Day 6
https://ppantip.com/topic/36724691
Day 7 Julay
เราตื่นกันเกือบๆ 6 โมงเช้า หลังจากเก็บสัมภาระทุกอย่างเข้ากระเป๋า เราเดินขึ้นไปห้องครัวเพื่อจะกินอาหารเช้ามื้อสุดท้ายในเลห์และบอกลาเจ้าของบ้าน
อาหารเช้าวันนี้เป็นขนมปังก้อนกลมๆ คล้ายๆโฮลวีทกินกับเนยหรือแยมที่ทางเกสต์เฮ้าส์เตรียมไว้ให้ ที่ขาดไม่ได้คือชานม ที่เราต้องขอเติมแล้วเติมอีกเหมือนเช่นทุกครั้ง
เราบอกลาซาลิมและครอบครัวพร้อมกับการถ่ายรูปเซลฟี่เพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับเรา แต่ไม่แน่ใจว่าจะระทึกสำหรับเจ้าของบ้านรึเปล่า ฮ่า หลังจากกล่าวคำลาอย่างเป็นทางการ เราทั้ง 4 คนก็ขึ้นรถพร้อมโนบุคนขับรถประจำทริปเราเหมือนตลอด 5 วันที่ผ่านมา โนบุยังคงรู้ใจเราเสมอเพราะต้อนรับเราด้วย Ney mo lay เป็นเพลงแรกของวัน และเพลงต่อมาคือ Zaalima อีกหนึ่งเพลงที่เราเพิ่งจะหลงรักเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ก่อนที่เพลงสุดท้ายจะจบ รถของเราก็ถึงสนามบิน
เราถ่ายรูปกับโนบุเป็นที่ระลึกตามธรรมเนียมชาวไทยใฝ่ถ่ายรูปอย่างเรา หลังจากจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกันเมื่อคืน เราตกลงที่จะให้ทิปโนบุเพื่อเป็นคำขอบคุณสำหรับบริการที่ดีตลอดทริป โนบุรับเงินก่อนจะยิ้มแก้มปริ แล้วเดินขึ้นรถขับออกไป เพราะหลังจากส่งเราแล้วเค้าจะต้องขับรถพานักท่องเที่ยวอีกกลุ่มไป Lamayuru วันนี้
8.16 เรานั่งรอที่เกตเพื่อจะขึ้นเครื่อง พี่เอ้ดูจะเป็นคนเดียวที่มีปัญหากับกระเป๋าเพราะโดนเจ้าหน้าที่เรียกให้เปิดกระเป๋า 2-3 ครั้ง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ใช้เวลาไม่นาน เราถึงเดลีอย่างปลอดภัยแต่แอบมีความหวาดเสียวนิดหน่อยขณะที่เครื่องแลนดิ้ง ถึงขนาดพี่คนไทยที่นั่งหลับมาตลอดทางสะดุ้งตื่น ด้วยความตกใจหน่อยๆ พร้อมกับหันหน้ามามองที่ผม อืมมม ลงแรงดีนะครับ ผมทักทายพี่แกไปแถมยิ้มอ่อนให้หนึ่งที ก่อนเครื่องจะจอดสนิทและผู้โดยสารทยอยออกจากห้องโดยสาร
เรานั่งแท็กซี่ออกจากสนามบินเพื่อจะไปที่พักแถวๆ main bazaar แต่แท็กซี่รอบนี้เล่นเอาเราอารมณ์เสียไปตามๆกันเมื่อ คนจัดรถให้เราไปคันเล็ก ซึ่งเราต้องนั่งเบียดกัน บวกกับคนขับดูจะสื่อสารกับเราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ พี่แกเล่นคากเสลดตลอดทาง เรานี่อยากจะบอกว่า พี่เอายาอมมั้ยครับ
