หมายเหตุ กระทู้แรกในชีวิต ผิดพลาดประการใดกราบงามๆ ขออภัย ณ ตรงนี้ก่อน (ด่าได้ แต่อย่าแรง)
Day 1 Press start
เสาร์สุดท้ายของเดือนเมษา
เครื่องออกจากสุวรรณภูมิ เช้าเวลา 8.25 แต่เวลาในบอร์ดดิ้งพาสคือ 7.35
เมื่อเช้าผมเกือบจะตกเครื่องด้วยซ้ำ ตอนแรกตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 4.30 แล้วก็ตื่นนะ แต่ตื่นมาปิดแล้วนอนต่อ ดีนะที่พี่สาวเรียกตอน 5.48 รู้ตัวอีกทีขนลุกเลย ไม่ใช่ไม่มีเพื่อนโทรตามนะแต่เพราะเปิด airplane mode จึงไม่มีใครโทรตามได้ ฮ่าๆๆๆ
พี่แท็กซี่ที่นั่งมาเหมือนจะรู้ว่ารีบ ระดับความหวาดเสียวในการขับนี่ให้เลย 9 กะโหลก ก็เล่นปาดซ้ายทีขวาที มีทีนึงที่พี่แกเกือบจะไปจูบตูดคันหน้า เพราะจะแซงแต่ดันแซงไม่พ้น ผมนี่เสียวสันหลังลงไปถึงง่ามตูด นี่ขนาดไม่ได้บอกพี่แกว่ารีบนะ ยังได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าบอกว่ารีบ คงจะมาไม่ถึงสนามบิน
สมาชิกในทริปเรามีกัน 4 คน พี่เอ้ พี่กวาง ผม และจิวัด (จริงๆมันชื่อจิรวัฒน์ แต่ย่อเหลือ 2 คำเรียกง่ายกว่า)
ตอนนี้สมาชิกเราขาดแค่จิวัดคนเดียว เดี๋ยวๆ นี่นึกว่าผมจะเป็นคนสุดท้ายแล้วนะ เมิงยังท้ายกว่าอี๊กกก เอิ่ม พอกันนนน แต่เอาเหอะสุดท้ายเราก็มาถึงทันเช็คอินพอดี๊ พอดี (เสียงสูงงงง) อีกนิดเดียวคงต้องใช้เงินแก้ปัญหาจองตั๋วใหม่ ชัวร์
สำหรับการบินไทย ไฟลท์ประจำทริปนี้ ให้ นน. กระเป๋าเราที่ 30 กก. ต่อคน โอเคหลังจากชั่งนน.ไม่มีใครเกินนะ ตกคนละ 12-16 กก. บรรยากาศบนเครื่องประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นคนอินเดีย เวลาบินประมาณ 3 ชม 40 นาที นั่งดูหนังยาวๆไปคับ
ถึงเดลี เราออกจากสนามบินด้วยแท็กซี่ราคา ราวๆ 250 รูปี วิธีเรียกแท็กซี่คือ คุณเดินไปที่จุดติดต่อแท็กซี่ บอกเค้าว่าไปไหน เอาให้ง่ายยื่นที่อยู่ให้เลย แล้วเดี๋ยวพนักงานจะคิดราคามาให้ แล้วชี้ให้เรารู้ว่าจะเป็นคันไหน แต่เดี๋ยวครับตอนเราจะขึ้นรถแอบตกใจเล็กๆ เมื่อต้องจ่ายทิปให้คนที่ช่วยเราเก็บกระเป๋าท้ายรถ ซึ่งไม่ใช่คนขับ แล้วมาจากไหน อยู่ดีๆจะมาเอาทิป ไอ้เราก็นึกว่าคงเป็นคนขับรถแต่ไม่ใช่จร้า สุดท้ายเราเลือกที่จะตัดรำคาญเลยให้ไป 20 รูปี (ตอนแรกจะเอา 100 รูปี เมิงเอามีดมาจี้กุเหอะ)
