที่เกิดมาแย่งความรักจากยายเล็กไป แต่น้องก็อิจฉาฉัน เพราะตอนเด็กฉันน่าเอ็นดู ฉันสวยกว่ามีแต่คนสนใจอยากเล่นด้วย
แม้ว่าเราจะทะเลาะกันทุกวัน แต่ฉันโชคดี ที่ตาเล็กและยายเล็กเป็นคนใจดี ใจเย็น ทั้งสองคนไม่เคยตีฉันเลย และให้ความอบอุ่นอย่างเต็มที่ เวลาเด็กน้อยทั้งสองทะเลาะตีกัน ก็ถูกผู้ใหญ่จับแยกไปคนละทาง เพียงแค่นั้น เราสองคนไม่เคยถูกตี ด่าทอ หรือทำโทษอะไร มีเพียงเสียงบ่นจากยายเล็กว่า “เห้อ นี่ละน้า ก็หมากับหนู มันไม่ถูกกันจริงๆ” (ฉันเกิดปีจอ น้องเกิดปีชวด)