แท็กชี่มาทิ้งเราไว้ตรงทางเข้า main bazaar บอกว่ารถเข้าไม่ได้ (สาดดด ก็เห็นรถคันอื่นวิ่งเข้าไป ทำไมจะเข้าไม่ได้ แมร่งกลัวรถติดอะดิ ผมคิดในใจดังๆ) เนื่องจากเราสุดทนกับพฤติกรรมคนขับตลอดทางที่นั่งมา เลยไม่อยากจะต้องมาทะเลาะต่อ เราเลือกที่จะจ่ายค่าแท็กซี่ พร้อมกับเปิดกูเกิ้ลแมปไปยังโรงแรมที่จะพักคืนนี้ แต่ยังโชคดีที่ ผู้ชายที่ยืนหน้าร้านขายอาหารถามเราว่าจะไปไหน พร้อมแนะนำให้เรานั่งตุ๊กๆเข้าไปแค่ 20 รูปี เราขอบคุณก่อนจะขึ้นรถ เพราะเหตุการณ์ความช่วยเหลือแบบไม่มีอะไรแอบแฝงหายากมากในเดลี บรรยากาศแถวนี้ให้อารมณ์คล้ายๆกับถนนข้าวสารในบ้านเรา แต่แค่แออัดกว่า คนเยอะกว่า ถนนยาวกว่า และรถติดกว่า นี่สินะเป็นเหตุผลที่แท็กซี่ไม่อยากจะเข้ามา
รถจอดหน้าปากซอยพร้อมชี้นิ้วบอกให้เราเดินเข้าไปข้างใน ผมอาสาเดินนำหน้าเข้าไปเพื่อลองสำรวจ แล้วเราก็พบ Smily hotel โรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ เนื่องจากห้องที่จองไว้ทำความสะอาดเสร็จแค่ห้องเดียว เราเลยต้องไปรวมกันที่ห้องพี่เอ้ พี่กวาง ทางโรงแรมบอกว่าอีกราวๆ 1 ชมกว่าอีกห้องจะเสร็จ
เราออกไปหาข้าวเที่ยงกินที่ Sindia house ซึ่งเป็นเวิ้งที่มีร้านอาหารแบรนด์เนมตั้งเรียงกัน คล้ายๆแถวๆสยามสแควร์ในบ้านเรา จิวัดเลือก KFC เพราะอยากกินมาก เมื่อเราไปถึงโต๊ะที่นั่งเต็มทุกโต๊ะ ดูท่าจะขายดี เราเลยต้องอาศัยไหวพริบในการหาโต๊ะว่าง เพราะดูเหมือนการหาโต๊ะที่นี่จะเป็นแบบใครไวใครได้ แอบอารมณ์เสียกับ KFC ที่นี่นิดนึงเพราะซอสจะมีแค่แบบซองไม่มีให้กดแบบในบ้านเรา (มีแค่ซอสมะเขือเทศด้วย)
เสร็จแล้วเราเดินไปนั่งกินกาแฟที่ Starbucks ที่ห่างออกไปไม่ไกลมาก ราคาที่ติดอยู่บนป้ายยังไม่รวมภาษี นั่นคือความจิงที่เรารู้หลังจากเห็นใบเสร็จ หลังจากจิ้มเครื่องคิดเลขภาษีที่เราจ่ายน่าจะราวๆ 11% on top จากราคาของเครื่องดื่มที่เห็นบนป้าย (โหดใช่เล่น) ที่นี่เราเจอเพื่อนใหม่ชื่อ Nissar ดูครั้งแรกนึกว่าเค้าเป็นคนอินเดีย หลังจากพี่เอ้ พี่กวางไปตีสนิทจึงรู้ทีหลังว่าเป็นคนเยอรมัน แค่มาเที่ยวในอินเดีย เค้าบอกเราว่าพูดได้ 6 ภาษาและเป็น stylist คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแต่งตัว เดินทางมาอินเดีย 6 ครั้งแล้ว เค้าเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับแคว้นแคชเมียร์และโฆษณาว่าสวยกว่าในเลห์ เพราะนอกจากภูเขา เราจะได้พบกับ ต้นไม้ ดอกไม้ แม่น้ำและ very kind people พร้อมกับโชว์รูปในมือถือให้เพื่อประกอบการตัดสินใจของเราในทริปหน้า ฮ่า