บ่ายโมง 41 นาที เวลาท้องถิ่น เราถึงที่พักคืนนี้ Airport Inn. Hotel ระยะห่างจากโรงแรมกับสนามบินถือว่าพอสมควร แดดที่นี้ค่อนข้างจะดุดัน เพราะมันร้อนแบบแห้งๆ และเนื่องจากพวกมนุษย์ร้อนชื้นอย่างเรามาเจออากาศร้อนแห้ง เล่นเอาเรา แสบผิวถึงขั้นแสบหน้าเลย ผมเคยได้ยินมาว่าจำนวนประชากรอินเดียนี่ติดอันดับต้นๆของโลก เมื่อมาถึงจึงรู้ว่าการจราจรที่อินเดียก็เช่นกัน ผมนี่พูดไม่ออกเลยเพราะนอกจากรถจะเยอะแล้ว เสียงแตรยังดังตลอดเวลา บีบกันเป็นเรื่องปกติ ส่วนเลนบนถนนยิ่งไม่ต้องพูดเพราะมันช่างเหมือนความรักที่มีคนบอกว่า รู้ว่ามีแต่สัมผัสไม่ได้ รถทุกคันดูจะไม่สนใจช่องจราจรที่ตีไว้บนพื้น ใครอยากซ้าย ซ้าย ใครอยากขวา ขวา ผลคือรถทุกคันดูจะมีร่องรอยบาดแผลเฉี่ยวชนเป็นเรื่องปกติ เป็นเมืองพุทธอย่างบ้านเรานี่ไม่ได้เลย บีบแตรนิดหน่อยก็จะมีเรื่องกันแล้ว
ราวๆบ่าย 2 กว่าๆ หลังจากเก็บของที่ รร. เราออกมาหาข้าวเที่ยงกิน แล้วก็ได้เป็นร้านอาหารมังสวิรัติ ที่อยู่หน้าปากซอยโรงแรม อืมม มันดีมากเลย มีความเป็นเครื่องเทศแบบอินเดียจางๆ ไม่โผงผาง กล่มกล่อมและไม่หวือหวา สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศน่าจะกินได้ไม่ยาก มื้อนี้เป็นมือแรกหลังจากเท้าแตะอินเดีย ถือว่าผ่านนนน
เนื่องจากเรามีเวลาแค่ไม่ถึงครึ่งวันดังนั้นเราจึงต้องเลือกที่จะเที่ยวแค่ที่เด็ดๆ หนึ่งในนั้นคือ Red Fort ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 40-50 นาที ราวๆ 24 กม. ค่ารถ 500 รูปี ตอนแรกเราบอก Red Fort ดูพี่แท็กซี่จะไม่เข้าใจเลยให้แกดูรูป แล้วแกก็บอกว่า อ๋อ Lal Quila นั่นเอง เอาเหอะยังไงก็ได้ เอาที่พี่พาผมไปได้ก็พอ
ที่นี่ดูอลังการมากนะ เป็นป้อมที่สร้างด้วยอิฐสีแดง มีความยิ่งใหญ่อลังการสมฐานะ (ส่วนความเป็นมาคุณไปหาอ่านได้ตาม google ฮ่า) สิ่งที่แปลกและทำเราตื่นเต้นคือระหว่างทางจะมีคนอินเดียมาขอเราถ่ายรูป เพื่ออะไรไม่สำคัญเท่าเราก็ยอม...ฮ่า เราถามไปนะว่าทำไม แต่ดูกำแพงทางด้านสำเนียงที่ทำให้คนไทยอย่างเราพูดและฟังคนอินเดียไม่รู้เรื่อง (หรือเราจะพูดไม่รู้เรื่องเองหว่า ปัดโถ่ว) คนที่ฮอตที่สุดน่าจะเป็นพี่เอ้นะคับ เพราะนางจะมีคนมาขอถ่ายรูปทุกๆ 5 นาทีที่เดิน ทั้งเด็กและวัยรุ่น เลยแซว นางว่าให้ออกจากแบงค์มาเอาดีที่ Bollywood ท่าจะรุ่ง
เราออกจากที่นี่ประมาณ 6โมงเย็น เริ่มค่ำแล้วแต่ยังพอมีเวลา เลยจะเดินไป Jama Masjid มัสยิดใหญ่ใกล้ๆแถวนี่ ซึ่งต้องเดินผ่านตลาดที่ดูจะเหมือนคลองถมบ้านเรา เอาจิงๆก็ไม่รู้ทางหรอกอาศัย google map เอา แต่น่าเสียดายที่เราไปถึงมัสยิดปิดพอดี เลยได้แค่ถ่ายรูปตรงบันไดทางขึ้น (เออ ลืมบอกไป มีพี่ชาวอินเดียคนนึงถามว่าจะไปไหน เพราะเรายืนเก้ๆกังๆหน้าประตูซึ่งปิดแล้ว พอบอกว่าจะไปข้างในมัสยิดแกใจดีบอกว่า ตามผมมา ผมจะไปทางนั้นพอดี เดี๋ยวพาไปเข้าอีกทาง นี่สิ ขอเจอคนแบบนี้ตลอดทริปได้มั้ยอ่า)
