[Day 6] บันทึกการเดินทางเลห์-ลาดัก 29 เม.ษ. - 6 พ.ค. 2560

Day 5 https://ppantip.com/topic/36718244


Day 6 dangerously beautiful    
เช้านี้หนาวมาก มากที่สุดตั้งแต่มาที่นี่เลย ผมตื่น 5.49 ก่อนจะรีบล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกับจัดหนักชุดใหญ่ นี่เอาจิงๆ คงจะเป็นคนเดียวในทริปที่เอาเข้าเอาออกได้คล่องตัวที่สุด แข็งแกร่ง !
ที่นี้พระอาทิตย์ขึ้นเร็วมาก ราวๆ 5.30 ท้องฟ้าก็ดูจะสว่างมากพอให้เราเดินถ่ายรูปบรรยากาศข้างนอกได้อย่างสบาย แล้วผมก็ตัดสินใจออกจากห้องไปถ่ายรูป ลองเดินไปเรื่อยๆตามทางที่ยังไม่ได้ไปเมื่อวาน วิวตอนเช้าสวยมาก พระอาทิตย์จะค่อยๆไต่ขึ้นมาจากภูเขาที่อยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ หลังจากพ้นขอบภูเขา แสงแดดจะสาดเข้ามาฝั่งที่เราอยู่ หลังจากกดชัตเตอร์ไปชุดใหญ่ก็เดินกลับมาที่ห้อง ในห้องทุกอย่างตอนนี้ดูจะเป็นสีทองเพราะถูกระบายด้วยแสงแรกของวัน ส่วนการมีแดดนั้นก็ไม่ได้รับประกันว่าอากาศจะอุ่นลงแต่อย่างใด
ก่อนเดินเข้าห้องพบว่ามีถังน้ำร้อนมาวางข้างหน้า พี่เอ้บอกว่าทางเกสต์เฮ้าส์ยกมาให้เมื่อเช้าให้เราได้ใช้ ราวๆ 7.08 เราทั้ง 4 คนเดินไปกินข้าวเช้า หลังจากลองสำรวจดูบรรยากาศรอบๆห้องครัวก็พบรูปถ่ายของครอบครัวมี พ่อ แม่ และลูกสาวสองคน เราจึงร้องอ๋อเมื่อรู้ว่า คนที่เราเรียกเค้ามาตลอกว่า พี่นิด (ใช้นามสมมติเรียกเหมือนป้าแม่บ้านที่ออฟฟิศ) ที่คอยยกน้ำร้อนมาให้ ทำโน่นนั่นนี่ให้ ไม่ใช่คนใช้แต่อย่างใด แต่คือหนึ่งในสมาชิกของบ้านหลังนี้
บรรยากาศข้างนอกยังคงหนาวแต่ในห้องครัวดูจะอบอุ่นไปด้วยความเป็นกันเองและ service mind ของเจ้าของบ้านที่บริการเราอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเราจะขอไข่เจียวกี่ครั้งก็ได้อย่างรวดเร็ว ฮ่า ส่วนชาที่เสิร์ฟก็ละมุนมากๆ ยี่ห้อ Tetley เป็นชาดำ ใส่น้ำตาลนิดนึง นั่งจิบในบรรยากาศหนาวๆ ฟินเลย หลังจากคุยกันเราก็เพิ่งรู้ว่า เราทั้ง 4 คนเป็นแขกเพียงกลุ่มเดียวที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกลุ่มแรกของที่นี่ด้วย หรือพูดอีกอย่างคือ ที่นี่มีแค่ 2 ห้องที่เราพักเมื่อคืนและทุกอย่างดูจะยังสร้างไม่เสร็จนั้นเอง แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นและความเป็นกันเองของเจ้าของบ้าน 8.15 เราออกจาก Pangong Vacation Home Stay ชื่อของเกสต์เฮ้าส์บนนามบัตร พร้อมกับหิมะที่กำลังหล่นจากฟ้า
เราไปจอดรถถ่ายรูปที่ริมทะเลสาบ น้ำที่นี่เป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนภูเขาก็เป็นสีน้ำตาลอมชมพูหน่อยๆ ยังคงเสียดายที่วันนี้เมฆมากไปหน่อย บางสิ่งบางอย่างเราก็เลือกไม่ได้แต่ที่เลือกได้ตอนนี้ก็น่าจะมีแค่ เลือกที่จะมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้ามากกว่า สารภาพเลยว่าเราแอบชอบ Pangong ตอนบ่ายมากกว่า ยิ่งเป็นตอนที่แสงสาดใส่กับน้ำในทะเลสาบและภูเขา ทุกองค์ประกอบดูจะชัดเจนขึ้น ชัดขนาดที่ว่าเราตกตะลึงในความสวยงามของธรรมชาติ ความรู้สึกคงจะคล้ายๆกับเมื่อวานที่เราเห็นทะเลสาบครั้งแรก  