ตบท้ายด้วยการชวนเราไป Birthday party คืนนี้พร้อมถามเราว่าเรากลับพรุ่งนี้กี่โมง หลังจากทุกคนนั่งนิ่งไปแปปนึงพร้อมกับกำลังหาทางออกจากเรื่องนี้ พี่กวางเป็นตัวแทนเราบอกไปว่า เราบินกันตอน 8 โมง ซึ่งหมายถึงเราต้องไปถึงสนามบินก่อน 2 ชม สุดท้ายแล้วเราต้องตื่นราวๆ ตี 5 และคิดว่า Nissar น่าจะยอมปล่อยเราผ่านไป แต่เค้าดูยังจะชวนเราไปให้ได้ สุดท้ายเราก็ขัดขืนเล็กๆด้วยการไม่เซย์เยส เค้าจึงยอมแพ้ หลังจากคุยกันไปได้อีกสักพัก Nissar ขอตัวไปหาเพื่อนพร้อม Say goodbye เราทั้ง 4 คน
เราเดินออกไปยังย่านขายของที่ห่างราวๆหนึ่งบล็อกถนนจาก Starbucks เพราะสาวๆมีภารกิจต้องไปซื้อครีมของ Himalaya ถนนทั้งเส้นดูจะเต็มไปด้วยของที่มีไว้ขายสำหรับนักท่องเที่ยว ตอนที่เราเดินอยู่มีคนอินเดียพยายามจะมาชวนเราคุยพร้อมกับเสนอว่าให้เราไปซื้อของที่ตลาดอีกที่นึงเพราะที่นั่นถูกกว่า แม้เราจะบอกว่าไม่เอาแต่ยังก็พยายามโฆษณาจนเราเริ่มคิดว่า นี่พี่ได้ค่าคอมมิชชั่นรึเปล่าเนี่ย หลังจากพี่เอ้ พี่กวางตามหาร้านซื้อครีมได้ เรายังต้องไปต่อยัง block G เนื่องจากยังขาดพวกยาที่หาแถวนั้นไม่ได้
เราเดินไปตามที่เจ้าของร้านขายครีมแนะนำ ร้านแถวนี้ดูมีความทันสมัยมาก มีแต่พวกสินค้าแบรนด์เนม อีกอย่างผังเมืองที่นี่ดูมีความเป็นระบบ คงจะเป็นแบบที่ทางอังกฤษมาวางระบบไว้ให้สมัยยุคอาณานิคม ขณะเดินงงๆกันมาสักพักเราแวะถามคนระหว่างทางมาเรื่อยๆ แล้วเราก็เจอคนอินเดียที่ดูใจดีโดยแนะนำให้เราไปยังห้างที่ชื่อ CCI เพราะบอกว่าที่นั่นไม่คิดภาษีและมีสินค้าเยอะมากเนื่องจากมีทั้งสิ้น 3 ชั้น อีกอย่างยังติดต่อตุ๊กๆให้เราพร้อมเสนอราคาไป-กลับที่ 20 รูปีขาดตัว ข้อเสนอดีๆแบบนี้ ใครจะไม่เอาหล่ะ (ค่ารถแค่ 10 บาทเอง โดนหลอกก็คงไม่เป็นไรหรอก ฮ่า)
ลุงคนขับรถพาเรามาที่ห้างที่ดูจากข้างนอกสูงราวๆ 3-4 ชั้น แล้วเราก็เดินเข้าไปถามพนักงานว่าขายยาชั้นไหน แต่พนักงานบอกว่าเราขายแค่พวก Handicraft นะ (สาดด โดนแระ แอบคิดในใจดังๆ เพราะพูดไปดูจะไม่มีใครเข้าใจ) เราเดินออกมาพร้อมความพ่ายแพ้พร้อมบอกลุงคนขับว่ามันไม่ขายยา แต่ลุงบอกเราว่าเดี๋ยวพาไป นี่อยู่ข้างหน้าตรงนี้เอง แล้วลุงก็ยืนดูเราซื้อของพร้อมกับความล้มละลายไปทีละคนสองคน เนื่องจากเราซื้อกันได้แหลกลาญมาก ถึงขนาดที่พนักงานถามด้วยความประหลาดใจว่านี่คุณมาจากไหนกัน