หน้า Jama Masjid เป็นตลาดและถนนที่มีของขายอย่างครึกครื้นทั้งเส้น ชาวทริปตกลงกันว่าจะกินข้าวหมกไก่สไตล์อินเดียส่งท้ายวัน เราลองเดินหาดูแล้วก็เจอจิงๆนะ มีแต่คนอินเดียในร้าน ผลสรุปมื้อนี่คือเละคับ เนื่องจากกลิ่นเครื่องเทศมันแรงมาก ไก่เหนียวไม่มีเนื้อ บวกกับเผ็ดสุดๆ ขนาดผมซึ่งเป็นพวกกินง่ายแล้วยังต้องยกช้อนยอมแพ้ กินได้แค่ครึ่งจาน (ตอนคนขายมาเก็บเงินคงแอบบ่นไอ้นักท่องเที่ยวพวกนี้ในใจ ก็เล่นกินเหลือกันบานเลย)
จิงๆยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจนะ อย่างตลาดที่เค้าอวดว่ามีทุกอย่างขาย ที่ชื่อ Chandni Chowk แต่เนื่องจากจิตใจและร่างกายเราพ่ายแพ้จากข้าวหมกไก่จึงต้องขอบายกลับไปพักที่โรงแรม
สงสัยที่เค้าบอกว่า เจองูกับแขกให้ตีแขก(บางคน)ก่อน คงจะจิง เพราะตอนขากลับพี่แท็กซี่จะคิดเรา 800 รูปี เดี๋ยวๆ แพงไปมั้ย พอบอกไม่เอาแล้วเดินหนีราคาตกเฉยเหลือ 600 แล้วไง ไม่เอาหรอก เชอะ สะบัดบ๊อบหยิ่งๆแล้วเดินออกมาเสมือนเลือกได้ (ก็ตอนมาแค่ 500 เอง) เราเลยจะลองเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อราคาใหม่เพื่อจะให้ได้ที่ 500 รูปี หลังจากเจอเป้าหมายแล้วเราลองเข้าไปติดต่อขอที่ 400 รูปี แต่การเจรจาจบที่ 600 ทุกอย่างดูจะเป็นไปตามแผน สุดท้ายเราใช้ท่าไม้ตายด้วยการเดินหนีบอกไม่เอา แล้วก็ตามที่คิดไว้ พี่แท็กซี่เสนอราคาปิดดีลเราที่ 500 no air condition. จบสวยๆ กลับมาคิดอีกทีแค่เงิน 100 รูปี (ราวๆ 50 บาท) เราต้องเหนื่อยกันขนาดนี้เลยหรอ เราว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินหรอก แต่เพราะเราแค่ไม่ชอบโดนใครเอาเปรียบมากกว่า
เรากลับถึงโรงแรม ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งทุกคนดูเหนื่อยเพราะนั่งหลับกันมาตลอดทาง พรุ่งนี้เช้าเราจะออกจากเดลีแล้วต่อเครื่องไปเลห์
- สำหรับการคิดค่าเงินที่นี่ให้เอารูปีหาร 2 ก็สามารถจะเทียบเป็นไทยบาทได้คร่าวๆ เช่น 200 รูปี ก็ราวๆ 100 บาทไทย
- ถึงแม้ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาราชการแต่คนอินเดียที่เราเจอส่วนมากดูจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เข้าใจว่าคงจะต้องเป็นคนที่มีการศึกษาที่ดีในระดับนึง
- ฝุ่นที่นี่เยอะมาก ขนาดว่าเงยหน้ามองไม่เห็นท้องฟ้ากันเลยทีเดียว อ่า ดูๆไปมันช่างเป็นเมืองที่หดหู่จิงๆ
Day 2 -
https://ppantip.com/topic/36712364