เราบอกลา Pangong อย่างเป็นทางการ ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสกลับมาเยี่ยม ที่นี่น่าจะเปลี่ยนไปด้วยจำนวนเกสต์เฮ้าส์ที่กำลังสร้างเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว จุดหมายของเราวันนี้คือ Ree yul guest house ในตัวเมืองเลห์ เราผ่าน Chang la Pass ณ ความสูงราวๆ 17000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล เตี้ยกว่าพาสขามานิดหน่อย วันนี้ดูท่าอากาศจะไม่ค่อยดี เริ่มมีหิมะตก เราแอบเห็นรถหลายคันจอดข้างทางเพื่อเอาโซ่มาพันล้อสำหรับวิ่งฝ่าพื้นหิมะ โนบุบอกรถเราไม่ต้อง สบายมาก
แต่เรื่องตื่นเต้นก็เกิดขึ้นเมื่อ รถเราเกิดอาการตกหลุมหิมะ ล้อหมุนฟรีไม่สามารถไปต่อได้เนื่องจากมันลื่น ต้องอาศัยคนขับคันอื่นลงมาช่วยกันทั้งดันทั้งเข็น ขนาดต้องเอาดิน/หิน มารองล้อเพื่อไม่ให้ล้อหมุนฟรีและรถไปต่อได้ เราเจอเหตุการณ์แบบนี้ 2-3 ครั้ง แต่โนบุยังยืนยันที่จะไม่ใช้โซ่พันล้อ  คนที่นี่ดูจะช่วยกันดีนะเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้ เพราะทุกคนรู้ดีว่าถ้าคันหน้าไปไม่ได้ คันหลังก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน มีบางครั้งที่รถเราติดหลุมหิมะหนักมาก มองออกไปข้างนอกหิมะก็ตก เราถามโนบุว่าต้องลงจากรถมั้ย แต่คำตอบคือ ไม่ต้อง นั่งรอในนี่แหละ สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเมื่อทางที่เราขับเริ่มเห็นถนนที่เป็นดินและหิน นั้นหมายความว่าหิมะกำลังบางลงเรื่อยๆ
ขณะที่การจราจรหยุดชะงัก (แต่คราวนี้ไม่ได้มาจากรถเรานะ) เราได้มีโอกาสคุยกับน้อง นศ. แพทย์ มช. ปี 3 น้องผู้ชายมากับเพื่อนอีก 3 คน น้องบอกเราว่านี่เป็นครั้งแรกที่มาเมืองหนาว แต่เท่าที่ฟังกิจกรรมและประเทศที่น้องเคยไปมาดูท่าทางจะชอบแนว adventure (น้องกลุ่มนี้พักที่เกสต์เฮ้าส์ของพี่ชายซาลิมที่อยู่ติดกับ Ree yul)
หลังจากการจราจรเริ่มขยับอีกครั้ง เราผ่านจุดที่มีหิมะ และเริ่มจะมีความคิดที่ว่า ของบางอย่างก็ควรจะชื่นชมความสวยงามจากที่ไกลๆจะดีกว่าการได้เข้าไปสัมผัสจับต้อง เพราะเมื่อมองใกล้ๆอาจจะพบว่าแท้จิงแล้วอาจจะเป็น สวยสังหาร อย่างที่จิวัดบอกก็ได้ ภูเขาหิมะที่เราเห็นไกลๆเวลาขับรถผ่าน มองไปกี่ทีก็สวยมากเลย จนวันนี้ได้ลองสัมผัส เรากลับพบความไม่น่ารักและความเกรี่ยวกราดในบางขณะ คงเหมือนกับนิสัยคนเรานี่แหละ (ใครมันจะไปอารมณ์ดีได้ทุกวัน จิงมั้ย)
ทางที่เราจะกลับวันนี้จะมีวัดให้เราได้แวะเยอะมาก แต่เนื่องจากเราอยากกลับไปเดินซื้อของฝากที่ตลาดในตัวเมืองเลยต้องตัดใจไปแค่บางที เพื่อจะประหยัดเวลาและกลับไปให้ถึงเลห์ก่อนค่ำ เราเลือก Hemis Monastery, Stakna Gomp, Shey Palace และ Thiksey Monastery