ขากลับเราตกลงกับลุงว่าให้ไปส่งที่พักเลยได้มั้ย ลุงยื่นใบเสนอราคาที่ 100 รูปี และจะไปส่งแค่ด้านหน้า ซึ่งเราต้องเดินเข้าไปเอง แต่เพราะเราอยู่นี่มาสักพัก จึงรู้ว่าการต่อรองเป็นสิ่งที่ต้องทำ พี่เอ้เลยบอกว่าตอนมาแท็กซี่ยังมาส่งหน้าโรงแรมเลย(ซึ่งความจิงคือ แท็กซี่คันนั้นมันทิ้งพวกกรุหน้าทางเข้า) สุดท้ายลุงยอมไปส่งเราหน้าโรงแรม
เรามาถึงห้องพร้อมกับการสั่งอาหารเข้ามากินเนื่องจากไม่อยากจะเดินไปข้างนอกอีกแล้ว ตอนแรกจะสั่งโดมิโน่พิซซ่า แต่พอจะระบุจุดส่งในเว็บไซต์กลับไม่มีชื่อที่ๆเราอยู่ ถามพนักงานโรงแรมว่าเราควรเลือกอันไหน ดันบอกไม่รู้ซะงั้น จบเลย แต่ยังดีที่เอาโบรชัวร์ของอีกร้านนึงมาให้ แล้วเราก็ลงไปใช้ใทรศัพท์ตรงรีเซฟชั่นโทรสั่งอาหารเย็น
- อากาศที่เดลียังคงดูทึมๆ ฝุ่นเยอะๆ ตลอดทั้งวันเหมือนเช่นเคย เราไม่เคยได้เห็นสีฟ้าของท้องฟ้าเลย เงยหน้าเมื่อไหร่ยังคงเจอแค่หมอกจางๆและควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้
- การต่อรองเป็นเรื่องที่ต้องทำ เป็นบทเรียนที่เราได้จากที่นี่
- ตรงปากซอยทางเข้า รร. มีที่ยืนฉี่ของผู้ชายประมาณ 2 ล๊อค ตอนแรกที่เดินเข้ามาแอบสงสัยว่ากลิ่นอะไร แต่พอขากลับจากซื้อของเห็นผู้ชายยืนหันหลังเข้ากำแพง ผมนี่รู้เลย ฮ่า
- ทัชมาฮาลปิดทุกวันศุกร์ เพราะตอนแรกมีแผนว่าจะไปตอนมาถึงเดลี
Day 8/8
https://ppantip.com/topic/36744679
[Day 7] บันทึกการเดินทางเลห์-ลาดัก 29 เม.ษ. - 6 พ.ค. 2560
Day 7 Julay
เราตื่นกันเกือบๆ 6 โมงเช้า หลังจากเก็บสัมภาระทุกอย่างเข้ากระเป๋า เราเดินขึ้นไปห้องครัวเพื่อจะกินอาหารเช้ามื้อสุดท้ายในเลห์และบอกลาเจ้าของบ้าน
อาหารเช้าวันนี้เป็นขนมปังก้อนกลมๆ คล้ายๆโฮลวีทกินกับเนยหรือแยมที่ทางเกสต์เฮ้าส์เตรียมไว้ให้ ที่ขาดไม่ได้คือชานม ที่เราต้องขอเติมแล้วเติมอีกเหมือนเช่นทุกครั้ง
เราบอกลาซาลิมและครอบครัวพร้อมกับการถ่ายรูปเซลฟี่เพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับเรา แต่ไม่แน่ใจว่าจะระทึกสำหรับเจ้าของบ้านรึเปล่า ฮ่า หลังจากกล่าวคำลาอย่างเป็นทางการ เราทั้ง 4 คนก็ขึ้นรถพร้อมโนบุคนขับรถประจำทริปเราเหมือนตลอด 5 วันที่ผ่านมา โนบุยังคงรู้ใจเราเสมอเพราะต้อนรับเราด้วย Ney mo lay เป็นเพลงแรกของวัน และเพลงต่อมาคือ Zaalima อีกหนึ่งเพลงที่เราเพิ่งจะหลงรักเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ก่อนที่เพลงสุดท้ายจะจบ รถของเราก็ถึงสนามบิน
เราถ่ายรูปกับโนบุเป็นที่ระลึกตามธรรมเนียมชาวไทยใฝ่ถ่ายรูปอย่างเรา หลังจากจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกันเมื่อคืน เราตกลงที่จะให้ทิปโนบุเพื่อเป็นคำขอบคุณสำหรับบริการที่ดีตลอดทริป โนบุรับเงินก่อนจะยิ้มแก้มปริ แล้วเดินขึ้นรถขับออกไป เพราะหลังจากส่งเราแล้วเค้าจะต้องขับรถพานักท่องเที่ยวอีกกลุ่มไป Lamayuru วันนี้
