8 โมงนิดๆ เราเริ่มออกเดินทางไปยังทะเลทรายข้างๆ ซึ่งเป็นไฮไลท์สำหรับที่นี่เลย ไม่ถึง 15 นาทีเราก็ถึงที่หมาย ทะเลทรายดูท่าจะไกลสุดลูกหูลูกตาเราเลย หลังจากเดินถ่ายรูปเสร็จ เราก็ตกลงกันว่าจะขี่อูฐวนรอบๆแถวนี้ อูฐทุกตัวดูจะมีชื่อ ตัวที่ผมขี่เจ้าของเรียกมันว่า little naughty boy เจ้าตัวนี้แหละทำให้จิวัดก้นจ้ำเบ้าตอนกำลังจะขึ้นคร่อมมัน ผมเลยอาสาขอขี่แทน ส่วนจิวัดได้ตัวใหม่ชื่อ naughty boy ดูจากชื่อแล้ว ดีกรีความซนไม่น่าจะต่างกัน ตกลงคือหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า ไม่ซิอาจจะต้องพูดว่าหนี little naughty boy ปะ naughty boy
เจ้าของบอกเราว่าอูฐอายุเฉลี่ยแค่ 25 ปี ก่อนจะลาโลก และปกติมันก็กินแค่หญ้าและกิ่งไม้ที่มีในทะเลทราย เอาจิงๆคือกินแมร่งทุกอย่างที่เป็นพืชแถวนั้นแหละ หลังจากเสร็จจากภารกิจขี่อูฐ ตูดขมิบ(เพราะกลัวจะหล่น) ก็ถึงเวลาจ่ายตังค์ ค่าความเสียหายก็ตกคนละ 200 รูปี/15 นาที ลืมบอกไปว่าเหรัญญิกในทริปนี้คือจิวัด ผู้ซึ่งเราตั้งความหวังว่าจะดูแลเงินและพร้อมจะจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างทันท่วงที แต่อะไรๆก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เมื่อจิวัดลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถ ซึ่งจอดห่างจากจุดที่เราอยู่ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที สุดท้ายไม่มีใครช่วยจิวัดได้ เลยต้องตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ (นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และครั้งสุดท้ายแน่นอน ผมมั่นใจ แต่ยังไงเราทุกคนก็ยังไว้ใจให้จิวัดดูแลเงินต่อไป ฮ่า)
ระหว่างทางที่ขับออกจากบริเวณทะเลทรายมีป้ายเขียนว่า life is liked a photograph, you need a negative to develop เป็นคำบอกลาทิ้งท้ายจาก Hunder Sand Dune (อ่า ลึกซึ้ง คนที่นี่ดูจะใส่ใจกับประโยคที่ติดสองข้างทาง จึงมักจะมีคำคมและประโยคสะกิดใจเท่ๆเสมอ) จุดหมายปลายทางวันนี้คือทะเลสาป Pangong ห่างจากที่นี่ราวๆ 5-6 ชม ที่ซึ่งเค้า(เค้าคือใครหล่ะ) ร่ำลือว่าสวยมากกกก และมีอาณาเขตติดทั้งอินเดียและทิเบต ถึงหน้าหนาวเมื่อไหร่น้ำจะถูกสาปด้วยอากาศเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง
[Day 5] บันทึกการเดินทางเลห์-ลาดัก 29 เม.ษ. - 6 พ.ค. 2560
Day 5 Blue Lake named Pangong
ตอนนี้ตี 5.39 แต่ข้างนอกกลับดูสว่างแล้ว ผมลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกับออกเดินสำรวจรอบๆเกสต์เฮ้าส์ และพบว่ารอบๆที่เราพักเป็นภูเขาสูงล้อมไว้หรือจะพูดให้โรแมนติกหน่อยคงต้องบอกว่า เราถูกภูเขากอดไว้ในอ้อมอกนั้นเอง เดินถัดไปอีกหน่อยจะพบกับทะเลทราย ระหว่างทางมีอูฐที่อยู่ในคอกประมาณ 3-4 ตัวเห็นจะได้ เข้าใจว่าคงเป็นของชาวบ้านแถวนั้น อูฐที่นี่ดูจะขนยาวกว่าที่เห็นในหนัง เอาจิงๆนี่ก็ไม่เคยเห็นอูฐมาก่อนนะ สารภาพเลยว่าครั้งแรก ฮ่า ข่าวดีคืออากาศเช้านี้ดูจะอุ่นกว่าในเลห์