[CR] [Day 1] บันทึกการเดินทางเลห์-ลาดัก 29 เม.ษ. - 6 พ.ค. 2560
Day 1 Press start
เสาร์สุดท้ายของเดือนเมษา
เครื่องออกจากสุวรรณภูมิ เช้าเวลา 8.25 แต่เวลาในบอร์ดดิ้งพาสคือ 7.35
เมื่อเช้าผมเกือบจะตกเครื่องด้วยซ้ำ ตอนแรกตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 4.30 แล้วก็ตื่นนะ แต่ตื่นมาปิดแล้วนอนต่อ ดีนะที่พี่สาวเรียกตอน 5.48 รู้ตัวอีกทีขนลุกเลย ไม่ใช่ไม่มีเพื่อนโทรตามนะแต่เพราะเปิด airplane mode จึงไม่มีใครโทรตามได้ ฮ่าๆๆๆ
พี่แท็กซี่ที่นั่งมาเหมือนจะรู้ว่ารีบ ระดับความหวาดเสียวในการขับนี่ให้เลย 9 กะโหลก ก็เล่นปาดซ้ายทีขวาที มีทีนึงที่พี่แกเกือบจะไปจูบตูดคันหน้า เพราะจะแซงแต่ดันแซงไม่พ้น ผมนี่เสียวสันหลังลงไปถึงง่ามตูด นี่ขนาดไม่ได้บอกพี่แกว่ารีบนะ ยังได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าบอกว่ารีบ คงจะมาไม่ถึงสนามบิน
สมาชิกในทริปเรามีกัน 4 คน พี่เอ้ พี่กวาง ผม และจิวัด (จริงๆมันชื่อจิรวัฒน์ แต่ย่อเหลือ 2 คำเรียกง่ายกว่า)
ตอนนี้สมาชิกเราขาดแค่จิวัดคนเดียว เดี๋ยวๆ นี่นึกว่าผมจะเป็นคนสุดท้ายแล้วนะ เมิงยังท้ายกว่าอี๊กกก เอิ่ม พอกันนนน แต่เอาเหอะสุดท้ายเราก็มาถึงทันเช็คอินพอดี๊ พอดี (เสียงสูงงงง) อีกนิดเดียวคงต้องใช้เงินแก้ปัญหาจองตั๋วใหม่ ชัวร์
สำหรับการบินไทย ไฟลท์ประจำทริปนี้ ให้ นน. กระเป๋าเราที่ 30 กก. ต่อคน โอเคหลังจากชั่งนน.ไม่มีใครเกินนะ ตกคนละ 12-16 กก. บรรยากาศบนเครื่องประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นคนอินเดีย เวลาบินประมาณ 3 ชม 40 นาที นั่งดูหนังยาวๆไปคับ
ถึงเดลี เราออกจากสนามบินด้วยแท็กซี่ราคา ราวๆ 250 รูปี วิธีเรียกแท็กซี่คือ คุณเดินไปที่จุดติดต่อแท็กซี่ บอกเค้าว่าไปไหน เอาให้ง่ายยื่นที่อยู่ให้เลย แล้วเดี๋ยวพนักงานจะคิดราคามาให้ แล้วชี้ให้เรารู้ว่าจะเป็นคันไหน แต่เดี๋ยวครับตอนเราจะขึ้นรถแอบตกใจเล็กๆ เมื่อต้องจ่ายทิปให้คนที่ช่วยเราเก็บกระเป๋าท้ายรถ ซึ่งไม่ใช่คนขับ แล้วมาจากไหน อยู่ดีๆจะมาเอาทิป ไอ้เราก็นึกว่าคงเป็นคนขับรถแต่ไม่ใช่จร้า สุดท้ายเราเลือกที่จะตัดรำคาญเลยให้ไป 20 รูปี (ตอนแรกจะเอา 100 รูปี เมิงเอามีดมาจี้กุเหอะ)