8.16 เรานั่งรอที่เกตเพื่อจะขึ้นเครื่อง พี่เอ้ดูจะเป็นคนเดียวที่มีปัญหากับกระเป๋าเพราะโดนเจ้าหน้าที่เรียกให้เปิดกระเป๋า 2-3 ครั้ง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ใช้เวลาไม่นาน เราถึงเดลีอย่างปลอดภัยแต่แอบมีความหวาดเสียวนิดหน่อยขณะที่เครื่องแลนดิ้ง ถึงขนาดพี่คนไทยที่นั่งหลับมาตลอดทางสะดุ้งตื่น ด้วยความตกใจหน่อยๆ พร้อมกับหันหน้ามามองที่ผม อืมมม ลงแรงดีนะครับ ผมทักทายพี่แกไปแถมยิ้มอ่อนให้หนึ่งที ก่อนเครื่องจะจอดสนิทและผู้โดยสารทยอยออกจากห้องโดยสาร
เรานั่งแท็กซี่ออกจากสนามบินเพื่อจะไปที่พักแถวๆ main bazaar แต่แท็กซี่รอบนี้เล่นเอาเราอารมณ์เสียไปตามๆกันเมื่อ คนจัดรถให้เราไปคันเล็ก ซึ่งเราต้องนั่งเบียดกัน บวกกับคนขับดูจะสื่อสารกับเราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ พี่แกเล่นคากเสลดตลอดทาง เรานี่อยากจะบอกว่า พี่เอายาอมมั้ยครับ
แท็กชี่มาทิ้งเราไว้ตรงทางเข้า main bazaar บอกว่ารถเข้าไม่ได้ (สาดดด ก็เห็นรถคันอื่นวิ่งเข้าไป ทำไมจะเข้าไม่ได้ แมร่งกลัวรถติดอะดิ ผมคิดในใจดังๆ) เนื่องจากเราสุดทนกับพฤติกรรมคนขับตลอดทางที่นั่งมา เลยไม่อยากจะต้องมาทะเลาะต่อ เราเลือกที่จะจ่ายค่าแท็กซี่ พร้อมกับเปิดกูเกิ้ลแมปไปยังโรงแรมที่จะพักคืนนี้ แต่ยังโชคดีที่ ผู้ชายที่ยืนหน้าร้านขายอาหารถามเราว่าจะไปไหน พร้อมแนะนำให้เรานั่งตุ๊กๆเข้าไปแค่ 20 รูปี เราขอบคุณก่อนจะขึ้นรถ เพราะเหตุการณ์ความช่วยเหลือแบบไม่มีอะไรแอบแฝงหายากมากในเดลี บรรยากาศแถวนี้ให้อารมณ์คล้ายๆกับถนนข้าวสารในบ้านเรา แต่แค่แออัดกว่า คนเยอะกว่า ถนนยาวกว่า และรถติดกว่า นี่สินะเป็นเหตุผลที่แท็กซี่ไม่อยากจะเข้ามา
รถจอดหน้าปากซอยพร้อมชี้นิ้วบอกให้เราเดินเข้าไปข้างใน ผมอาสาเดินนำหน้าเข้าไปเพื่อลองสำรวจ แล้วเราก็พบ Smily hotel โรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ เนื่องจากห้องที่จองไว้ทำความสะอาดเสร็จแค่ห้องเดียว เราเลยต้องไปรวมกันที่ห้องพี่เอ้ พี่กวาง ทางโรงแรมบอกว่าอีกราวๆ 1 ชมกว่าอีกห้องจะเสร็จ