อาหารเช้าเริ่มเสิร์ฟตอน 7.30 และยังคงเป็นแบบเดิมกับเมื่อคืน คือ ข้าวต้ม ไข่เจียว กาแฟ ชาและน้ำพริก เรานั่งคุยกับเพื่อนร่วมเกสต์เฮ้าส์และพบว่าสิ่งที่เราสงสัยแต่แรกเป็นเรื่องจิง นั่นคือ อีก 2 กรุ๊ปที่เหลือ ถูกแนะนำมาจากซาลิมเช่นเดียวกัน ทุกคนที่นี่ดูเป็นมิตรดีนะคุยสนุกโดยเฉพาะกลุ่มสาว สาว สาว สาว (4 สาว) คุยกันเก่งมาก หัวเราะตลอด และเราก็แอบแซวซาลิมเมื่อรู้ความจิงว่าใครส่งเรามาที่นี่ ฮ่า
8 โมงนิดๆ เราเริ่มออกเดินทางไปยังทะเลทรายข้างๆ ซึ่งเป็นไฮไลท์สำหรับที่นี่เลย ไม่ถึง 15 นาทีเราก็ถึงที่หมาย ทะเลทรายดูท่าจะไกลสุดลูกหูลูกตาเราเลย หลังจากเดินถ่ายรูปเสร็จ เราก็ตกลงกันว่าจะขี่อูฐวนรอบๆแถวนี้ อูฐทุกตัวดูจะมีชื่อ ตัวที่ผมขี่เจ้าของเรียกมันว่า little naughty boy เจ้าตัวนี้แหละทำให้จิวัดก้นจ้ำเบ้าตอนกำลังจะขึ้นคร่อมมัน ผมเลยอาสาขอขี่แทน ส่วนจิวัดได้ตัวใหม่ชื่อ naughty boy ดูจากชื่อแล้ว ดีกรีความซนไม่น่าจะต่างกัน ตกลงคือหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า ไม่ซิอาจจะต้องพูดว่าหนี little naughty boy ปะ naughty boy
เจ้าของบอกเราว่าอูฐอายุเฉลี่ยแค่ 25 ปี ก่อนจะลาโลก และปกติมันก็กินแค่หญ้าและกิ่งไม้ที่มีในทะเลทราย เอาจิงๆคือกินแมร่งทุกอย่างที่เป็นพืชแถวนั้นแหละ หลังจากเสร็จจากภารกิจขี่อูฐ ตูดขมิบ(เพราะกลัวจะหล่น) ก็ถึงเวลาจ่ายตังค์ ค่าความเสียหายก็ตกคนละ 200 รูปี/15 นาที ลืมบอกไปว่าเหรัญญิกในทริปนี้คือจิวัด ผู้ซึ่งเราตั้งความหวังว่าจะดูแลเงินและพร้อมจะจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างทันท่วงที แต่อะไรๆก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เมื่อจิวัดลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถ ซึ่งจอดห่างจากจุดที่เราอยู่ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที สุดท้ายไม่มีใครช่วยจิวัดได้ เลยต้องตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ (นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และครั้งสุดท้ายแน่นอน ผมมั่นใจ แต่ยังไงเราทุกคนก็ยังไว้ใจให้จิวัดดูแลเงินต่อไป ฮ่า)
ระหว่างทางที่ขับออกจากบริเวณทะเลทรายมีป้ายเขียนว่า life is liked a photograph, you need a negative to develop เป็นคำบอกลาทิ้งท้ายจาก Hunder Sand Dune (อ่า ลึกซึ้ง คนที่นี่ดูจะใส่ใจกับประโยคที่ติดสองข้างทาง จึงมักจะมีคำคมและประโยคสะกิดใจเท่ๆเสมอ) จุดหมายปลายทางวันนี้คือทะเลสาป Pangong ห่างจากที่นี่ราวๆ 5-6 ชม ที่ซึ่งเค้า(เค้าคือใครหล่ะ) ร่ำลือว่าสวยมากกกก และมีอาณาเขตติดทั้งอินเดียและทิเบต ถึงหน้าหนาวเมื่อไหร่น้ำจะถูกสาปด้วยอากาศเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง
ก่อนจะถึงที่หมาย เราแวะ Diskit monastery ต้องเสียค่าเข้าคนละ 70 รูปี เกือบร้อยละร้อย วัดจะถูกสร้างบนภูเขา เข้าใจว่าคงจะรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งใหญ่และอยู่ใกล้สวรรค์ ดังนั้นจากลานจอดรถเราต้องอาศัยการเดินขึ้นบันไดไปอีก ที่นี่ก็เช่นกัน กว่าจะถึงตัววัดเล่นเอาเราหอบมากหายใจเข้าออกถี่ยิบเลย (จิงๆเรายังไม่ได้กินยาขยายหลอดเลือดแม้จะครบ 12 ชม แล้วก็ตาม เพราะห่วงเที่ยวมากกว่า ฮ่า) อีกฝั่งของ Diskit monastery เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่และมีลานที่พอมองออกไปจะเห็นวิวแม่น้ำชาโย (ชื่อแม่น้ำถามจากโนบุ เนื่องจากกำแพงด้านภาษา โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)
การขับรถที่นี่ แตรดูท่าจะเป็นสิ่งสำคัญ (ที่เรายังอยู่ด้วยกัน สิ่งอื่นใดนั้นมันยังไม่มาถึง ดา เอนโดฟินก็มา เดี๋ยวๆไม่ใช่แระ) เนื่องจากที่บอกไปว่าโค้งที่นี่เยอะมากและบางโค้ง (ส่วนมาก) ถูกบังด้วยสันเขา การบีบแตรดูจะเป็นวิธีเดียวในการรักษาชีวิตของรถทั้งสองฝั่งที่สวนกัน ถึงขนาดมีป้ายบอกให้บีบแตรใส่กันเลยทีเดียว ในขณะเสียงแตรที่นี้ไม่น่ารำคาญเท่าในเดลี ที่ทุกคนบีบกันเป็นเรื่องปกติ แต่อย่างว่าแหละแต่ละที่ก็คงมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในแบบของตัวเอง
Shyok monastery เป็นอีกที่ที่เราจอด พร้อมเสียค่าเข้าชมคนละ 10 รูปี (โดยส่วนมากพวกสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ จะต้องเสียค่าเข้าหมด เพียงแต่ที่ผ่านๆมาผมไม่ได้จดไว้แค่นั้นเอง ฮ่า เอาจิงๆไม่แพงหรอก) ความสูงของที่นี่ใช้ได้เลย เล่นเอาเราหอบอีกแล้ว (จิงๆเราก็หอบทุกที่ๆไปแหละ จะบ่นทำไม)
เราออกจาก Shyok monastery และขับมาได้สักพัก ราวๆเที่ยง โนบุจอดรถพร้อมถามเราว่าจะกินข้าวมั้ย แต่ด้วยสภาพร้านแล้วเราเลยขอผ่านและบอกว่าขอจอดป้ายหน้าละกัน ซึ่งกว่าป้ายหน้าจะมาถึงก็ในอีก 2 ชม ถัดมา อย่าถามว่าหิวมั้ย ถามว่าแค่ไหนดีกว่า โนบุลงจากรถวิ่งนำหน้าเราไป สักพักก็กลับมาบอกว่ามีแต่เม็กกี้ เม็กกี้คือซอสดำๆที่ไว้หยอดบนไข่ดาวอ่ะนะ (เราคิดในใจ) แต่ไม่น่าใช่ เลยจะขอคำอธิบายเพิ่ม แต่ดูแล้วความสามารถทางด้านภาษาลาดักเราจะไม่ดีพอ การอธิบายเพิ่มของโนบุดูจะช่วยอะไรเราไม่ได้ เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน มีร้านเดียวด้วย กินก็กิน เดินเข้าไปในร้านเจอน้องคนไทย เลยแอบถามว่าไอ้อาหารที่อยู่ในถ้วยเหมือนมาม่าคืออะไร พอน้องบอกว่าเม็กกี้ นี่อ๋อเลย เออแดรกได้แล้ว จัดมา เม็กกี้คล้ายๆมาม่าต้ม น้ำซุปสีออกเหลืองๆ แต่เส้นไม่ใช่เส้นมาม่าแน่นอน เราจัดหนักสั่งมา 6 ถ้วย 4 คน ตกถ้วยละ 30 รูปี ตบท้ายเราซื้อขนม (sneaker, Lay, cookie) เป็นเสบียงยามฉุกเฉิน
ถนนต่อจากนี้ค่อนข้างลำบาก เพราะโนบุต้องคอยเล็งหาไลน์และรอยที่รถคันหน้าเคยผ่านไป เนื่องจากมันไม่มีเลนที่ชัดเจนของทาง ช่วงนี้อาศัยความชำนาญเข้าว่า ภูมิอากาศแถวนี้ดูจะเป็นลูกผสมเพราะมีทั้งร้อนและหนาว(แบบมีหิมะปน) ขณะที่บางช่วงก็เป็นทุ่งหญ้า มีปศุสัตว์ทั้งแกะ(ซาลูค) และ ม้า(ซาตา)