บ่ายโมง 41 นาที เวลาท้องถิ่น เราถึงที่พักคืนนี้ Airport Inn. Hotel ระยะห่างจากโรงแรมกับสนามบินถือว่าพอสมควร แดดที่นี้ค่อนข้างจะดุดัน เพราะมันร้อนแบบแห้งๆ และเนื่องจากพวกมนุษย์ร้อนชื้นอย่างเรามาเจออากาศร้อนแห้ง เล่นเอาเรา แสบผิวถึงขั้นแสบหน้าเลย ผมเคยได้ยินมาว่าจำนวนประชากรอินเดียนี่ติดอันดับต้นๆของโลก เมื่อมาถึงจึงรู้ว่าการจราจรที่อินเดียก็เช่นกัน ผมนี่พูดไม่ออกเลยเพราะนอกจากรถจะเยอะแล้ว เสียงแตรยังดังตลอดเวลา บีบกันเป็นเรื่องปกติ ส่วนเลนบนถนนยิ่งไม่ต้องพูดเพราะมันช่างเหมือนความรักที่มีคนบอกว่า รู้ว่ามีแต่สัมผัสไม่ได้ รถทุกคันดูจะไม่สนใจช่องจราจรที่ตีไว้บนพื้น ใครอยากซ้าย ซ้าย ใครอยากขวา ขวา ผลคือรถทุกคันดูจะมีร่องรอยบาดแผลเฉี่ยวชนเป็นเรื่องปกติ เป็นเมืองพุทธอย่างบ้านเรานี่ไม่ได้เลย บีบแตรนิดหน่อยก็จะมีเรื่องกันแล้ว
ราวๆบ่าย 2 กว่าๆ หลังจากเก็บของที่ รร. เราออกมาหาข้าวเที่ยงกิน แล้วก็ได้เป็นร้านอาหารมังสวิรัติ ที่อยู่หน้าปากซอยโรงแรม อืมม มันดีมากเลย มีความเป็นเครื่องเทศแบบอินเดียจางๆ ไม่โผงผาง กล่มกล่อมและไม่หวือหวา สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศน่าจะกินได้ไม่ยาก มื้อนี้เป็นมือแรกหลังจากเท้าแตะอินเดีย ถือว่าผ่านนนน
เนื่องจากเรามีเวลาแค่ไม่ถึงครึ่งวันดังนั้นเราจึงต้องเลือกที่จะเที่ยวแค่ที่เด็ดๆ หนึ่งในนั้นคือ Red Fort ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 40-50 นาที ราวๆ 24 กม. ค่ารถ 500 รูปี ตอนแรกเราบอก Red Fort ดูพี่แท็กซี่จะไม่เข้าใจเลยให้แกดูรูป แล้วแกก็บอกว่า อ๋อ Lal Quila นั่นเอง เอาเหอะยังไงก็ได้ เอาที่พี่พาผมไปได้ก็พอ
ที่นี่ดูอลังการมากนะ เป็นป้อมที่สร้างด้วยอิฐสีแดง มีความยิ่งใหญ่อลังการสมฐานะ (ส่วนความเป็นมาคุณไปหาอ่านได้ตาม google ฮ่า) สิ่งที่แปลกและทำเราตื่นเต้นคือระหว่างทางจะมีคนอินเดียมาขอเราถ่ายรูป เพื่ออะไรไม่สำคัญเท่าเราก็ยอม...ฮ่า เราถามไปนะว่าทำไม แต่ดูกำแพงทางด้านสำเนียงที่ทำให้คนไทยอย่างเราพูดและฟังคนอินเดียไม่รู้เรื่อง (หรือเราจะพูดไม่รู้เรื่องเองหว่า ปัดโถ่ว) คนที่ฮอตที่สุดน่าจะเป็นพี่เอ้นะคับ เพราะนางจะมีคนมาขอถ่ายรูปทุกๆ 5 นาทีที่เดิน ทั้งเด็กและวัยรุ่น เลยแซว นางว่าให้ออกจากแบงค์มาเอาดีที่ Bollywood ท่าจะรุ่ง
เราออกจากที่นี่ประมาณ 6โมงเย็น เริ่มค่ำแล้วแต่ยังพอมีเวลา เลยจะเดินไป Jama Masjid มัสยิดใหญ่ใกล้ๆแถวนี่ ซึ่งต้องเดินผ่านตลาดที่ดูจะเหมือนคลองถมบ้านเรา เอาจิงๆก็ไม่รู้ทางหรอกอาศัย google map เอา แต่น่าเสียดายที่เราไปถึงมัสยิดปิดพอดี เลยได้แค่ถ่ายรูปตรงบันไดทางขึ้น (เออ ลืมบอกไป มีพี่ชาวอินเดียคนนึงถามว่าจะไปไหน เพราะเรายืนเก้ๆกังๆหน้าประตูซึ่งปิดแล้ว พอบอกว่าจะไปข้างในมัสยิดแกใจดีบอกว่า ตามผมมา ผมจะไปทางนั้นพอดี เดี๋ยวพาไปเข้าอีกทาง นี่สิ ขอเจอคนแบบนี้ตลอดทริปได้มั้ยอ่า)