เราออกไปหาข้าวเที่ยงกินที่ Sindia house ซึ่งเป็นเวิ้งที่มีร้านอาหารแบรนด์เนมตั้งเรียงกัน คล้ายๆแถวๆสยามสแควร์ในบ้านเรา จิวัดเลือก KFC เพราะอยากกินมาก เมื่อเราไปถึงโต๊ะที่นั่งเต็มทุกโต๊ะ ดูท่าจะขายดี เราเลยต้องอาศัยไหวพริบในการหาโต๊ะว่าง เพราะดูเหมือนการหาโต๊ะที่นี่จะเป็นแบบใครไวใครได้ แอบอารมณ์เสียกับ KFC ที่นี่นิดนึงเพราะซอสจะมีแค่แบบซองไม่มีให้กดแบบในบ้านเรา (มีแค่ซอสมะเขือเทศด้วย)
เสร็จแล้วเราเดินไปนั่งกินกาแฟที่ Starbucks ที่ห่างออกไปไม่ไกลมาก ราคาที่ติดอยู่บนป้ายยังไม่รวมภาษี นั่นคือความจิงที่เรารู้หลังจากเห็นใบเสร็จ หลังจากจิ้มเครื่องคิดเลขภาษีที่เราจ่ายน่าจะราวๆ 11% on top จากราคาของเครื่องดื่มที่เห็นบนป้าย (โหดใช่เล่น) ที่นี่เราเจอเพื่อนใหม่ชื่อ Nissar ดูครั้งแรกนึกว่าเค้าเป็นคนอินเดีย หลังจากพี่เอ้ พี่กวางไปตีสนิทจึงรู้ทีหลังว่าเป็นคนเยอรมัน แค่มาเที่ยวในอินเดีย เค้าบอกเราว่าพูดได้ 6 ภาษาและเป็น stylist คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแต่งตัว เดินทางมาอินเดีย 6 ครั้งแล้ว เค้าเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับแคว้นแคชเมียร์และโฆษณาว่าสวยกว่าในเลห์ เพราะนอกจากภูเขา เราจะได้พบกับ ต้นไม้ ดอกไม้ แม่น้ำและ very kind people พร้อมกับโชว์รูปในมือถือให้เพื่อประกอบการตัดสินใจของเราในทริปหน้า ฮ่า
ตบท้ายด้วยการชวนเราไป Birthday party คืนนี้พร้อมถามเราว่าเรากลับพรุ่งนี้กี่โมง หลังจากทุกคนนั่งนิ่งไปแปปนึงพร้อมกับกำลังหาทางออกจากเรื่องนี้ พี่กวางเป็นตัวแทนเราบอกไปว่า เราบินกันตอน 8 โมง ซึ่งหมายถึงเราต้องไปถึงสนามบินก่อน 2 ชม สุดท้ายแล้วเราต้องตื่นราวๆ ตี 5 และคิดว่า Nissar น่าจะยอมปล่อยเราผ่านไป แต่เค้าดูยังจะชวนเราไปให้ได้ สุดท้ายเราก็ขัดขืนเล็กๆด้วยการไม่เซย์เยส เค้าจึงยอมแพ้ หลังจากคุยกันไปได้อีกสักพัก Nissar ขอตัวไปหาเพื่อนพร้อม Say goodbye เราทั้ง 4 คน
เราเดินออกไปยังย่านขายของที่ห่างราวๆหนึ่งบล็อกถนนจาก Starbucks เพราะสาวๆมีภารกิจต้องไปซื้อครีมของ Himalaya ถนนทั้งเส้นดูจะเต็มไปด้วยของที่มีไว้ขายสำหรับนักท่องเที่ยว ตอนที่เราเดินอยู่มีคนอินเดียพยายามจะมาชวนเราคุยพร้อมกับเสนอว่าให้เราไปซื้อของที่ตลาดอีกที่นึงเพราะที่นั่นถูกกว่า แม้เราจะบอกว่าไม่เอาแต่ยังก็พยายามโฆษณาจนเราเริ่มคิดว่า นี่พี่ได้ค่าคอมมิชชั่นรึเปล่าเนี่ย หลังจากพี่เอ้ พี่กวางตามหาร้านซื้อครีมได้ เรายังต้องไปต่อยัง block G เนื่องจากยังขาดพวกยาที่หาแถวนั้นไม่ได้