สำหรับ Thiksey Monastery เรากะจะถ่ายรูปจากด้านนอกเหมือนหลายๆที่ แต่โนบุบอกว่าข้างในสวย เลยพยายามให้เราเข้าไปให้ได้ แล้วก็จิงอย่างที่โนบุโฆษณาชวนเชื่อไว้ ข้างในมีพระองค์ใหญ่ สูงราวๆ 2 ชั้น ส่วนการขึ้นไปก็ต้องเดินขึ้นบันไดจากจุดจอดรถ เล่นเอาหอบเหมือนเดิม พี่กวาง พี่เอ้ ดูจะขอบายเพราะทั้งคู่เริ่มมีอาการป่วยจากอากาศที่เปลี่ยนไวมาก เลยขอตัวรออยู่ในรถ ปล่อยผมกับจิวัดไปเดิน
เราถึงเลห์ประมาณ 6 โมงกว่าๆ และทุกคนดูจะป่วย ในขณะที่จิวัดมีอาการท้องอืดสะสม ถึง Ree yul เราขึ้นไปจัดขนมปัง ไข่ดาว ตามด้วยข้าวหมกไก่ และขนมหวาน ซึ่งจัดให้เป็นมื้อพิเศษสำหรับเราที่จะออกจากเลห์พรุ่งนี้เช้า เนื่องจากพี่กวางไม่กินข้าวหมกไก่ (ผลจากประสบการณ์อันย่ำแย่ที่เดลี) พี่เอ้ไม่กินขนมหวาน ภาระทั้งหมดจึงตกที่ผม เพราะกลัวทางเกสต์เฮ้าส์จะเสียใจถ้าเรากินไม่หมด (ฟังดูดี แต่จิงๆหิว ฮ่า)
แผนเดิมเราคือไปเดิน Main Bazaar แต่ตอนนี้ทุกคนดูจะป่วยและเปื่อย เลยต้องใช้แผนบี คือพักผ่อนอยู่ห้อง อีกอย่างตอนนี้สองทุ่มกว่า ร้านในตลาดเริ่มปิดแล้ว เรา(ยกเว้นผมซึ่งแอบหนีขึ้นห้องมานั่งเขียนไดอารี่พร้อมกับเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้) เริ่มเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับซาลิม ค่ารถและที่พักถูกกว่าแผนเดิมเพราะที่พักใน Pangong ช่วยเราไว้ เราเลยเหลือเงินอีกนิดหน่อยสำหรับช็อปปิ้งในเดลี

- คราวนี้เราได้ห้องชั้น 2 และ 3 ไม่ใช่ชั้นแรกอย่างคราวที่แล้ว และใช้ Wifi ของเกสต์เฮ้าส์ได้ปกติ เลยติดต่อกับโลกภายนอกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4-5 วันที่ผ่านมา
- ชั้นดาดฟ้าที่นี่สามารถมองเห็นวิวในเมืองได้ สวยดีนะ

Day 7 https://ppantip.com/topic/36744595
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่