หน้า Jama Masjid เป็นตลาดและถนนที่มีของขายอย่างครึกครื้นทั้งเส้น ชาวทริปตกลงกันว่าจะกินข้าวหมกไก่สไตล์อินเดียส่งท้ายวัน เราลองเดินหาดูแล้วก็เจอจิงๆนะ มีแต่คนอินเดียในร้าน ผลสรุปมื้อนี่คือเละคับ เนื่องจากกลิ่นเครื่องเทศมันแรงมาก ไก่เหนียวไม่มีเนื้อ บวกกับเผ็ดสุดๆ ขนาดผมซึ่งเป็นพวกกินง่ายแล้วยังต้องยกช้อนยอมแพ้ กินได้แค่ครึ่งจาน (ตอนคนขายมาเก็บเงินคงแอบบ่นไอ้นักท่องเที่ยวพวกนี้ในใจ ก็เล่นกินเหลือกันบานเลย)
จิงๆยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจนะ อย่างตลาดที่เค้าอวดว่ามีทุกอย่างขาย ที่ชื่อ Chandni Chowk แต่เนื่องจากจิตใจและร่างกายเราพ่ายแพ้จากข้าวหมกไก่จึงต้องขอบายกลับไปพักที่โรงแรม
สงสัยที่เค้าบอกว่า เจองูกับแขกให้ตีแขก(บางคน)ก่อน คงจะจิง เพราะตอนขากลับพี่แท็กซี่จะคิดเรา 800 รูปี เดี๋ยวๆ แพงไปมั้ย พอบอกไม่เอาแล้วเดินหนีราคาตกเฉยเหลือ 600 แล้วไง ไม่เอาหรอก เชอะ สะบัดบ๊อบหยิ่งๆแล้วเดินออกมาเสมือนเลือกได้ (ก็ตอนมาแค่ 500 เอง) เราเลยจะลองเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อราคาใหม่เพื่อจะให้ได้ที่ 500 รูปี หลังจากเจอเป้าหมายแล้วเราลองเข้าไปติดต่อขอที่ 400 รูปี แต่การเจรจาจบที่ 600 ทุกอย่างดูจะเป็นไปตามแผน สุดท้ายเราใช้ท่าไม้ตายด้วยการเดินหนีบอกไม่เอา แล้วก็ตามที่คิดไว้ พี่แท็กซี่เสนอราคาปิดดีลเราที่ 500 no air condition. จบสวยๆ กลับมาคิดอีกทีแค่เงิน 100 รูปี (ราวๆ 50 บาท) เราต้องเหนื่อยกันขนาดนี้เลยหรอ เราว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินหรอก แต่เพราะเราแค่ไม่ชอบโดนใครเอาเปรียบมากกว่า
เรากลับถึงโรงแรม ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งทุกคนดูเหนื่อยเพราะนั่งหลับกันมาตลอดทาง พรุ่งนี้เช้าเราจะออกจากเดลีแล้วต่อเครื่องไปเลห์
- สำหรับการคิดค่าเงินที่นี่ให้เอารูปีหาร 2 ก็สามารถจะเทียบเป็นไทยบาทได้คร่าวๆ เช่น 200 รูปี ก็ราวๆ 100 บาทไทย
- ถึงแม้ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาราชการแต่คนอินเดียที่เราเจอส่วนมากดูจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เข้าใจว่าคงจะต้องเป็นคนที่มีการศึกษาที่ดีในระดับนึง
- ฝุ่นที่นี่เยอะมาก ขนาดว่าเงยหน้ามองไม่เห็นท้องฟ้ากันเลยทีเดียว อ่า ดูๆไปมันช่างเป็นเมืองที่หดหู่จิงๆ
Day 2 - https://ppantip.com/topic/36712364