เราเดินไปตามที่เจ้าของร้านขายครีมแนะนำ ร้านแถวนี้ดูมีความทันสมัยมาก มีแต่พวกสินค้าแบรนด์เนม อีกอย่างผังเมืองที่นี่ดูมีความเป็นระบบ คงจะเป็นแบบที่ทางอังกฤษมาวางระบบไว้ให้สมัยยุคอาณานิคม ขณะเดินงงๆกันมาสักพักเราแวะถามคนระหว่างทางมาเรื่อยๆ แล้วเราก็เจอคนอินเดียที่ดูใจดีโดยแนะนำให้เราไปยังห้างที่ชื่อ CCI เพราะบอกว่าที่นั่นไม่คิดภาษีและมีสินค้าเยอะมากเนื่องจากมีทั้งสิ้น 3 ชั้น อีกอย่างยังติดต่อตุ๊กๆให้เราพร้อมเสนอราคาไป-กลับที่ 20 รูปีขาดตัว ข้อเสนอดีๆแบบนี้ ใครจะไม่เอาหล่ะ (ค่ารถแค่ 10 บาทเอง โดนหลอกก็คงไม่เป็นไรหรอก ฮ่า)
ลุงคนขับรถพาเรามาที่ห้างที่ดูจากข้างนอกสูงราวๆ 3-4 ชั้น แล้วเราก็เดินเข้าไปถามพนักงานว่าขายยาชั้นไหน แต่พนักงานบอกว่าเราขายแค่พวก Handicraft นะ (สาดด โดนแระ แอบคิดในใจดังๆ เพราะพูดไปดูจะไม่มีใครเข้าใจ) เราเดินออกมาพร้อมความพ่ายแพ้พร้อมบอกลุงคนขับว่ามันไม่ขายยา แต่ลุงบอกเราว่าเดี๋ยวพาไป นี่อยู่ข้างหน้าตรงนี้เอง แล้วลุงก็ยืนดูเราซื้อของพร้อมกับความล้มละลายไปทีละคนสองคน เนื่องจากเราซื้อกันได้แหลกลาญมาก ถึงขนาดที่พนักงานถามด้วยความประหลาดใจว่านี่คุณมาจากไหนกัน
ขากลับเราตกลงกับลุงว่าให้ไปส่งที่พักเลยได้มั้ย ลุงยื่นใบเสนอราคาที่ 100 รูปี และจะไปส่งแค่ด้านหน้า ซึ่งเราต้องเดินเข้าไปเอง แต่เพราะเราอยู่นี่มาสักพัก จึงรู้ว่าการต่อรองเป็นสิ่งที่ต้องทำ พี่เอ้เลยบอกว่าตอนมาแท็กซี่ยังมาส่งหน้าโรงแรมเลย(ซึ่งความจิงคือ แท็กซี่คันนั้นมันทิ้งพวกกรุหน้าทางเข้า) สุดท้ายลุงยอมไปส่งเราหน้าโรงแรม
เรามาถึงห้องพร้อมกับการสั่งอาหารเข้ามากินเนื่องจากไม่อยากจะเดินไปข้างนอกอีกแล้ว ตอนแรกจะสั่งโดมิโน่พิซซ่า แต่พอจะระบุจุดส่งในเว็บไซต์กลับไม่มีชื่อที่ๆเราอยู่ ถามพนักงานโรงแรมว่าเราควรเลือกอันไหน ดันบอกไม่รู้ซะงั้น จบเลย แต่ยังดีที่เอาโบรชัวร์ของอีกร้านนึงมาให้ แล้วเราก็ลงไปใช้ใทรศัพท์ตรงรีเซฟชั่นโทรสั่งอาหารเย็น
- อากาศที่เดลียังคงดูทึมๆ ฝุ่นเยอะๆ ตลอดทั้งวันเหมือนเช่นเคย เราไม่เคยได้เห็นสีฟ้าของท้องฟ้าเลย เงยหน้าเมื่อไหร่ยังคงเจอแค่หมอกจางๆและควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้
- การต่อรองเป็นเรื่องที่ต้องทำ เป็นบทเรียนที่เราได้จากที่นี่
- ตรงปากซอยทางเข้า รร. มีที่ยืนฉี่ของผู้ชายประมาณ 2 ล๊อค ตอนแรกที่เดินเข้ามาแอบสงสัยว่ากลิ่นอะไร แต่พอขากลับจากซื้อของเห็นผู้ชายยืนหันหลังเข้ากำแพง ผมนี่รู้เลย ฮ่า
- ทัชมาฮาลปิดทุกวันศุกร์ เพราะตอนแรกมีแผนว่าจะไปตอนมาถึงเดลี
Day 8/8 https://ppantip.com/topic/36744679