และแล้วโค้งที่สะดุดตาผมที่สุดก็มาถึง กับป้ายที่เขียนไว้ว่า Be gentle on my curve นี่บอกเลยว่ามีความอีโรติกผสมกับโรแมนติกนิดๆ ติดท้ายด้วยความห่วงใยแก่สวัสดิภาพของผู้ขับหน่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นโค้งที่เซ็กซี่ที่สุดที่เคยเจอมาเลย ฮ่า
และเนื่องจากเรายอมให้โนบุจัดเพลงอินเดียชุดใหญ่ไฟกระพริบใส่เรามา 2-3 วันแล้ว วันนี้จิวัดเลยงัดลำโพงบลูทูธออกมา แล้วพี่เอ้ พี่กวางก็สลับกันจัดเพลงไทยชุดใหญ่ เราบอกเค้าว่า this is exchange between Thai & Ladakhie culture สุดท้ายแล้วเราไม่รู้ว่าเพลงไทยของเราเป็นยังไงบ้าง แต่เรากลับหลงรักเพลง Ney mo lay เข้าให้แล้ว
เราถึง Pangong ราวๆ 4 โมงเย็นครั้งแรกที่เห็นมันสวยมาก น้ำและภูเขาที่กระทบกับแสงแดดยามเย็นมันดีอย่างนี้นี่เอง รถเราขับผ่านไปตามแนวทะเลสาป ขณะที่เราก็รัวชัตเตอร์กันแบบไม่ลืมหูลืมตาเพราะวิวข้างนอกมันสวย สวยขนาดที่คิดว่านี่ของจริงหรือภาพเขียนกันแน่
ที่พักเราคืนนี้มีอุบัติเหตุนิดหน่อย เพราะที่ๆเราจะไปที่แรกเหมือนจะเต็ม คุณพระ ! โนบุเลยต้องขับรถพาเราไปหาที่พักใหม่ แล้วเราก็เจอเกสต์เฮ้าส์ห่างออกไปไม่ไกลมาก หลังจากตกลงเรื่องราคาและเจ้าของยืนยันกับเราว่ามีน้ำร้อนแน่นอน เราเลยตัดสินใจพักที่นี่เพราะไม่อยากจะเสียเวลาหาที่ใหม่ หน้าห้องที่เราพักมีกลุ่มคนงานกำลังทำงานก่อสร้างอะไรสักอย่างอยู่ เข้าใจว่าที่พักเราน่าจะกำลังมีการต่อเติม
ผมเดินเข้าไปห้องน้ำเพื่อสำรวจห้องเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หลังจากลองเปิดน้ำ ปรากฎว่าน้ำไม่ไหล พี่เอ้ให้กำลังใจว่าสงสัยเจ้าบ้านยังไม่เปิดน้ำ คงต้องรอให้ค่ำก่อน แต่ในใจแอบตะหงิดเล็กๆเมื่อแอบเหลือบไปเห็นว่าระบบน้ำยังไม่ได้ต่อเลย แต่ก็เอาน่า เค้ายืนยันกับเราแล้วนะว่ามีน้ำร้อนให้อาบ
หลังจากเก็บของ เราเดินไปดูทะเลสาปซึ่งอยู่ด้านหน้าเกสต์เฮ้าส์ที่เราพัก ก่อนจะเดินไปกินข้าวที่ Dining Hall (เจ้าของบ้านเรียกแบบนั้น) หลังจากเดินไปถึงเราพบว่า มันคือส่วนที่เป็นห้องครัวของบ้านเจ้าของนั่นเอง ไม่ใช่ Dining Hall อย่างในหนังแฮรี่ พอตเตอร์แบบที่เราเข้าใจ แต่เจ้าของบ้านใจดีให้เราชาร์จไฟได้อย่างเต็ม นี่ก็เล่นขนปลั๊กสามตาไปเสียบกันเลยทีเดียว ฮ่า
หลังจากกินข้าวเสร็จเราเดินกลับห้องพร้อมพบความจริงว่า ไม่มีน้ำร้อนอย่างที่ตกลงกันไว้แต่ต้น เพราะระบบน้ำยังไม่ได้ต่อ(จิงๆด้วย) สุดท้ายคืนนั้นเราก็ไม่ได้อาบน้ำ เพราะอากาศมันหนาวมากเลย(น่าจะติดลบ) เรานั่งให้กำลังใจกันและกันและคิดว่าน่าจะผ่านคืนนี้ไปไม่ยาก
- บ้านเกิดของโนบุคือ Nubra Valley ที่ซึ่งเราจากมาเมื่อเช้า
- จิวัดได้เป็นเหรัญญิกเพราะมันเป็นคนไปแลกเงินให้ผมและพี่เอ้ เลยต้องเก็บเงินเราไว้อย่างเลือกไม่ได้
- ที่ Dining Hall เรานั่งดูละครอินเดียอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยลืมไปว่าเราไม่เข้าใจภาษาอินเดียแม้แต่นิดเดียว
Day 6 https://ppantip.com/topic/36724691